อันดับแรกเป็นการรีวิวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา:
- EUR/USD การตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์สะเทือนวงการตลาดอีกครั้ง โดยเริ่มหยุดพักเรื่องปัญหาสงครามการค้ากับจีนไว้ก่อนและหันมาจับตามองทางฝั่งเม็กซิโก ด้วยทรัมป์ล้มเหลวในการสร้างกำแพงเขตแดนกั้นกับเม็กซิโก แต่ยังคงต้องการยุติปัญหาผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย สหรัฐฯ จึงเริ่มมาตรการลงโทษเม็กซิโกด้วยค่าเงินดอลลาร์ และประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปรับเพิ่มภาษีสินค้าที่ผลิตในเม็กซิโก ดังนั้น อัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยในเดือนกรกฎาคมภาษีจะเพิ่มขึ้น 10% ต่อมา 15% ในเดือนสิงหาคม 20% ในเดือนกันยายน และสูงถึง 25% ในเดือนตุลาคมตามลำดับ
มีความเป็นไปได้ว่าการใช้อำนาจในครั้งนี้อาจเป็นไปเพื่อบรรลุเป้าหมายสองประการ: นอกเหนือไปจากการลงโทษเม็กซิโกแล้ว เขายังต้องการที่จะส่งสัญญาณให้จีนเกรงกลัวว่าหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งแล้วจะมีผลที่ตามมาอย่างไร แน่นอนว่าจีนไม่ใช่เม็กซิโก ทุกอย่างดูซับซ้อนมากกว่าที่เห็นและค่าเงินดอลลาร์ก็แข็งค่าขึนอย่างต่อเนื่อง ผลการเลือกตั้งสภายุโรปก็ส่งแรงเสริมด้วยเช่นกัน ทำให้ราคาคู่นี้อยู่ที่จุดต่ำสุดในโซนที่ระดับ 1.1115 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมาและปิดตลาดท้ายเดือนที่จุดวกกลับของเดือนที่ 1.1167 ค่าเงินยูโรจึงอ่อนตัวเทียบกับดอลลาร์ประมาณ 350 จุดในช่วงห้าเดือนแรกของปีนี้
ทั้งนี้ หากพิจารณาแล้วจะเห็นว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ค่าเงินยูโรอ่อนตัวมากกว่าตอนนี้ถึง 2.5 เท่าโดยอยู่ที่ประมาณ 900 จุดในช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น ดังนั้น ทั้งนักเทรดและโบรกเกอร์จึงมีเหตุผลอันสมควรที่จะพร่ำบ่นเกี่ยวกับความผันผวนที่ลดต่ำลงในปีนี้ - GBP/USD ภายหลังนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ ประกาศลาออกจากตำแหน่งและความสำเร็จของกลุ่มผู้สนับสนุนเบร็กซิตในการเลือกตั้งสภายุโรปได้รับชัยชนะ ค่าเงินปอนด์ยังคงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่อง ในครั้งที่แล้วมีผู้เชี่ยวชาญกว่า 65% ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย 90% ของสัญญาณจากออสซิลเลเตอร์และเทรนด์ดัชนีที่โหวตให้แนวโน้มขาลงของคู่นี้ และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ราคาไม่เพียงแต่จะขยับลดลงเท่านั้น แต่ยังคงทำสถิติราคาต่ำสุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2019 อีกด้วย โดยราคาขยับลดลงมาที่ระดับ 1.2557 จากนั้นก็มีการฟื้นตัวตามมาและปิดตลาดที่ 1.2630
- USD/JPY ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นทำให้เสียงระวังความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเช่นกัน เหตุการณ์ปะทุในเม็กซิโกโดยประธานาธิบดีทรัมป์ส่งผลให้สินทรัพย์ในตลาดเกือบทุกตัวทรุดตัวลง และสิ่งที่ได้รับผลกระทบเป็นอันดับแรกคือราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นอีกครั้งที่นักลงทุนต้องเริ่มมองหาที่ลี้ภัยที่ปลอดภัยดังเช่น ค่าเงินญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาพักระหว่างรอพายุทางเศรษฐกิจครั้งถัดไป
ด้วยเหตุนี้ เงินเยนจึงมีความแตกต่างจากเงินยูโรและปอนด์ซึ่งอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์ ในทางกลับกันนั้น ค่าเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นโดยไต่ถึงระดับ 108.30 เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งถึงระดับเดียวกับช่วงฤดูร้อนและเป็นไปที่นักวิเคราะห์ 75% ออสซิลเลเตอร์ 85% และเทรนด์ดัชนี 100% ได้ทำนายไว้ - คริปโตเคอเรนซี เป็นเวลาสามสัปดาห์ติดต่อกันที่บิทคอยน์ค่อยๆ พุ่งทะยานเอื้อมสู่ระดับ $10,000 โดยขยับในรูปแบบ “ก้าวเดินหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังครึ่งก้าว” ดังนั้น เมื่อราคาทะลุออกจากระดับ $7,880 ได้สำเร็จ ราคา BTC/USD ก็ได้ขยับขึ้นไปอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา และไต่ถึงระดับ $8,955 เมื่อวันจันทร์ก่อนที่จะมีการปรับตัวของราคาประมาณ 5.5% และเคลื่อนที่ขึ้นอีกครั้งจนมีโอกาสเห็นราคาแตะถึงระดับ $9,100 อย่างไรก็ตาม ราคาไม่สามารถตั้งหลักที่ระดับ $9,100 ได้สำเร็จ แรงกระทิงเริ่มเก็บกำไรและบิทคอยน์ก็ปิดช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ระดับ $8,510 โดยราคาขยับสูงขึ้นกว่า 120% ในช่วงสามเดือนนี้
