อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD เงินยูโรแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อวันจันทร์ แต่ไม่ได้แปลว่าผิดความคาดหมาย มีนักวิเคราะห์ 35% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 และ D1 ได้ทำนายว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้นมาที่ 1.1100 บางคนอาจตัดสินว่าการแข็งค่าขึ้นในครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับผลงานของ คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปคนใหม่ แต่การสันนิษฐานนี้ไม่น่าจะถูกต้อง เนื่องจากคำแถลงของลาการ์ดส่วนใหญ่แล้วไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแนวโน้มนโยบายทางการเงิน แต่มุ่งไปที่แนวโน้มการสร้างเงินคริปโตยูโร แต่อย่างไรก็ตามการเปิดศักราชใหม่ของธนาคารกลางก็อาจมีผลต่อค่าเงินยูโรที่แข็งขึ้นบ้าง ในส่วนการประกาศดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในภาคการผลิตเยอรมนีและสหภาพยุโรป ซึ่งตัวเลขเติบโตเล็กน้อย ก็ส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนในทางบวกเช่นกัน แต่ในส่วนสถิติมหภาคจากสหรัฐฯ กลับไม่ทำให้นักลงทุนพึงพอใจเท่าใดนัก ดัชนีกิจกรรมธุรกิจของ ISM ในภาคการผลิตและภาคบริการมีตัวเลขลดลง ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรขยับขึ้นไปที่ 1.1116
ปลายสัปดาห์ไม่มีเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจ ผลตัวเลขของดัชนีสำคัญอย่างจำนวนตำแหน่งงานนอกภาคการเกษตร (ดัชนีนอนฟาร์มหรือ NFP) เพิ่มขึ้นกว่า 70% และตลาด็ตอบสนองโดยทันที ส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 60 จุดก่อนที่ราคาจะรีบาวด์ขึ้นมาและปักหลักที่ 1.1060 - GBP/USD ดูเหมือนว่าทุกอย่างน่าจะแน่นิ่งเพื่อรอผลการเลือกตั้งรัฐสภาในวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคมนี้ เนื่องจากอนาคตเบร็กซิตและสหราชอาณาจักรจะขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ค่าเงินปอนด์ก็ไต่ขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดทั้งสัปดาห์ ได้รับผลจากการทำนายผลการเลือกตั้งล่วงหน้า สถิติเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากสหรัฐฯ และความคืบหน้าของการประชุม OPEC+ ค่าเงินปอนด์อังกฤษมีความสัมพันธ์ต่อราคา “น้ำมัน” เป็นอย่างมาก และผลการตัดสินใจของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันที่จะลดปริมาณการผลิตในตลาดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม เป็นต้นไป โดยลดปริมาณกว่า 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวันก็ส่งผลบวกต่อเงินปอนด์เช่นกัน ทำให้ GBP/USD ปิดท้ายสัปดาห์ที่ 1.3132 ขยับขึ้นมากว่า 215 จุดในเวลาห้าวัน
- USD/JPY ตามสถานการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาคู่นี้น่าจะกลับลงทิศใต้ที่ระดับ 110.000 ซึ่งราคากลับลงจริงแต่อยู่ห่างจากเป้าหมายดังกล่าวประมาณ 25 จุด และหลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นตามคำทำนายอย่างชัดเจน ราคาตกลงไปที่แนวรับ 109.00 ก่อนที่จะพักตัวและลดตัวลงมายังแนวรับถัดมาที่โซน 108.50 และปิดตลาดซื้อขายที่ 108.500
