อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD อย่างที่คุณทราบดี ชีวิตคนเราก็เหมือนกับม้าลายที่มีแถบสีดำสลับกับแถบสีขาว และในครั้งนี้ก็เช่นกัน: หลังจากเทศกาลวันหยุดปีใหม่ที่แสนสุขสันต์ก็ตามมาด้วยการเฝ้าติดตามภาวะสงครามเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน แต่ไม่กี่วันให้หลังก็มีความชัดเจนว่าทั้งสองฝ่ายต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งแบบเต็มรูปแบบ และความตึงเครียดในสนามการเมืองก็ค่อยๆ คลี่คลายลงอย่างช้าๆ อย่างที่เห็นได้ชัดจากราคาน้ำมัน
ในสัปดาห์ที่แล้ว ในตอนต้น ทุกอย่างดูดีสำหรับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอันเป็นผลมาจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำราคาสูงสุดใหม่และแถลงการณ์ในแง่บวกจากผู้นำธนาคารเฟด นายริชมอนด์ โธมัส บาร์คิน ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ กล่าวว่า เศรษฐกิจประเทศและสภาพตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ดูมีความเข้มแข็ง และตามความเห็นของรองประธานฯ นายริชาร์ด คลาริดา นโยบายการเงินของธนาคารฯ ในปัจจุบันนั้นสอดคล้องกับเศรษฐกิจประเทศอย่างสมบูรณ์ ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโต GDP สหรัฐฯ ในปี 2020 อาจอยู่ที่ 2-2.5% หรือมากกว่า
ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากการเฝ้ารอสถิติที่เข้มแข็งจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ จนถึงวันศุกร์ที่ผ่านมา และเป็นไปตามคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญ 45% ที่สนับสนุนโดย 85% ของดัชนีและการวิเคราะห์กราฟบน H4 คู่ EUR/USD ตกลงมาที่แนวรับ 1.1100 และจากนั้นลงมาอีก 15 จุด แต่สถิติจำนวนตำแหน่งงานใหม่นอกภาคการเกษตร (NFP) กลับทำให้ตลาดผิดหวังอย่างรุนแรง (ลดต่ำลง 43%) ส่งผลให้ราคาขยับขึ้นอย่างรวดเร็ว กระโดดขึ้นไปที่ระดับ 1.1130 และปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ระดับ 1.1120 - GBP/USD เป็นเวลาสามสัปดาห์ติดต่อกันที่ผลลัพธ์สำหรับคู่เงินปอนด์อังกฤษแทบจะเป็นศูนย์ โดยเริ่มจากระดับที่ 1.3075 ราคาขยับถึงระดับ 1.3210 ในวันอังคารจากนั้นก็ตกลงมายังแนวรับที่ 1.3010 ก่อนที่จะกลับทิศทางอีกครั้งและปิดตลาดห้าวันทำการที่ 1.3060 โดยเสียตำแหน่งเพียง 15 จุดในช่วงเวลาดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ด้วยความผันผวนค่อนข้างสูงของคู่สกุลนี้ นักเทรดจึงไม่เสียโอกาสในการทำรายได้แต่อย่างใด โดยช่วงความผันผวนในรอบสัปดาห์อยู่ที่ประมาณ 200 จุด
- USD/JPY คำทำนายสำหรับคู่นี้แม่นยำ 100% ในครั้งที่แล้ว ความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 แนวโน้มขาลงของราคาต้องยุติลงที่ระดับ 107.80 หลังจากตีกลับจากระดับแนวต้านที่ควรจะขยับถึงที่ 109.25 และจากนั้นได้ขยับไปที่ราคาสูงสุดของเดือนธันวาคมที่บริเวณ 109.70