สำหรับคู่ ETH/USD, LTC/USD และ XRP/USD ทั้ง Ethereum และ Litecoin รวมถึง Ripple ต่างขยับขึ้นตามบิทคอยน์และกลับสู่ตัวเลขของช่วงกลางเดือนพฤษภาคมอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ทำการล่าสุด
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD นอกเหนือไปจากประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ผู้กำหนดกลไกเบื้องหลังที่สำคัญของราคาคู่นี้คือธนาคารเฟดสหรัฐฯ และธนาคารกลางยุโรป โดยนายมารีโอ ดรากีห์ ประธานธนาคารกลางยุโรปจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ และมีผู้ชิงตำแหน่งประธาน ณ ขณะนี้ ได้แก่ นายเจนส์ ไวด์มานน์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนค่าเงินยูโรที่เข้มแข็งและมักสนับสนุนให้มีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอยู่เสมอ ในขณะที่ฝั่งผู้แทนธนาคารเฟดของสหรัฐฯ มีท่าทีที่ตรงกันข้าม โดยให้สัญญาณว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเงินดอลลาร์อันเนื่องมาจากการชะลอตัวในตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ สถานการณ์ดังกล่าวนี้อาจส่งผลดีต่อค่าเงินยูโร แต่ตามรายงานของ Bloomberg ระบุว่าธนาคารกลางยุโรปจะเริ่มปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหลังเดือนเมษายนปี 2020 เท่านั้นและระหว่างนี้ก็อาจมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้อีกมากมาย และอาจเริ่มสังเกตเห็นถึงปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจของยูโรโซนได้ตั้งแต่ตอนนี้
ตามข้อมูลข้างต้นส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 60% ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โหวตว่าราคาจะขยับลดลงมาที่ระดับแนวรับที่ 1.0975 และมีเป้าหมายถัดไปอยู่ต่ำลงมาอีก 100 จุด
ดัชนีส่วนใหญ่ให้สัญญาณในทิศใต้เช่นกัน โดย 50% ให้สัญญาณเป็นสีแดง 25% สีเขียว และ 25% เป็นสีเทากลาง
ผู้สนับสนุนแนวโน้มกระทิงในที่นี้ยังคงเป็นกลุ่มน้อย โดยกลุ่มนี้มองว่าราคาจะไม่สามารถตัดทะลุระดับแนวรับที่โซน 1.1100 ได้สำเร็จและราคาอาจขยับขึ้นถึง 1.1265-1.1325 ในช่วงรีบาวด์
ณ ขณะนี้ เหตุการณ์สำคัญที่ควรค่าต่อการให้ความสนใจ ได้แก่ การประกาศดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในยูโรโซน สหรัฐฯ และจีนในวันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน และในวันอังคารซึ่งจะเป็นการประกาศรายงานระดับเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานในยูโรโซน
ในวันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน จะเต็มไปด้วยข่าวรายงานจากยุโรป ได้แก่ รายงานค่า GDP ผลการตัดสินใจในอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางยุโรป และที่สำคัญที่สุดคือแถลงข่าวโดยธนาคารยุโรปเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน
ลำดับสุดท้ายเราจะได้เห็นการประกาศสถิติตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์แรกของเดือน โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าดัชนี NFP อาจลดลงประมาณ 30% (จาก 263K เหลือ 190K) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวอยู่สักระยะ
- GBP/USD คู่แข่งคนสำคัญสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนี้คืออดีตผู้ว่าการกรุงลอนดอนและรัฐมนตรีต่างประเทศ นายบอริส จอห์นสัน และสิ่งนี้เป็นข่าวร้ายสำหรับเงินปอนด์ เนื่องจากนายจอห์นสันเป็นผู้สนับสนุนเบร็กซิตแบบ “เด็ดขาด” และต้องการผลักดันให้อังกฤษแยกตัวจากอียูโดยปราศจากข้อตกลง ผลลัพธ์ดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกลัวในตลาด และ ณ ตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 65% ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์จำนวน 90% และเทรนด์ดัชนี 100% ในกรอบ D1 คาดการณ์ว่าค่าเงินปอนด์อังกฤษจะอ่อนค่าลงต่อไปและขยับลดลงในตอนแรกไปที่ระดับแนวรับ 1.2555 และจากนั้นจะไปที่จุดต่ำสุดของปี 2018 ที่ 1.2475 และ 1.2405