- คริปโตเคอเรนซี ทวิตเตอร์ประกาศข่าวที่เหนือความคาดกหมาย โดยข่าวนี้เผยแพร่ออกมาจาก แจ็ค ดอร์ซีย์ ซีอีโอของทวิตเตอร์ เขากล่าวว่าอนาคตของวงการคริปโตเคอเรนซีจะกำหนดโดย..แอฟริกา ทำไมน่ะหรือ? เหตุเพียงเพราะว่าแอฟริกานั้นยากจนมาก และนี่จะเป็นเหตุผลที่ให้ประเทศในภูมิภาคนี้หันมาใช้บิทคอยน์และเงินคริปโตสกุลอื่นๆ
คำทำนายนี้อาจมีตรรกะอยู่บ้าง ณ ตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดดิจิทัลนั้นกำหนดโดยสหรัฐฯ ยุโรป และจีนเป็นหลัก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยุโรปมีข่าวเด่นออกมาว่า ธนาคารกลางยุโรปกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการสร้างเงินดิจิทัลยูโรอย่างเป็นทางการ คริสติน ลาการ์ด ประธานคนใหม่ของธนาคารกลางยุโรปกล่าวต่อสภายุโรปว่า “เป้าหมายของเราคือการสร้างระบบการชำระเงินในยุโรปที่เป็นนวัตกรรม น่าเชื่อถือ และมีความบูรณาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนในพื้นที่ยูโรและจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเงินยูโรในตลาดโลกได้เป็นอย่างมาก” แต่จากนั้นเธอก็เสริมว่า การดำเนินการนี้จำเป็นจะต้องประเมินความเสี่ยงทั้งหมดและชั่งน้ำหนักระหว่าง “ข้อดี” และ “ข้อเสีย” อย่างระมัดระวัง
สำหรับคำทำนายของสัปดาห์ที่แล้วนั้นถูกต้องแม่นยำโดยรวม ในครั้งก่อนหน้า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ทำนายว่าราคาคู่ BTC/USD จะอยู่ในเทรนด์ด้านข้างที่ช่วง $7,000-8,000 ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญ 40% ยังไม่ได้ตัดโอกาสที่ราคาจะตัดทะลุกรอบด้านบนของช่วงดังกล่าว
ในความเป็นจริง ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามนั้น โดยราคาขยับใกล้กับกรอบด้านบน และขยับลงมายังระดับ $7,095 จากนั้นราคาก็กระโดดขึ้นไปเมื่อวันพุธที่ 4 ธันวาคม แต่แรงตลาดกระทิงมีกำลังมากพอที่จะผลักหนุนราคาบิทคอยน์ขึ้นมาถึงระดับ $7,865 เท่านั้น ตามมาด้วยการกลับทิศทางอย่างรวดเร็วจนตกลงมาที่ $7,110 จากนั้น ราคาก็กลับมาอยู่โซนตรงกลางของช่อง ทำให้ความผันผวนลดลงมาอยู่ในช่วง $7,330-7,465
ราคาของอัลท์คอยน์สกุลติดอันดัช เช่น Ripple (XRP/USD), Ethereum (ETH/USD) และ Litecoin (LTC/USD) เดินตามรอยการเคลื่อนที่ของ “พี่ใหญ่” อย่างบิทคอยน์เช่นกัน และแม้ว่าสกุลเงินเหล่านี้จะอยู่ในโซนสีเขียวในช่วงท้ายสัปดาห์ ผลลัพธ์โดยรวมในรอบสัปดาห์ยังคงถือว่าเป็นลบ โดยราคา Rupple ลดต่ำลง 3.5% ส่วน Ethereum ลดลง 5% และ Litecoin ลดลง 9%
