อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD ตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม ดังนั้นการตอบสนองของตลาดต่อการตัดสินใจนี้จึงแทบจะเป็นศูนย์ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคริสติน ลาการ์ด ประธานคนใหม่ของธนาคารกลางยุโรปอยู่ฝั่งเงินดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บอกต่อผู้ติดตามของเขาว่า “พวกเรา (อเมริกา) เข้าใกล้กับการได้ข้อสรุปในข้อตกลงครั้งใหญ่กับจีน พวกเขาก็อยากได้ข้อตกลงเหมือนกับเรา!” กล่าวคือหากก่อนหน้าประธานาธิบดีทรัมป์เคยบอกว่าข้อตกลงการค้าเป็นสิ่งที่ฝ่ายจีนต้องการ ตอนนี้ปรากฏว่าทางวอชิงตันก็สนใจที่จะลงนามเช่นเดียวกัน
ต่อมา Bloomberg รายงานว่าทรัมป์ได้ลงนามในข้อตกลงฉบับชั่วคราวเพื่อป้องกันการเพิ่มภาษีในวันที่ 15 ธันวาคมแล้ว ซึ่งเป็นข้อกำหนดเพิ่มเติมนอกเหนือจากการปฏิเสธการขึ้นภาษีรอบใหม่ และยังเป็นการปรับลดอัตราภาษีปัจจุบันสำหรับสินค้านำเข้าจีนหลายประเภทด้วยเช่นกัน
ปัจจัยกระตุ้นที่สองของเงินดอลลาร์คือ คริสติน ลาการ์ด ซึ่งเธอรายงานว่าธนาคารกลางยุโรปอาจมีการปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP และเงินเฟ้อในปี 2020 และโดยทั่วไปจะยังคงนโยบายการเงิน ณ ปัจจุบันตามเดิม
ด้วยปัจจัยของผู้นำทั้งสองนี้ ผลลัพธ์ในสัปดาห์อาจส่งผลร้ายแรงต่อค่าเงินยูโร แต่จากผลลัพธ์การเลือกตั้งรัฐสภาในสหราชอาณาจักรที่ชัยชนะเป็นของฝั่งพรรคอนุรักษ์นิยม ส่งผลให้เงินปอนด์ขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็ผลักให้ค่าเงินยูโรแข็งขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ค่าเงินคู่ EUR/USD ขยับขึ้นสูงสุดไปที่โซนแนวรับ-แนวต้านกลางหลักที่บริเวณ 1.1200 อย่างไรก็ตาม จากนั้นราคาก็กลับคืนสมดุลแห่งอำนาจเดิมและปิดตลาดที่ 1.1116 - GBP/USD หลังประกาศผลการเลือกตั้ง ปรากฏช่องว่างกับทั้งเงินยูโร และเงินปอนด์ พรรคอนุรักษ์นิยมที่นำโดยนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของสหราชอาณาจักร เป็นฝ่ายชนะที่นั่งเสียงข้างมากในรัฐสภา ทำให้เกิดความหวังว่าความสับสนเกี่ยวกับเบร็กซิตมาตลอดหลายปีนั้นจะยุติลง และภายในวันที่ 31 มกราคม ปี 2020 กระบวนการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากอียูจะเริ่มขึ้น
โดยทั่วไป ผลลัพธ์การเลือกตั้งได้รับการตอบสนองโดยตลอด ทำให้คู่ GBP/USD ขยับขึ้นเกือบ 500 จุด และไต่ถึงเหนือระดับ 1.3500 ผู้เล่นหลายคนเริ่มปิดตำแหน่งซื้อ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ข้างต้น ดังนั้น ภายในช่วงปิดตลาด สกุลเงินปอนด์เสียตำแหน่งเกือบ 180 จุด โดยหยุดที่ 1.3340 - USD/JPY ในขณะที่เงินยูโรและเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเทียบกับเงินดอลลาร์ ในทางกลับกัน เงินเยนอ่อนค่าลง ในครั้งที่แล้วผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่โหวตให้กับแนวโน้มขาขึ้นของคู่นี้ไปที่ระดับ 109.75 และคำทำนายนี้ถูกต้อง 100%
สหรัฐฯ และจีนใกล้ที่จะลงนามในข้อตกลงการค้า และในวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ได้อัปเดตตัวเลขสูงสุดใหม่ ความสนใจของนักลงทุนจึงกลับมาสู่สินทรัพย์ประเภทเสี่ยงอีกครั้งดังเช่น ดัชนีหุ้นฟิวเจอร์ส ส่งผลให้มีการแห่ขายเงินเยนญี่ปุ่น และทำให้อัตราแลกเปลี่ยนลดลงสูงสุดกว่า 130 จุด ก่อนที่จะปิดตลาดที่ระดับ 109.35 - คริปโตเคอเรนซี ภายในสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ยังคงอยู่ในเกณฑ์หนึ่งในสามล่างสุดที่ 29 ซึ่งตรงกับเกณฑ์ความกลัวปานกลางในหมู่นักลงทุน และนี่คือลักษณะการเคลื่อนไหวของตลาด มีแรงซื้อปานกลางและมีแรงขายมากกว่าเล็กน้อย คู่ BTC/USD ขยับในช่วง $7,100-7,700 ตลอดทั้งสัปดาห์โดยมีแรงตลาดหมีมากกว่า จนกดราคาลงมาอย่างช้าๆ ที่ระดับด้านล่างของกรอบราคา ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา Bitcoin เสียมูลค่าประมาณ 4.5% การเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันปรากฏกับอัลท์คอยน์สกุลอื่นๆ เช่น Ripple (XRP/USD), Ethereum (ETH/USD) และ Litecoin (LTC/USD) ซึ่งโดยทั่วไปมักจะขยับตามการเคลื่อนที่ของบิทคอยน์
