เนื่องด้วยตลาดคริปโตเคอเรนซีอยู่ในสภาวะซบเซา ทองคำอาจกลายเป็นเครื่องมือที่น่าดึงดูดใจมากที่สุดสำหรับนักเทรดและนักเก็งกำไรทางการเงิน
ทองคำแทนที่บิทคอยน์?
แน่นอนว่าสิ่งที่นักเทรดฟอเร็กซ์คุ้นเคยเป็นอย่างดีคือการเทรดคู่สกุลเงิน โดยเฉพาะคู่สกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์สหรัฐ ปอนด์อังกฤษ ยูโร และเยนญี่ปุ่น เป็นต้น ธุรกรรมกับสกุลเงินเหล่านี้เคยเป็นสัดส่วนรายได้ขนาดใหญ่ของบรรดาบริษัทโบรกเกอร์จนกระทั่งกลางปีที่แล้ว เมื่อบิทคอยน์ อีธีเรียม ไลท์คอยน์ และอัลท์คอยน์ทางเลือกอื่นๆ เข้ามาแทนที่
อย่างไรก็ตาม หลังจากราคาบิทคอยน์ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว ความต้องการถือเหรียญดิจิทัลเริ่มลดลงและมีนักเทรดหลายคนที่ต้องเผชิญกับคำถามอีกครั้งว่าจะเพิ่มกำไรของตนเองได้อย่างไร
และขณะนี้เองในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2018 ถึงเวลาแล้วที่จะหวนกลับสู่สินทรัพย์ที่ทำกำไรได้ง่ายซึ่งเวลาได้พิสูจน์มาแล้วอย่าง ทองคำ ซึ่งทองคำเป็นสิ่งทำกำไรที่มั่นคงให้กับนักเทรดมาโดยตลอด
"ก้อนกรวดในกล่อง" หรือสถิติบางตัว
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ Wall Street Journal พยายามจะชักจูงผู้อ่านให้เชื่อว่าทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยจากวิกฤติการเงินและระดับเงินเฟ้ออีกต่อไป และเรียกทองคำมีค่านี้ว่า “ก้อนกรวดในกล่องลัง” หนังสือพิมพ์ Washington Post ก็เขียนคอลัมน์ออกมาในช่วงเวลาเดียวกันพร้อมคำทำนายที่คล้ายกันว่า “ทองคำนั้นจบลงแล้ว” และคำทำนายทั้งสองนี้ก็ล้วนเป็นคำทำนายที่ผิด
เมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้วเมื่อวันที่ 2 เมษายน ปี 2001 ราคาทองคำลดลงมาที่ $255.3 ต่อทรอยออนซ์ ซึ่งเป็นราคาต่ำที่สุด หลังจากนั้นราคาทองคำก็ปรับสูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลากว่าสิบปี โดยอัตราการเคลื่อนที่ของราคาดังกล่าวไม่เคยพบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นใดในตลาดการเงิน
ในปี 2011 ราคาทองคำทะลุระดับ $1,900 ต่อออนซ์ และดูเหมือนว่าเป้าหมายที่ $2,000 ก็เป็นความจริงที่อยู่ไม่ไกลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ …. หลังจากนั้น ราคาก็ทิ้งตัวลงมาเหมือนดินถล่ม เริ่มเสียมูลค่ามากขึ้น
คนมองโลกในแง่ดีอาจเรียกการทิ้งตัวของราคาในครั้งนี้ว่าเป็นราคาปรับตัว แต่ผู้มองโลกในแง่ร้ายกล่าวว่าเป็นการกลับมาสู่ระดับมูลค่าที่แท้จริงของราคา (คุณรู้สึกเห็นด้วยไหมว่าสถานการณ์นี้มีความคล้ายคลึงกับสถานการณ์ของบิทคอยน์)
ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญบางท่าน ราคาต่ำสุดครั้งใหม่อาจจะอยู่ที่ประมาณ $350 ต่อออนซ์ แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ราคาทองคำก็ไม่เคยทิ้งตัวลงต่ำกว่าระดับ $1,000
หากคุณดูข้อมูลของ World Gold Council จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความสนใจในการถือทองคำเป็นหลักประกันที่ปลอดภัยในช่วงวิกฤติทางการเงินและเศรษฐกิจนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความต้องการในทองคำเพิ่มขึ้นกว่า 42% ในช่วงสามเดือนแรกของปี 2018