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD สหรัฐฯ และยุโรปคาดการณ์เหตุการณ์สำคัญสามเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ได้แก่ ผลการตัดสินใจในอัตราดอกเบี้ยของธนาคารเฟดในวันพุธที่ 11 ธันวาคม และของธนาคารกลางยุโรปในวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม รวมถึงกำหนดการเลือกตั้งรัฐสภาสหราชอาณาจักรในวันพฤหัสบดีเช่นกัน และหากธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรปมีแนวโน้มที่จะรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้คงเดิม ณ ขณะนี้ อาจมีเหตุการณ์เซอร์ไพรส์จากการเลือกตั้งในอังกฤษ ผลจากโพลสำรวจการเลือกตั้งจะเป็นที่ทราบกันในช่วงท้ายของวันพฤหัสบดีตามเวลายุโรป และผลลัพธ์สุดท้ายของการเลือกตั้งจะประกาศในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งเราจะได้เห็นการตอบสนองอย่างรุนแรงในตลาด
แม้ว่าวันศุกร์ที่ 13 มีความเชื่อที่ไม่ค่อยดีสำหรับผู้ที่เชื่อในโชคลาง คำทำนายของผู้เชี่ยวชาญก็ไม่เลวร้ายเท่าใดนัก 65% ของผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โหวตให้กับเทรนด์ขาขึ้นของราคามาที่แนวรับ 1.1100 และในกรณีที่ฝ่ายค้านเบร็กซิตแบบเด็ดขาดชนะการเลือกตั้งในอังกฤษ ราคาอาจแตะถึงระดับ 1.1175 ได้อย่างง่ายดาย
สำหรับคำทำนายจนถึงช่วงปลายเดือนธันวาคม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าราคาคู่นี้จะขยับไปตามจุดวกกลับที่ 1.1000 โดยผันผวนในช่วง 1.0900-1.1100 - GBP/USD ตามที่ระบุข่างต้น อนาคตอันใกล้ของเงินปอนด์จะถูกตัดสินตามผลการเลือกตั้งวันที่ 12 ธันวาคม ในระหว่างนี้ ผู้เชี่ยวชาญทำได้แค่ยักไหล่ สำหรับผู้ที่นิยมวิเคราะห์กราฟและรูปทรงแท่งเทียนมากกว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน สามารถกล่าวได้ว่าการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 แสดงการเติบโตของราคาไปที่แนวรับ 1.3175 ในตอนต้นจากนั้นไปที่ 1.3370 และจะอยู่ที่ความสูง 1.355 ในช่วงปีใหม่ ทั้งนี้ ดัชนีเทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ D1 กว่า 85% สนับสนุนแนวรับดังกล่าว โดยมีสัญญาณ 15% ที่เหลือว่าราคาอยู่โซนถูกซื้อมากเกินไป ชี้ถึงความเป็นไปได้ที่เทรนด์จะขยับลง
- USD/JPY ขณะนี้ราคาอยู่ในโซนแนวรับ/แนวต้านที่เข้มแข็ง เห็นได้ชัดมาตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2017 เราสามารถพูดถึงแนวโน้มด้านข้างที่แนวรับ 108.25 ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (65%) เชื่อว่า แม้จะด้วยความพยายามทั้งหมดแล้ว ราคาจะไม่สามารถตัดทะลุแนวรับได้ในอนาคตอันใกล้ ดังนั้นราคาจะขยับในช่วงด้านข้างที่เริ่มมาตั้งแต่เดือนตุลาคม พวกเขามองว่าหากดัชนีเศรษฐกิจมหภาคของยุโรปและลาตินอเมริกาอ่อนแอพอ จำนวนนักลงทุนที่หันไปให้ความสนใจในเงินดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินหลบภัยจะเพิ่มขึ้น และด้วยส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย เงินดอลลาร์จะมีความน่าดึงดูดมากกว่าเงินเยนอยู่มาก ซึ่งจะผลักราคาให้ขึ้นไป แนวรับใกล้ที่สุดอยู่ที่ 109.00 แนวรับถัดไปอยู่ที่ 109.30 เป้าหมายอยู่ที่ 109.75
แน่นอนที่ราคาคู่นี้สามารถได้รับอิทธิพลจากผลการเจรจาทางการค้าสหรัฐฯ-จีนได้ รวมถึงผลการเลือกตั้งรัฐสภาในสหราชอาณาจักร ดังนั้น โอกาสตลาดหมียังไม่ถูกตัดออกไป ซึ่งในคำทำนายนี้ราคาจะรีบขยับไปที่ระดับต่ำสุดของวันที่ 3 ตุลาคมที่ 106.50 แนวรับตรงกลางอยู่ที่โซน 107.90, 107.50 และ 107.00 โดยนักวิเคราะห์ 35% โหวตให้กับทิศทางนี้ รวมถึงดัชนี 70% ในกรอบ D1