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD ในแวบแรกดูเหมือนจะมีเหตุการณ์สำคัญมากมายในสัปดาห์ที่จะถึงข้างหน้านี้ ซึ่งได้แก่ การประกาศดัชนี PMI Markit ของเยอรมนี และอียูในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม การแถลงของนางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปในวันพุธ และการประกาศสถิติรายปีของค่า GDP สหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม แทบจะไม่คุ้มค่าต่อการรอให้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยอีก เหมือนกันกับที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งสหราชอาณาจักรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มเชื่อว่าราคาคู่นี้จะถูกกดดันจากความสำเร็จในการเจรจาสหรัฐฯ-จีน ในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญที่เหลือมองว่าราคาจะยังคงขยับขึ้นต่อไปอย่างช้าๆ อยู่สักระยะ
ทั้งนี้ควรคำนึงว่าออสซิลเลเตอร์และดัชนีเทรนด์ในกรอบ D1 จำนวน 85% ยังคงให้สัญญาณสีเขียว ผู้เชี่ยวชาญอีก 85% ก็คาดว่าราคาจะขยับขึ้นต่อไปในอนาคตอันใกล้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขามองว่าแนวโน้มการเติบโตนี้จะไม่สำคัญเท่าใดนัก โดยราคาจะพยายามตัดทะลุแนวต้านที่ 1.1200 และเมื่อมีการตีกลับ ราคาอาจขยับไปที่โซน 1.1225-1.1235 มีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1.1255 อย่างไรก็ดี จากนั้นน่าจะตามมาด้วยการกลับตัวของเทรนด์ ทำให้ราคากลับไปสู่โซน 1.1000-1.1100 ซึ่งแนวโน้มของสถานการณ์นี้อาจใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสามสัปดาห์ ซึ่งนักวิเคราะห์ 65% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 เห็นด้วยกับสถานการณ์นี้
- GBP/USD สำหรับอีกห้าวันข้างหน้า สถิติเศรษฐกิจมหภาคของสหราชอาณาจักรจะเริ่มหลั่งไหลเข้ามามากมาย ในวันจันทร์นี้จะมีการประกาศดัชนี PMI ภาคบริการของ Markit ในวันอังคาร์จะเป็นอัตราการว่างงาน ILO ส่วนในวันพุธมีการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค ในวันพฤหัสบดีเป็นการประกาศผลการตัดสินใจในอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ รวมถึงรายงานว่าด้วยนโยบายทางการเงิน และในวันศุกร์จะประกาศสถิติ GFP ในไตรมาสที่สาม ซึ่งไม่มีวันไหนในสัปดาห์ที่ไม่มีข่าวออกมา แต่ที่สำคัญมากที่สุด ตลาดจะเฝ้ารอติดตามถ้อยแถลงของนายบอริส จอห์นสัน เกี่ยวกับการเริ่มกระบวนการเบร็กซิต ซึ่งในครั้งนี้เขามีเวลาถึงวันที่ 31 มกราคม 2020 เพื่อลงนามในข้อตกลงกับสหภาพยุโรปในรัฐสภา