ธนาคารกลางของหลายประเทศ เช่น รัสเซีย จีน อินเดีย และประเทศอื่นๆ ต่างตุนทองคำสำรองไว้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตสินทรัพย์ที่ถือ อย่างเช่น ปริมาณทองคำสำรองของประเทศรัสเซียเพิ่มขึ้นกว่า 200 ตันในช่วงเวลาสามปี ท่ามกลางบริบทความตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลาง หรือวิกฤติความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ธนาคารกลางตุรกีก็ได้หันไปพึ่งพิงทองคำโดยทุ่มเงินซื้อทองคำกว่า 86 ตันในปีที่ผ่านมา
จีนและอินเดียส่งผลให้ความต้องการในทองคำสูงขึ้นด้วยอุตสาหกรรมการทำเครื่องประดับด้วยเช่นกัน ความต้องการในเครื่องประดับของอินเดียสูงเกินกว่า 560 ตัน และในจีนอีกมากกว่า 645 ตัน
ในปี 2017 ปริมาณทองคำสำรองในประเทศขนาดใหญ่ที่สุด 10 ประเทศคิดเป็นปริมาณกว่า 30,000 ตัน และมูลค่ารวมทั้งสิ้นเกือบ $12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (โดยเปรียบเทียบกันแล้ว มูลค่ารวมในตลาดคริปโตของเดือนกันยายน 2018 อยู่ที่ประมาณ $2 แสนล้านดอลลาร์)
ทำไมเราจึงอธิบายเลขสถิติเหล่านี้? เราเพียงแค่ต้องการแสดงให้เห็นว่าทองคำมีความแตกต่างจากบิทคอยน์และเหรียญดิจิทัลอื่นๆ ตรงที่ทองคำมีมูลค่าที่แท้จริง ไม่ใช่มูลค่าเสมือนจริง และดังนั้น ทองคำจึงเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมในการเก็งกำไรการซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยปราศจากความเสี่ยงในการสูญเสียมูลค่าเป็นศูนย์
วิธีการทำกำไรจากทองคำ
มีหลายกลยุทธ์การเทรดที่ช่วยให้คุณทำกำไรจากธุรกรรมกับทองคำ แต่หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าไว้วางใจและทำกำไรได้มากที่สุดคือการเทรดบนพื้นฐานของบทวิเคราะห์ตามเทรนด์การเมือง เศรษฐกิจ และเทรนด์โลกในปัจจุบัน กล่าวโดยนายจอห์น กอร์ดอน นักวิเคราะห์ชั้นนำของ NordFX
ในกรณีนี้ นักเทรดจำเป็นต้องทราบว่าราคาทองคำนั้นโดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับปัจจัย ดังต่อไปนี้:
- เมื่อราคาดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อค่าเงินอื่นๆ ของโลก ราคาทองคำจะลดลง และในทางกลับกัน ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำจะแพงขึ้น โดยการพิจารณากราฟ EUR/USD และ XAU/USD จะช่วยให้เห็นภาพความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจน
- ยิ่งราคาทรัพยากรพลังงาน (โดยเฉพาะราคาน้ำมัน) สูงขึ้น ราคาทองคำจะยิ่งสูงขึ้น
- เหตุการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในโลก ความขัดแย้งที่คุกรุ่นและที่แอบแฝงโดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีการขุดเหมืองทองคำ คือ เหตุผลหลักที่หนุนอัตราการเติบโตของราคาทองคำ และยิ่งเหตุการณ์ความตึงเครียดรุนแรงมากเท่าใด ราคาน้ำมันยิ่งปรับตัวสูงขึ้นรวดเร็วมากเท่านั้น
- วิกฤติเศรษฐกิจทางการเงินถือว่าเป็น “ปุ๋ย” ที่ราคาน้ำมันแสดงถึงอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจมากที่สุด เป็นที่ลี้ภัยให้กับนักลงทุนจากวิกฤติทางการเงินและภาวะตื่นตระหนกต่างๆ
