บทวิเคราะห์ตลาดฟอเร็กซ์สำหรับค่าเงิน EUR/USD สำหรับช่วงปลายปี 2560 และปี 2561

ตามสถิติแล้ว กว่า 85% ของการซื้อขายในตลาดการเงินทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และอีกประมาณ 30% ที่มีความเกี่ยวข้องกับค่าเงินยูโร วันนี้เราจึงมาดูกันว่าผู้เชี่ยวชาญได้คาดการณ์ราคา EUR/USD ในช่วงปลายปี 2560 และปี 2561 ที่จะถึงนี้ไว้อย่างไรบ้าง

 

ฝั่งทางด้านแรงกระทิง

เริ่มต้นกันด้วยผลวิเคราะห์ทำนายที่ส่งมาจากธนาคารจำนวน 80 แห่งว่าด้วยราคาคู่นี้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีธนาคารเพียง 23 แห่งที่คาดว่าราคาจะเติบโตไปที่ $1.15 ภายในสิ้นปีปัจจุบัน และมีธนาคารเพียงไม่กี่แห่งที่เชื่อว่าราคาจะสามารถไต่ถึงที่ $1.18 ได้

หนึ่งในบทวิเคราะห์ที่แม่นยำที่สุดมาจากธนาคาร DZ Bank AG ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของเยอรมนี แต่พวกเขาก็ไม่ได้คาดถึงว่าราคาคู่ EUR/USD ขยับเข้าใกล้ที่ระดับความสูง 1.21 ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกันยายนแล้ว

โดยรวมแล้ว ตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2559 ราคาได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีกประมาณ 17% แต่ว่าจากนั้น ราคาขยับตัวลงมาที่ 1.16 ภายหลังผลการตัดสินใจเรื่องนโยบายการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางยุโรป แต่ถึงกระนั้นเทรนด์ขาขึ้นก็ยังไม่สิ้นสุดลงเสียทีเดียว นักวิเคราะห์จากธนาคาร DZ Bank AG เชื่อว่าค่าเงินยูโรมีศักยภาพในการเติบโตจนถึงฤดูร้อนปี 2561 นี้

 

"การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินยูโรเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของใครหลายๆ คน" กล่าวโดยนายจอห์น กอร์ดอน นักวิเคราะห์ชั้นนำจากบริษัทโบรกเกอร์นอร์ดเอฟเอกซ์ ตัวอย่างเช่น ยุทธศาสตร์ของธนาคารพาณิชย์ของแคนาดา Imperial Bank of Commerce ได้ให้คำทำนายตลาดขาขึ้นว่าภายในสิ้นปีนี้ ราคาจะซื้อขายในโซน $1.14 และจะแตะที่ราคา $1.18 ในปลายปี 2561 เท่านั้น ในทางด้านธนาคารอเมริกัน Bank of America Merill Lynch มีบทวิเคราะห์ว่าในปลายปี 2560 ราคาคู่นี่จะอยู่ที่ 1.15 และปลายปี 2018 จะอยู่ที่ 1.19

ในส่วนคำทำนายที่ดูเบาลงมาเป็นของธนาคาร Rand Merchant Bank ซึ่งได้ให้ผลวิเคราะห์ในฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยคาดการณ์ว่าราคาจะอยู่ที่ระดับ $1.12 ในช่วงกลางปีหน้า และในส่วนของงานวิจัยของ Bloomberg ก็คาดว่าราคาจะอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกันที่ประมาณ $1.13 เช่นกัน