ในความเป็นจริง เมื่อวันจันทร์ที่ 6 มกราคม ราคาปักหลักด้านล่างที่ 107.76 ก่อนที่กลับทิศทางและขยับขึ้น โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เงินเยนพยายามอีกครั้งที่จะตั้งหลักลงมาต่ำกว่าระดับ 107.00 แต่ก็ไม่สำเร็จเช่นกัน และภายในท้ายสัปดาห์ ราคาก็ขยับถึงระดับเป้าหมายที่ 109.70 ตามคำทำนายของผู้เชี่ยวชาญ ตามมาด้วยการปรับตัวของราคาเล็กน้อยและปิดตลาดที่ระดับ 109.50 - คริปโตเคอเรนซี จริงอยู่ที่มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่มองบิทคอยน์ว่าเป็นสินทรัพย์หลบภัยทางการเงิน ดังนั้น ท่ามกลางข่าวการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ราคาบิทคอยน์จึงขยับถึงราคาสูงสุดในรอบหนึ่งเดือนครึ่ง และตัดทะลุระดับแนวต้านสำคัญ นอกจากนี้ ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับมูลค่าตลาดรวมของเหรียญ Tether (USDT) ที่พุ่งกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วบน CoinMarketCap กว่า $500 ล้านดอลลาร์ก็เอื้อต่อแรงซื้อเช่นกัน ส่งผลให้ราคา BTC ดีดตัวขึ้นไปที่ระดับ $8,450 ต่อเหรียญ
บทวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วชี้ให้เห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดเงินคริปโตเริ่มที่จะได้รับอิทธิพลจากการเทรดแบบอัตโนมัติเพิ่มขึ้น ราคาจะตอบสนองต่อน้ำหนักของแนวโน้มราคาซึ่งในกรณีเป็นขาขึ้น และบอทจะเริ่มซื้อเหรียญจนเกิดเป็นแรงเสริมต่อน้ำหนักดังกล่าว
ไม่นานหลังจากที่ความตึงเครียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอิหร่านเริ่มลดลง และเป็นที่ชัดเจนว่าข้อมูลข่าวเรื่อง $500 ล้านเหรียญนั้นเป็นเพียงแค่ข่าวปลอม ราคาบิทคอยน์ก็ขยับลดลงและตกลงมาที่ $7,765 จากนั้นก็ขยับขึ้นอีกครั้งจนแตะถึงระดับ $8,100 ภายในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 10 มกราคม
ผลลัพธ์ของเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้บิทคอยน์ขยับขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม สูงสุดถึง 17% เช่นเดียวกันกับ Ethereum (ETH/USD) อยู่ที่ 17% Ripple (XRP/USD) 22% และ Litecoin (LTC/USD) ที่ 27% ในขณะเดียวกัน มูลค่าในตลาดรวมเพิ่มขึ้นกว่า 10% และดัชนี Bitcoin Crypto Fear & Greed Index อยู่อีกเพียงสามจุดใกล้กับตำแหน่งตรงกลางที่ระดับ 41
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2019 ราคาได้ขยับในช่องขาขึ้น ในวันที่ 31 ธันวาคม ราคาแตะถึงกรอบด้านบนที่ 1.1240 และจากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางและขึ้นปีใหม่ 2020 ด้วยช่องว่างขาลง ในวันที่ 8 มกราคม ราคาตัดทะลุกรอบด้านล่างของช่องที่ระดับ 1.1125 แต่เนื่องด้วยสถิติที่เป็นลบจากตลาดแรงงานในสหรัฐฯ แรงขายประสบความล้มเหลวและปิดตลาดท้ายสัปดาห์ทำการใกล้กับระดับตัดทะลุ
ราคาคู่นี้จะกลับมาสู่กรอบในช่องขาขึ้นหรือไม่? ผู้เชี่ยวชาญ 60% ไม่เชื่ออย่างนั้น พวกเขามองว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาน่าจะลดตัวต่ำลงมาที่โซน 1.1040-1.1065 โดยเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 1.1000 การวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 และดัชนีเทรนด์ส่วนใหญ่ (70%) ในกรอบ D1 เห็นด้วยกับพัฒนาการในทิศทางนี้ ผลวิเคราะห์ดัชนีเทรนด์ในกรอบ H4 และออสซิลเลเตอร์ในกรอบ H4 และ D1 ถือว่าปานกลาง ณ ขณะนี้