ในระหว่างนี้ คำทำนายของผู้เชี่ยวชาญสำหรับเงินปอนด์ดูจะไม่ต่างจากเงินยูโร ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (65%) สนับสนุนโดย 90% ของดัชนีในกรอบ D1 เชื่อว่า ราคาคู่นี้จะพยายามเร่งพัดตัวเป็นพายุขึ้นไปที่ระดับ 1.3500 อีกครั้ง ซึ่งราคาเคยแตะถึงเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคมจนถึงวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม แต่มีเพียงผู้เชี่ยวชาญ 25% เท่านั้นที่เชื่อในความสำเร็จของพายุลูกดังกล่าว นักวิเคราะห์ 75% ที่เหลือซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟเชื่อว่า อีกไม่นานเราจะได้เห็นคู่ GBP/USD ในโซน 1.3100-1.3200 อีกครั้ง และทำไมถึงจะไม่ล่ะ? มีอะไรที่ดีรอสหราชอาณาจักรอยู่หลังการแยกตัวออกจากอียูบ้าง? นั่นคือคำถามหลัก - USD/JPY 75% ของนักวิเคราะห์เชื่อว่าความคืบหน้าในการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน ยังคงเป็นปัจจัยผลักดันอัตราแลกเปลี่ยนคู่นี้ขึ้น แรงหนุนเพิ่มเติมได้มาจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และญี่ปุ่นรอบ 10 ปีที่เพิ่มขึ้นในตลาดตราสารหนี้ ในส่วน 85% ของออสซิลเลเตอร์ และดัชนีเทรนด์ 95% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 เห็นด้วยกับคำทำนายนี้ โดยมีแนวต้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ 109.70 และมีเป้าหมายที่ราคาจะแข็งตัวในโซน 110.00-111.00
ผู้เชี่ยวชาญอีก 25% ที่เหลือเชื่อว่าราคาจะไม่สามารถขยับออกจากกรอบ 108.40-109.70 ได้ ซึ่งราคาจะยังคงเคลื่อนที่ในช่องดังกล่าวอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ เทรนด์อาจมีการกลับตัวและส่งผลให้ราคากลับมาที่แนวรับ 108.40 ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ด้วยออสซิลเลเตอร์ 15% ว่ามีแรงซื้อมากเกินไป และแนวรับถัดไปอยู่ที่ 108.25 - คริปโตเคอเรนซี ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ยังคงอยู่ที่ระดับหนึ่งสามล่างสุดและปรับลดลงมาหนึ่งไตรมาสจากสัปดาห์ที่แล้วจนเหลืออยู่ที่ระดับ 22 สถานการณ์โดยทั่วไป ณ ขณะนี้อาจเรียกว่าเป็นภาวะชะงักงัน แต่ตลาดเงินคริปโตมีชื่อเสียงในเรื่องความสงบระยะยาวที่จะตามมาด้วยแรงขาขึ้นหรือขาลงอย่างฉับพลัน นักเทรดส่วนใหญ่เข้ามาในตลาดนี้เพื่อทำเงินจากความผันผวนที่รุนแรงในคริปโตเคอเรนซี
มันไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงแรงตลาดกระทิงหรือตลาดหมีสำหรับนักเก็งกำไร ดังนั้นแม้ราคาจะอยู่ในขาลง เครือข่ายบิทคอยน์จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องและตอนนี้มีที่อยู่บิทคอยน์กว่า 28.4 ล้าน ตามหลักฐานที่อ้างอิงโดยบริการข้อมูล CoinMetrics ลักษณะการเคลื่อนที่เดียวกันนี้ก็เคยปรากฏขึ้นในปีที่แล้ว ซึ่งราคาบิทคอยน์ซื้อขายอยู่ที่ $3,200 ในช่วงนั้น นักลงทุนหลายคนฉวยโอกาสจากแนวโน้มขาลงและเริ่มกว้านซื้อบิทคอยน์อย่างคึกคัก
ตามการบริการ glassnode ชี้ว่าจำนวนวอลเล็ตที่มีปริมาณบิทคอยน์พันหน่วยหรือมากกว่านั้นมีจำนวนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เจ้าของหวังว่าจะทำกำไรโดยเฉพาะหลังการฮาล์ฟบิทคอยน์ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2020
ตามความเห็นของอันโทนี ปอมพลีอาโน ผู้ร่วมก่อตั้ง Morgan Creek Digital เขากล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าราคาจะเร่งขยับขึ้นในวันหลังจากการฮาล์ฟเหรียญ แต่ผมเชื่อว่าเริ่มตั้งแต่มูลค่า ณ ปัจจุบัน ราคาจะขยับขึ้นถึง $100,000 ภายในเดือนธันวาคม 2021” ทำนายโดยผู้ประกอบการรายนี้
ซึ่งผลจากการฮาล์ฟเหรียญ ขนาดผลตอบแทนในการเครือข่ายบิทคอยน์จะลดลงสองเท่าจาก 12.5 เหลือ 6.25 เหรียญต่อบล็อก แต่ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในอีกห้าเดือนข้างหน้า แต่หากเราพูดถึงคำทำนายในอนาคตอันใกล้ 65% ของผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าคู่ BTC/USD จะลดลงมาที่โซน $6,500-6,800 ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 35% ที่เหลือมองว่า ราคาจะพยายามขยับขึ้นเหนือระดับ $8,000
โรมัน บุทโก, NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