นักวิเคราะห์ของนอร์ดเอฟเอกซ์กล่าวต่อว่า “ตอนนี้ คาดว่าหลายคนคงจะได้ทบทวนบทวิเคราะห์ของตนใหม่ เนื่องจากว่าในตอนต้นนั้น นักยุทธศาสตร์ของธนาคารได้คาดคะเนแรงอิทธิพลที่จะมีผลต่อค่าเงินจากฝั่งยุโรปมากเกินไป ความเสี่ยงจากการเมืองเป็นปัจจัยที่ค่อยๆ ส่งผลต่อค่าเงินยูโรก็จริง ทั้งนี้ การเจรจาเรื่อง Brexit และการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและเยอรมนีแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าจะมีปัจจัยเชิงลบหลายประการ เช่น เหตุการณ์ของแคว้นกาตาลุญญา ยูโรโซนก็ยังไม่ได้รับผลคุกคามเป็นการถดถอยของค่าเงินอย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันนั้น เศรษฐกิจยุโรปเริ่มฟื้นฟูและดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้นอยู่ที่ระดับสูงสุดในระยะยาว

 

สำหรับค่าเงินดอลลาร์ ค่าเงินดอลลาร์ไม่สามารถแข็งค่าต่อค่าเงินยูโรและค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ ในปีหน้านี้ได้ “เรายังคงต้องขอย้ำอีกครั้งว่าธนาคารกลางสหรัฐฯไม่ใช่ “ผู้ถือคฑาเวทมนต์” ซึ่งสามารถแข็งค่าอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นได้อีกต่อไป” กล่าวโดย DZ Bank AG แต่ยังพอคาดคะเนท่าทีของทางธนาคารกลางสหรัฐฯได้ซึ่งหมายความว่าค่าเงินอเมริกันยังไม่สามารถดึงความแข็งค่าของสกุลเงินจากตรงไหนได้ ต่างจากค่าเงินของฝั่งยุโรปที่ผลการตัดสินใจของธนาคารยุโรปล้วนเต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจ”

ความคึกคักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2560 นี้เบาบางกว่าที่ได้คาดการณ์กันไว้ โดยทาง HSBC รายงานว่าเมื่อพิจารณาการขาดการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรมที่ประกาศโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยิ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการไหลออกของเงินทุนเก็งกำไรจึงส่งผลดีต่อค่าเงินสกุลยูโร


ดังนั้น บทวิเคราะห์ที่ดูเป็นเชิงบวกที่สุดเป็นอย่างไรบ้าง ณ วันนี้?

ตามการวิเคราะห์โดย Rabobank ของเนเธอร์แลนด์ ค่าเงินยูโรต่อดอลลาร์มีค่าต่ำกว่าที่ควรประมาณ 11% และดังนั้นภายในกลางปี 2561 คู่สกุลเงิน EUR/USD อาจจะปรับตัวสูงขึ้นที่ระดับ 1.25 ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญของ BNP Paribas คาดว่าจะมีความสะพัดเชิงซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม โดยได้วิเคราะห์ว่าก่อนที่ราคาคู่นี้จะเติบโตในไตรมาสที่สี่ของปี 2561 ถึง $1.23 นั้น ในไตรมาสที่หนึ่ง ราคาคู่นี้อาจจะถดถอยลงไปที่ $1.15 แต่ทางธนาคาร Societe Generale เชื่อว่าในตอนแรกค่าเงินยูโรจะขยับขึ้นไปที่ $1.20 และจากนั้นจึงจะขยับลดลง

 

 

ความกลัวของแรงหมี

"คงจะเป็นเรื่องที่ผิดที่จะกล่าวว่าทุกคนมองเห็นอนาคตอันสดใสของค่าเงินยูโรในโลกการเงินไปเสียทั้งหมด” กล่าวโดยนายจอห์น กอร์ดอน จากนอร์ดเอฟเอกซ์ “คนที่ไม่เชื่อมั่นในอียูก็มีจุดยืนที่แข็งแกร่งเช่นกัน”

โดยในบรรดาความท้าทายหลักที่สหภาพยุโรปต้องเผชิญได้แก่ปัญหาผู้ลี้ภัยและผู้อพยพผิดกฎหมายจากแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลาง

 