- คริปโตเคอเรนซี เหตุการณ์สำคัญที่สุดในสัปดาห์ที่จะถึงนี้น่าจะเป็นการเปิดตัวฟิวเจอร์สบิาคอยน์บนแพล็ตฟอร์ม Bakkt ในวันที่ 9 ธันวาคม แต่ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่างานนี้จะช่วยบิทคอยน์หรือไม่ มีความเห็นว่าแพล็ตฟอร์มนี้เป็น “มือ” ของรัฐบาลสหรัฐฯ และสามารถพลิกตลาดเงินคริปโตในจังหวะที่ดีหรือในทางกลับกันทำให้ตลาดพักสักระยะ ข้อสันนิษฐานนี้ได้รับการยืนยันจากข้อเท็จจริงที่ซีอีโอของ Bakkt เคลลี่ เลิฟฟ์เลอร์ ขณะนี้ดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกจากรัฐจอร์เจีย
แรงกดดันจากทางการต่อตลาดดิจิทัล และความประสงค์ที่จะควบคุมเงินดิจิทัลนั้นไม่เพียงแต่จะผลักราคาคริปโตเคอเรนซีขึ้นไปเท่านั้น แต่ภัยการขาดทุนมหาศาลก็ทำให้นักลงทุนรายใหญ่จำนวนมากวิตกหวาดกลัวเช่นกัน ตามรายงานของ Bloomberg ชี้ว่าความกังวลนี้ได้ส่งผลให้มีการปิดตัวลงของเฮดจ์ฟันด์เงินคริปโตกว่า 70 แห่งในปี 2019 จำนวนของกองทุนเงินคริปโตที่สร้างขึ้นมาใหม่ก็ลดลงเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดังนั้นคำทำนายว่าบิทคอยน์จะขยับขึ้นถึง $20,000 ภายในสิ้นปีนี้ก็ไม่น่าจะเป็นจริงได้
อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ Ceteris Paribus มีเหรียญ BTC เกือบ 600,000 เหรียญ (มูลค่ากว่า $5 พันล้านดอลลาร์) ยังคงไม่เคลื่อนที่ไปไหนในหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ชี้ถึงความหวังของนักลงทุนภาคเอกชนว่าบิทคอยน์จะขยับขึ้นในอนาคต เหตุผลเบื้องหลังอาจเป็นการ Halving-2020 ซึ่ง “กูรูเงินคริปโต” บางส่วนมองว่าราคาบิทคอยน์อาจกระโดดขึ้นไป 4,000% จากการฮาล์ฟ้หรียญ พวกเขาอ้างอิงราคาที่กระโดดขึ้นจากมูลค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลหลัก ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการปรับลดผลตอบแทนให้กับนักขุดสองรอบที่ผ่านมา โดยหลังจากการปรับลดครั้งแรก ราคาพุ่งขึ้นไปกว่า 3,420% และครั้งที่สองที่ 4,080% อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Litecoin เมื่อมีการฮาล์ฟเหรียญเมื่อช่วงปลายฤดูร้อนปี 2019 ที่ผ่านมา ชี้ว่าความคาดหวังที่โรยด้วยกลีบกุหลาบนั้นเปล่าประโยชน์ ราคา LTC เริ่มขยับสูงขึ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันฮาล์ฟเหรียญ และ LTC/USD ก็ขยับลง
กลับมาที่บิทคอยน์ สมมติว่าคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่สำหรับเดือนธันวาคมไม่แสดงถึงอะไรที่ดีสำหรับคู่ BTC/USD ผู้เชี่ยวชาญ 65% มองราคาอยู่ที่โซน $6,000-6,600 อย่างไรก็ตาม หลายอย่างขึ้นอยู่กับการเปิดการซื้อขายบน Bakkt ว่าจะเป็นอย่างไร ณ ขณะนี้ ดัชนี Crypto Fear & Greed ยังคงอยู่ในเกณฑ์หนึ่งในสามด้านล่างที่ 29 ซึ่งตรงกับระดับความกลัวปานกลางในหมู่นักลงทุน
โรมัน บุทโก, NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