ตามผลการทำนายของนักวิเคราะห์ 40% ที่เหลือมองว่า คู่ EUR/USD จะไม่สามารถตัดทะลุระดับแนวรับที่ระดับ 1.1100 และจะกลับมาที่เส้นตรงกลางของช่องขาขึ้นเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะอยู่ในโซน 1.1240
แน่นอนว่าเทรนด์ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ตึงเครียดยิ่งขึ้นในอิหร่าน แต่ไม่มีการคาดการณ์ข่าวน่าประหลาดใจใดๆ จากการประกาศดัชนีเศรษฐกิจมหภาค ในวันอังคาร พฤหัสบดี และวันศุกร์จะมีการประกาศสถิติจากตลาดผู้บริโภคในสหรัฐฯ และในวันที่ 16 มกราคม เราจะได้รับทราบตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคเยอรมนีของ HICP ซึ่งคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่วนรายงานผลการประชุมว่าด้วยนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรปดูจะมีความน่าสนใจมากกว่าและจะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม เช่นกัน - GBP/USD สหราชอาณาจักรจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปภายในเวลาไม่ถึงสามสัปดาห์ ตามรายงานของ Bloomberg เบร็กซิตทำให้ประเทศต้องเสียเงินไปแล้วกว่า $170 พันล้าน และภายในสิ้นปี 2020 ลอนดอนจะต้องเสียเงินอีก $90 พันล้านเหรียญ โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในรอบปีลดลงครึ่งหนึ่งจาก 2% เหลือ 1% โดย ณ ขณะนี้ เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม 3% หากยังคงความสัมพันธ์กับอียูที่ระดับเดิม เศรษฐกิจอังกฤษชะลอตัวล้าหลังในกลุ่มประเทศ G7 และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเชื่อว่าจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกนาน
ในอนาคตอันใกล้ ค่าเงินปอนด์มีแนวโน้มสูงที่จะเคลื่อนที่ในช่องด้านข้างที่ค่อนข้างกว้างที่ 1.2900-1.3200 พร้อมกับจุดวกกลับในโซน 1.3000-1.3050 ณ ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ 60% สนับสนุนโดยดัชนีเทรนด์ 85% ในกรอบ H4 และ D1 ชี้ว่าราคาคู่นี้จะเคลื่อนที่ไปยังกรอบด้านล่างในสัปดาห์นี้ โดยมีแนวรับที่ 1.3010, 1.2970 และ 1.2900
ผู้เชี่ยวชาญอีก 40% ที่เหลือเห็นด้วยกับการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โดยมีความเห็นในทางตรงกันข้ามว่าราคาจะตีตัวออกจากโซนตรงกลางและน่าจะขยับถึงราคาสูงสุดของวันที่ 31 ธันวาคม 2019 ที่ 1.3285 และจากการวิเคราะห์กราฟชี้ว่าอาจต้องเวลาประมาณสี่หรือห้าวันก่อนที่ราคาจะกลับสู่จุดวกกลับ - USD/JPY ในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาไม่ใช่แค่กลับสู่กรอบของช่องด้านข้างในระยะกลาง 108.40-109.70 แต่ได้ขยับกรอบด้านบนแล้วเช่นกัน แม้ว่าสัญญาณ 75% จากออสซิลเลเตอร์และดัชนีเทรนด์ 85% ให้สัญญาณเป็นสีเขียว มีผู้เชี่ยวชาญเพียง 25% ที่เชื่อว่าราคาจะสามารถขยับขึ้นถึงระดับ 110.70 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (75%) เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี รวมถึงออสซิลเลเตอร์ 15% ในกรอบ H4 และ D1 ซึ่งให้สัญญาณว่ามีแรงซื้อมากเกินไป ระดับแนวรับอยู่ที่ 109.20, 108.75 และ 108.40 โดยมีโอกาสน้อยที่ราคาจะขยับถึงระดับต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้วในโซน 107.65-107.75