นักวิเคราะห์อีก 35% ที่เหลือเชื่อว่าพฤติกรรมของคู่นี้ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเป็นตัวกำหนดให้เกิดการปรับตัวของราคาครั้งใหญ่ ซึ่งราคาอาจจะกลับขึ้นมาสู่ระดับ 1.2745 หรืออาจขยับถึงแนวต้านที่ 1.2825
สำหรับการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 ให้ผลวิเคราะห์ที่ประนีประนอมมากกว่า โดยมองว่าราคาอาจขยับขึ้นถึงระดับ 1.2825 ในตอนแรกและหลังจากนั้นจะกลับทิศทางลงมาที่โซน 1.2405-1.2475 - USD/JPY แม้ว่าดัชนีเทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ในกรอบ H4 และ D1 85% จะให้สัญญาณเป็นสีแดง สถานการณ์ ณ ที่นี้ยังไม่เรียบง่ายแค่นั้น โดยสัญญาณ 15% จากออสซิลเลเตอร์ระบุว่าราคากำลังอยู่ในช่วงถูกขายมากเกินไป โดยมีแนวรับอยู่ที่ 107.75 และ 107.00 และแนวต้านอยู่ที่ 109.15, 109.65, 110.35 และ 110.65
สำหรับผู้เชี่ยวชาญ คะแนนโหวตแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้: 50% โหวตให้กับตลาดหมี 25% โหวตให้กับตลาดกระทิง และ 25% ให้คะแนนตรงกลาง ทั้งนี้ ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายถูกต้องมากที่สุดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตลาดหุ้นซึ่งราคาคู่นี้มีความสัมพันธ์ด้วยสูง อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับข้อความทวิตเตอร์ของประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับท่าทีในสงครามทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันเมื่อปรับมาพิจารณาการวิเคราะห์ในระยะกลาง สถานการณ์ดูเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยในที่นี้มีผู้เชี่ยวชาญ 75% ที่โหวตให้กับค่าเงินดอลลาร์ - คริปโตเคอเรนซี เมื่อหกปีที่แล้วในปี 2013 มีการตีพิมพ์ข้อความประหลาดจากนายลูก้า แม็กนอตตา จาก The Future ซึ่งเป็นการทำนายราคาบิทคอยน์ซึ่งผลปรากฏว่าข้อความดังกล่าวมีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ “โดยเฉลี่ยในทุกๆ ปี ราคาบิทคอยน์จะเพิ่มมูลค่าขึ้นประมาณ 10 เท่า” กล่าวโดยนายแม็กนอตตา “ราคาจะเพิ่มจาก $0.1 ในปี 2010 เป็น $1 ในปี 2011 เป็น $10 ในปี 2012 และ $100 ในปี 2013 จากนั้นราคาจะชะลอตัวและจะเริ่มขยับขึ้นสิบเท่าในทุกๆ สองปี โดยราคาบิทคอยน์ขยับขึ้นเป็น $1,000 ในปี 2015 $10,000 ในปี 2017 เป็น $100,000 ในปี 2019 และ $1,000,000 ในปี 2021”
สำหรับปี 2019 นี้ยังเหลือเวลาอีกเจ็ดเดือน จะอย่างไรก็ตาม ค่าเงินคริปโตแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างน่าประทับใจเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายตามที่นายแม็กนอตตาได้ประเมินไว้
สำหรับคำทำนายในระยะสั้น นายปีเตอร์ แบรนดท์ นักวิเคราะห์ชื่อดังระบุว่าในเร็วๆ นี้ราคาบิทคอยน์จะทะลุระดับ $10,000 ได้สำเร็จอันเป็นผลมาจาก “ความกลัวที่จะพลาดโอกาส” ในขณะเดียวกัน เขากล่าวเน้นย้ำด้วยว่าการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ก็อยู่ไม่ไกลออกไปเช่นเดียวกัน เพราะฝั่งตลาดกระทิงจะต้องการเก็งกำไร และการเทขายครั้งนี้อาจช่วยยับยั้งให้ฝั่งผู้ซื้อไม่พยายาม “กระโดดขึ้นรถไฟที่กำลังออกจากสถานี”
ซึ่งแตกต่างไปจากความเห็นของนายแบรนดท์ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (70%) ตั้งเป้าหมายที่อ่อนน้อมถ่อมตัวมากกว่า โดยระบุว่าเป้าหมายของคู่ BTC/USD น่าจะขึ้นไปตั้งหลักเหนือระดับ $9,000 ในขณะที่ 30% ที่เหลือเชื่อว่าราคาจะหยุดพักสักครู่และจะขยับในช่องด้านข้างที่ $7,500-8,500
กล่าวโดยสรุปแล้ว ควรคำนึงว่าบทวิเคราะห์นี้เขียนขึ้นในวันศุกร์ ณ เวลา 24:00 นาฬิกา (ตามเวลามาตรฐานสากล) และมีความเป็นไปได้ที่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ตลาดกระทิงจะผลักราคาบิทคอยน์ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง
โรมัน บุทโก, NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