อันดับแรกเป็นการรีวิวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา:
- EUR/USD มีเสียงพร่ำบ่นและบางครั้งเป็นเสียงโวยวายมากมายเกี่ยวกับความผันผวนต่ำของคู่อัตราแลกเปลี่ยนนี้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและในสัปดาห์ล่าสุดเช่นกัน โดยช่วงความผันผวนสูงสุดตั้งแต่ต้นสัปดาห์ถึงกลางวันวันพฤหัสบดีอยู่ไม่เกิน 45 จุด ส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างนิ่งและเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ในช่องแคบๆ ที่ 25 จุด อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สำคัญประจำสัปดาห์คือสถานการณ์ความตึงเครียดของสงครามทางการค้าของสหรัฐฯ-จีน และการเลือกตั้งสภายุโรปที่จะมาถึง พร้อมกับการกล่าวแถลงของประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ และตัวเลขสถิติต่ำในกิจกรรมทางธุรกิจในเยอรมนีและยูโรโซนซึ่งส่งผลดีต่อค่าเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญ (75%) ในครั้งที่แล้วคาดการณ์ว่าราคาจะตกลงมาสู่ราคาต่ำสุดในรอบสองปีที่ $1.1105 ต่อยูโร
แต่ไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจที่ตกต่ำของฝั่งยุโรปเท่านั้น ฝั่งสหรัฐฯ ก็ประสบปัญหาไม่น้อยเช่นกัน ตัวเลขดัชนี Markit กิจกรรมทางธุรกิจเบื้องต้นซึ่งปรากฏว่าตัวเลขต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ (50.9 แทนตัวเลขที่คาดการณ์ที่ 53.0) และสถิติตกต่ำจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทรุดตัวและอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ก็กลับทิศทางอย่างฉับพลันสู่ทิศเหนือ
การฟื้นตัวของค่าเงินยูโรเป็นผลมาจากการปิดตำแหน่งขายที่ราคาต่ำก่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์สามวันในสหรัฐฯ และอังกฤษ ปรากฏว่าค่าเงินยูโรและคำประกาศลาออกของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ จะส่งผลเอื้อต่อราคาเช่นกัน ทำให้ค่าเงินยูโรฟื้นขึ้นมา 100 จุด และราคาปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.1205 - GBP/USD นายกฯ เมย์ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยข้อตกลงเบร็กซิตของเธอจะไม่มีการนำมาลงมติอีกครั้งในรัฐสภา และอังกฤษจะประสบกับการต่อสู้แย่งชิงเก้าอี้ผู้นำในบรรดากลุ่มพรรคอนุรักษนิยม นักวิเคราะห์หลายคนประเมินว่าผู้นำรัฐบาลชุดใหม่อาจเป็นผู้ที่สนับสนุนการแยกตัวแบบเด็ดขาดจากอียู อย่างเช่น อดีตผู้ว่าการกรุงลอนดอนและรัฐมนตรีการต่างประเทศ นายบอริส จอห์นสัน แต่ตลาดจะตอบสนองอย่างไร? ทั้งนี้ มีแนวโน้มสูงว่าการตอบสนองของตลาดจะเป็นลบ แต่ ณ ตอนนี้ ข่าวนี้ยังไม่ส่งผลต่อนักลงทุนเท่าใดนัก ราคาคู่นี้เป็นไปตามคู่ยูโร โดยได้รับผลบวกจากสถิติเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากฝั่งสหรัฐฯ และตำแหน่งขายจำนวนมากส่งผลให้ราคาขยับออกจากระดับต่ำสุดในรอบสองปีที่โซน 1.2600 และไต่ขึ้นมาโดยปิดตลาดที่ 1.2710
- USD/JPY เงินเยนญี่ปุ่นไม่สามารถต้านทานค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯได้ในช่วงครึ่งแรกของสัปดาห์เช่นกัน ในครั้งที่แล้วมีนักวิเคราะห์ 50% ได้คาดการณ์ว่าราคาจะขยับขึ้นไปที่ระดับ 111.00 และหนึ่งในสามของนักวิเคราะห์ตั้งเป้าระดับแนวต้านสูงสุดไว้ที่ 110.00 ในความเป็นจริงก็เป็นไปตามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ราคาขยับอยู่ในช่วงตรงกลางและทำราคาสูงสุดในรอบสัปดาห์ที่ 110.65 หลังจากนั้น นักลงทุนก็เริ่มเกิดความสงสัย อีกทั้งคำกล่าวแถลงของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนเกี่ยวกับ “การเดินทัพอันยิ่งใหญ่ครั้งใหม่” และ “การเป็นอิสระ” เริ่มทำให้นักลงทุนตระหนักว่าค่าเงินเยนอาจมีความน่าไว้วางใจมากกว่าดอลลาร์ ในขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลดลง และนักวิเคราะห์จากวอลลสตรีทเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้สูงที่ผลประกอบการทางการเงินของบริษัทอเมริกันจะซบเซาลงในช่วงครึ่งหลังของปี ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะนี้ตกอยู่ภายใต้การโจมตีจากราคาที่ขยับสูงขึ้นและปริมาณความต้องการที่ลดลงของผู้บริโภค ดังนั้น ราคาคู่นี้จึงวกกลับทิศทางและกลับมาสู่ระดับเดิมของสัปดาห์ก่อนหน้าโดยปิดตลาดห้าวันทำการที่ 109.30
- คริปโตเคอเรนซี มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตแทบจะอ้างอิงได้จากการเคลื่อนที่ของราคาบิทคอยน์ ราคาบิทคอยน์ลดลงจาก $8,335 เป็น 7,000 โดยมูลค่ารวมลดลงมาจาก $255.8 พันล้านเหรียญ เหลือ $229.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากนั้นราคาบิทคอยน์ปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ $8,265 และมูลค่ารวมก็ขยับขึ้นมาที่ $255.5 พันล้าน บ่อยครั้งที่กราฟนี้สามารถใช้งานเป็นดัชนีชี้นำที่ได้ผล
ทั้งนี้ ในครั้งก่อนหน้ามีผู้เชี่ยวชาญเพียง 25% ที่ทำนายว่าเทรนด์ราคาจะกลับทิศทางในสัปดาห์ที่แล้ว ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่โหวตว่าเทรนด์จะมีความต่อเนื่องเมื่อพบว่าราคาที่ขยับลดลงของคู่ BTC/USD ไปยังระดับ $7,000 เป็นเพียงการปรับตัวชั่วคราวของราคา ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมองว่าราคาจะต้องกลับขึ้นมาที่ระดับ $8,000 และราคาจะขยับในช่องด้านข้างในโซนดังกล่าวอยู่สักระยะ จากนั้นราคาจะขยับเข้าสู่ระดับแนวต้านที่ 8,500 ซึ่งเป็นระดับที่การเติบโตของราคาหยุดนิ่งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาก่อนที่จะขยับหนีห่าง ซึ่งทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD ทั้งการวิเคราะห์กราฟและการวิเคราะห์ทางเทคนิคให้ข้อสรุปว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้นต่อไปในกรอบเวลา H4 แต่ในขณะเดียวกัน มีสัญญาณ 25% จากออสซิลเลเตอร์บ่งชี้ว่าราคาอยู่ในโซนถูกซื้อมากเกินไป ในส่วนการวิเคราะห์ในกรอบ D1 ให้ภาพที่ต่างออกไป โดยหนึ่งในสามของดัชนีให้สัญญาณเป็นสีแดง หนึ่งในสามให้สัญญาณสีเขียว และอีกหนึ่งในสามเป็นสีเทากลาง แต่จากการวิเคราะห์กราฟยังคงยืนยันว่าราคาจะแข็งค่าขึ้นต่อเงินดอลลาร์และเทรนด์ขาลงจะมีความต่อเนื่อง
ที่จริงแล้วสถานการณ์เศรษฐกิจโลกค่อนข้างมีความซับซ้อน เหตุการณ์เบร็กซิตมีหลายมิติที่คลุมเครืออยู่และยังไม่ปรากฏความชัดเจนเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสภายุโรปในวันที่ 26 พฤษภาคมนี้ อีกทั้งความตึงเครียดในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯที่ยังไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่คำทำนายในนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟดก็ยังเป็นไปในหลายทิศทาง ขณะนี้โอกาสการปรับนโยบายผ่อนคลายในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 68% เป็น 78% หากคำทำนายนี้เป็นจริง อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อาจลดลง 0.25% ในเวลาไม่ถึงสี่เดือน แต่ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งธนาคารยุโรปก็ตระหนักถึงสภาพความอ่อนแอของเศรษฐกิจยุโรป และได้พูดถึงความพร้อมที่จะมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจในการประชุมครั้งล่าสุด