- คริปโตเคอเรนซี เราเคยเขียนไว้แล้วถึงรายงานจาก TradeBlock ว่ามีเหรียญ BTC เพียง 30% ที่มีการเคลื่อนไหวในปี 2019 ส่วนอีก 70% ที่เหลือยังคงสถานะ “แช่แข็ง” ในวอลเล็ต รายงานจาก Delphi Digital ก็ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายกัน โดยมีเหรียญบิทคอยน์อย่างน้อย 59% ที่มีการซื้อขายในครึ่งปีหลังของปี 2017 ที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ กล่าวคือ ผู้ครอบครองเหรียญยังไม่ได้ขายเงินคริปโตมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2017 ซึ่งราคา BTC พุ่งขึ้นไปกว่า $20,000 ในแพล็ตฟอร์มซื้อขายบางแห่ง ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงชั้นที่มั่นคงของผู้ถือเหรียญได้ก่อตัวขึ้นไปวงกลมคริปโต ที่ไม่ยอมทิ้งเหรียญแม้ในยามที่ตลาดกำลังเติบโตขึ้นอย่างรุนแรง
บางมีพวกเขาอาจจะกำลังรอคอยปี 2040 ที่นายเบนจามิน โคเวน คำนวณเอาไว้ว่าราคาบิทคอยน์อาจจะแตะถึงระดับ $1 ล้านเหรียญ ตามความเห็นของนายโคเวน ประวัติราคาบิทคอยน์แสดงให้เห็นว่าวัฏจักรตลาดนั้นเริ่มมีระยะยาวนานขึ้น โดยจุดสูงสุดรอบแรกใช้เวลา 2.5 ปี และ 4 ปีจนถึงจุดสูงสุดที่สอง เมื่อขยายแบบจำลองราคาบิทคอยน์ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 5.5 ปีจนกว่าราคาจะแตะถึงจุดสูงสุดถัดไป (หลังจากจุดสูงสุดในเดือนธันวาคม 2017) และในปี 2023 ราคาบิทคอยน์อาจขยับถึง $100,000 และราคา $1 ล้านเหรียญต่อบิทคอยน์ไม่น่าจะเกิดขึ้นก่อนปี 2040
แน่นอนว่าในขณะเดียวกันยังมีอีกหนึ่งความเห็นที่ชี้ว่า บิทคอยน์จะทรุดตัวลงจากแรงกดดันของสถาบันทางการต่างๆ และจะถูกเข้ามาแทนที่ด้วยเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐและสถาบัน ธนาคารกลางยุโรปได้เริ่มแนวคิดการพัฒนาเงินคริปโตเป็นของตนเอง ส่วนกลุ่มประเทศ BRICS ก็กำลังพิจารณาการใช้เงินคริปโตสกุลเดียวและธนาคารเพื่อการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศก็ได้มีการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำด้านธนาคารกลางของประเทศ G20 ซึ่งมีการหารือเรื่องแนวคิดเงินคริปโตเคอเรนซีของโลก
แต่ทั้งหมดนี้ยังเป็นแค่ประเด็นในอนาคตอันไกล ในระหว่างนี้ ราคาสูงสุดและต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้วทำให้เราสรุปได้ว่า คู่ BTC/USD ได้ขยับถึงระดับใหม่ที่ $7,765-8,450 โดยมีจุดวกกลับในโซน $8,000-8,100 ในขณะเดียวกัน มีนักวิเคราะห์เพียง 30% เชื่อว่า ราคาจะสามารถคงตัวอยู่ในช่องดังกล่าวได้ ในขณะที่นักวิเคราะห์อีก 70% คาดการณ์ว่าราคาจะตกลงมาที่โซน $7,000-7,500
โรมัน บุทโก, NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