เมื่อเริ่มเทรดทองคำ สิ่งสำคัญคือควรคำนึงว่าธุรกรรมดังกล่าวกับโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์มีความแตกต่างจากธุรกรรมการเทรดสกุลเงินทั่วไป ดังเช่น ปริมาณล็อตในที่นี้ไม่ได้วัดเป็นจำนวนเงิน แต่เป็นกรัมหรือกิโลกรัม โดยการเทรดทองคำ 1 ล็อต เท่ากับ 100 ทรอยออนซ์ หรือ 3.11 กิโลกรัม กล่าวคือ ด้วยราคาปัจจุบันที่ $1,200 ต่อ 1 ออนซ์ ดังนั้นในหน่วยการเงิน ปริมาณ 1 ล็อต จะเท่ากับ $120,000
ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่านักเทรดส่วนใหญ่ไม่มีเงินจำนวนดังกล่าวนี้ ดังนั้นนักเทรดจึงมีความจำเป็นต้องใช้ค่าเลเวอเรจหรืออัตราทด โบรกเกอร์ NordFX ให้บริการอัตราเลเวอเรจสูงถึง 1:1000 ในบัญชีการเทรดสามประเภท ได้แก่ Fix, Pro และ Zero โดยมีขนาดธุรกรรมขั้นต่ำที่ NordFX อยู่ที่ 0.01 ล็อต ดังนั้น นักเทรดแค่มีเงินเพียง 1.5 ดอลลาร์ก็สามารถเข้าเทรดในตลาดทองคำได้
คำทำนายระยะกลางและระยะยาว
สำหรับคำทำนายของปี 2019 ที่จะถึงนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่กำลังวางเดิมพันในการเติบโตของราคาทองคำ
“ดูเหมือนว่าทองคำจะพร้อมสำหรับการเข้าสู่ตลาดกระทิงรอบใหม่ ซึ่งเริ่มต้นที่ประมาณช่วง 2000” เขียนโดย Hubert Moolman ที่ 24hgold.com “การขยับทะลุระดับ $1,375 จะเป็นการยืนยันสถานการณ์นี้อย่างชัดเจน”
ตามความเห็นของ Georgette Boel นักวิเคราะห์อาวุโสของ ABN Amro ราคาน้ำมันในปี 2019 มีโอกาสที่จะขยับขึ้นไปที่ 1,400 ดอลลาร์ “ภายในสิ้นปี 2018 ค่าเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะขยับถึงระดับสูงสุด และจะค่อยๆ เริ่มถอยลงมา การอ่อนค่าลงของเงินหยวนเริ่มสิ้นสุดลงและเริ่มมีการบรรเทาความขัดแย้งทางการค้า ดังนั้น ราคาทองคำน่าจะมีการฟื้นตัวขึ้น” กล่าวโดยนาย Bole
ในส่วนนักวิเคราะห์ของ JP Morgan ด้านงานวิจัยหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์มีความเห็นในแง่บวกเกี่ยวกับอนาคต ในปี 2019 พวกเขาประเมินว่าราคาทองคำจะอยู่ที่ $1,412 และในปี 2020 จะขึ้นไปที่ $1,460 ซึ่งเป็นราคาเดียวกันกับที่ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนภาคธนาคารของ Goldman Sachs ได้คาดการณ์ไว้เช่นกัน
สำหรับแนวโน้มระยะยาว เราควรให้ความสนใจกับคำทำนายของกลุ่มธนาคารออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ตามความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ Warren Hogan จาก ANZ อัตราการเติบโตของรายได้ในเอเชียจะส่งผลต่อตลาดทองคำอย่างมีนัยสำคัญ และภายในปี 2025 ราคาอาจขยับสูงขึ้นเหนือระดับ $2,000
หนึ่งในคำทำนายที่กล้าหาญมากที่สุดคือเป็นของผู้จัดการบริษัท Gilburt Financial Services และนักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีคลื่น Avi Gilburt ทั้งนี้ ควรคำนึงว่าเขาได้ทำนายการปรับตัวของราคาเมื่อปี 2015 ได้อย่างถูกต้องว่าราคาจะเข้าสู่วงจรตลาดกระทิงที่สำคัญ ซึ่งตามความเห็นของเขามองว่าจะอยู่ในแนวโน้มนี้ไปอีก 50 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นถึง $25,000 ต่อทรอยออนซ์!
กลับ กลับ