ณ ขณะนี้มีนักวิเคราะห์จำนวน 60% ที่เข้าข้างกับฝั่งตลาดกระทิงโดยเชื่อว่าราคาจะฟื้นตัวอย่างมีกำลังแรงขึ้นมาจากระดับแนวรับที่โซน 1.1110 โดยฝ่ายตลาดหมีอ่อนกำลังลงและไม่สามารถที่จะต้านทานได้สำเร็จ
ระดับแนวรับอยู่ที่ 1.1150 และ 1.1110 โดยระดับแนวต้านอยู่ที่ 1.1225 และ 1.1263 และเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 1.1325
- GBP/USD ณ ขณะเวลาที่เขียนบทวิเคราะห์นี้ ยังไม่ปรากฏผลชัดเจนว่าพรรคการเมืองของอังกฤษพรรคใดจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในสภายุโรป ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายที่เป็นต่อระหว่างฝ่ายสนับสนุนเบร็กซิตหรือฝ่ายตรงกันข้าม? ใครจะเป็นผู้นำรัฐบาลอังกฤษคนถัดไป? การประกาศลาออกของนางเทเรซา เมย์ อาจส่งผลให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น แต่ไม่มีทางที่จะกำจัดความเสี่ยงระยะยาวได้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญ 65% ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์และดัชนีเทรนด์ในกรอบ D1 ได้โหวตว่าราคาคู่นี้จะขยับลดลงต่อไป โดยมีระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดที่ 1.2660 และ 1.2600 ตามมาราคาต่ำสุดของปี 2018 ที่ 1.2475 และ 1.2405
ในส่วนนักวิเคราะห์ 35% คาดการณ์ว่าราคาคู่นี้จะเติบโตขึ้น โดยมีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 1.2825 และ 1.3000 และจากนั้นที่ 1.3125 และ 1.3200
คำทำนายที่ดูประนีประนอมมากกว่าเป็นของการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โดยในตอนแรกราคาจะขยับไปที่ 1.2600 และขึ้นมาที่ระดับ 1.2825 ก่อนที่จะทรุดตัวลงและดิ่งตัวลดลงมาที่โซน 1.2475 - USD/JPY ดัชนีเทรนด์จำนวน 100% และออสซิลเลเตอร์ 85% ในกรอบ H4 และ D1 ให้สัญญาณสีแดง มีผู้เชี่ยวชาญ 70% ได้โหวตเช่นกันว่าราคาคู่นี้จะขยับลดลงอย่างต่อเนื่องและค่าเงินเยนจะแข็งตัวขึ้นในฐานะสกุลเงินสำรอง ในขณะเดียวกันปรากฏสัญญาณ 15% จากออสซิลเลเตอร์ว่าราคาถูกขายมากเกินไป สำหรับการวิเคราะห์กราฟให้ภาพว่าราคาจะขยับลดลงในช่วงแรกมาที่ระดับ 108.50 และจากนั้นเทรนด์จะมีการกลับทิศทางทำให้ราคาขยับขึ้นมาที่ 110.65 ทั้งนี้ควรคำนึงว่าเพียงแค่มีข้อความทวิตเตอร์จากประธานาธิบดีทรัมป์หนึ่งหรือสองข้อความเกี่ยวกับอนาคตความสัมพันธ์กับจีนก็เพียงพอที่จะส่งผลต่อราคาและหนุนเร่งราคาไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ระดับแนวรับในที่นี้อยู่ที่ 109.00, 108.50 และ 107.75 ในส่วนระดับแนวต้านอยู่ที่ 110.25, 110.65, 111.00 และ 111.65 - คริปโตเคอเรนซี ธนาคารกลางยุโรปได้ประกาศรายงานระบุว่า แม้ว่าคริปโตเคอเรนซีจะไม่มีอิทธิพลรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ณ ตอนนี้ แต่ในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่าสกุลเงินนี้อาจเข้ามาแทนที่เงินยูโร แต่นี่ยังคงเป็นเรื่องของอนาคต ในขณะที่นักวิเคราะห์จาก JPMorgan Chase เชื่อว่าเทรนด์ขาขึ้นล่าสุดของราคาบิทคอยน์ทำให้ราคาไต่ขึ้นเหนือระดับมูลค่าที่แท้จริงของเงินคริปโต และนี่อาจเป็นสัญญาณของอีกหนึ่งการทรุดตัวระยะยาว
อย่างไรก็ตาม หากต้องสรุปความเห็นของนักวิเคราะห์ต่างๆ ขณะนี้มีผู้เชี่ยวชาญเพียง 15% ที่คาดการณ์ทิศทางขาลง ในขณะที่ 45% เชื่อว่าราคาจะขยับในช่องด้านข้างที่ $7,500-8.400 และอีก 40% ประเมินในแง่บวกว่าราคาจะขยับในขาขึ้นโดยระบุว่าราคาสูงสุดของเดือนเมษายน-พฤษภาคมเป็นเป้าหมายที่ใกล้ที่สุดที่ระดับ $9,550 ทั้งนี้ เมื่อปรับมาพิจารณาบทวิเคราะห์ระยะกลางพบว่ามีจำนวนผู้สนับสนุนเทรนด์ในแง่บวกเพิ่มขึ้นเป็น 70%
โรมัน บุทโก, NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