อีกหนึ่งปัญหาคือการขาดสมดุลทางเศรษฐกิจอย่างจริงจังที่ปรากฏขึ้นเนื่องจากค่าเงินยูโรไม่ได้ผูกกับประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังนั้น บางประเทศในยูโรโซนที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจมาจากเกษตรกรรม อุตสาหกรรมเบา และการท่องเที่ยวเป็นหลักนั้นต่างกำลังประสบปัญหาทางการเงิน แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วกลับได้รับผลประโยชน์อย่างมากจากอัตราเงินสกุลเดี่ยว

ประเทศที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดคือเยอรมนี โดยประธานสภาการค้าแห่งชาติของสหรัฐฯ นายปีเตอร์ นาวาร์โร ได้กล่าวด้วยว่าปัจจุบันนี้ค่าเงินยูโรก็คือค่าเงิน Deutsche mark แอบแฝงมา โดยประธานคณะกรรมการสหภาพยุโรปนายฌอง-โคลด ยุงเคอร์ ตอบกลับมาแรงไม่แพ้กันโดยประกาศว่าเขาจะสนับสนุนทุกประเทศที่ตัดสินใจถอนตัวจากการผูกกับค่าเงินของสหรัฐฯ

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดปากเปล่า แต่ยังคงมีความขัดแย้งทางการค้าที่สำคัญปรากฏอยู่ระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินยูโรถดถอยก็เป็นไปได้เช่นกัน

 

นอกจากนี้ เรายังสามารถคาดการณ์ว่าจะมีท่าทีจากฝั่งสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินดอลลาร์อย่างฉับพลัน โดยต่อเนื่องจากแผนซึ่งประกาศโดยการคลังของสหรัฐฯ เกี่ยวกับแผบงบประมาณรัฐในไตรมาสที่สี่ของปีปัจจุบันที่จะเพิ่มหนี้ประเทศและดึงดูดความช่วยเหลือของพันธบัตรรัฐบาลเป็นจำนวนประมาณครึ่งล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
การถอนเงินสะพัดจำนวนมหาศาลเช่นนี้จากตลาดอาจส่งผลเพิ่มความต้องการของเงินสกุลนี้โดยธนาคารรายใหญ่ต่างๆ เช่น  
Citigroup, Goldman Sachs & Co., Morgan Stanley, Deutsche Bank, ฯลฯ และสิ่งนี้จะนำไปสู่การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตามธรรมชาติ  

นักวิเคราะห์นอร์ดเอฟเอกซ์กล่าวต่อว่า "แน่นอนว่าหากบทวิเคราะห์แรงหมีเริ่มตั้งแต่ความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ และจบลงที่ความเสี่ยงภายในยุโรปอันต่อเนื่องกลายเป็นจริงขึ้นมา ค่าเงิน EUR/USD อาจจะขยับลงทิศใต้อีกครั้งตามที่เคยเป็นมาแล้ว หากคุณพอจำได้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมามีความเป็นไปได้สูงว่าค่าเงินยูโรและดอลลาร์เกือบจะมาบรรจบคู่ขนานกัน ทุกคนต่างจับตามองอัตราแลกเปลี่ยนที่ $1.00 แต่ปรากฏคำทำนายรุนแรงที่คาดว่าสหภาพยุโรปจะล่มสลายซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจริง ทำให้ราคาตีกลับขึ้นไปที่ 1.034 และคู่สกุลนี้ก็ขยับขึ้นอีกครั้งในเวลาต่อมา”



หากต้องสรุปความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารชั้นนำต่างๆ จะเห็นได้ว่าภายในสิ้นปีนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าราคาคู่นี้จะขยับไปในช่องด้านข้างที่ 1.150-1.210 แต่ในกรณีที่มีทีท่าจากฝั่งกระทรวงการคลังและธนาคารกลางของสหรัฐฯ ค่าเงินดอลลาร์ก็อาจแข็งค่าขึ้นอีก โดยจะมีแนวรับเด่นชัดถัดไปอยู่ที่ระดับ $1.110.

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา