บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 30 มีนาคม - 3 เมษายน 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD การเคลื่อนไหวของราคาคู่นี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอาจเปรียบเทียบได้กับกายกรรมโลดโผน: อันดับแรก ราคาพุ่งขึ้นไปแทบจะเป็นเส้นตรงกว่า 630 จุด จากนั้นมีจุดสูงสุดแนวตรง 860 และขณะนี้ราคาขึ้นไปในรอบใหม่อีก 445 จุด
    มีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างรุนแรง ปัจจัยหลักคือมาตรการของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ซึ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 0.25% และมีการดำเนินการหลายโครงการเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการอัดฉีดเงินหลายพันดอลลาร์และแจกจ่ายเงินให้กับประชาชน ส่งผลให้งบดุลของธนาคารฯ พุ่งเกิน 4.5 ล้านล้านดอลลาร์และจากการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสร์ อาจขยับได้ถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ จึงบินขึ้น โดยดัชนี S&P500 กระโดดขึ้นถึง 20% ช่วยผลักราคาคู่ EUR/USD ขึ้นไป ในขณะที่นักลงทุนตอบสนองต่อมาตรการของสหรัฐฯ ในทางบวกและเริ่มหันหนีออกจากเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และนิยมสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดมากกว่าในขณะนี้
    การตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนาของฝั่งธนาคารยุโรปช่วยหนุนเงินยูโรเช่นกัน ก่อนหน้านี้ ธนาคารยุโรปไม่สามารถซื้อหนี้สาธารณะประเทศได้เกินอัตราหนึ่งในสามภายใต้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แต่ขณะนี้ ธนาคารกลางฯ ได้ยกเลิกข้อจำกัดดังกล่าว ซึ่งส่งผลในทางบวกต่อพันธบัตรยูโรและหนุนให้ยูโรแข็งค่าขึ้น
    ทั้งนี้ควรคำนึงว่าผู้เชี่ยวชาญ 60% ได้คาดการณ์ว่าราคาจะกลับมาสู่โซน 1.1000-1.1240 ภายในหนึ่งเดือน 75% ทำนายว่าภายในไตรมาส แต่จากในทางปฏิบัติเห็นได้ว่า การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เป็นชนวนที่สำคัญหรือตัวกระตุ้นการเคลื่อนไหวในตลาดเป็นหลัก และในครั้งนี้ราคาได้ขยับถึงเป้าหมายที่วางไว้ไม่ใช่ในรอบไตรมาสหรือแม้แต่หนึ่งเดือน แต่ในเวลาเพียงห้าวันเท่านั้น ปิดที่จุดสุดท้ายเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มีนาคมที่ 1.1140
  • GBP/USD ดัชนีเศรษฐกิจมหภาค เช่น ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจ (PMI) ชี้ว่าเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรหดตัวลง ซึ่งธนาคารแห่งชาติอังกฤษพยายามอุ้มเศรษฐกิจสองครั้งโดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มปริมาณการซื้อพันธบัตรกว่า £200 พันล้านปอนด์ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งล่าสุด ผู้บริหารธนาคารฯ โหวตอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกและรักษาระดับไว้ที่ 0.1% อีกทั้งยังมีการตัดสินใจให้คงปริมาณการซื้อพันธบัตรไว้ที่ระดับ £645 พันล้านปอนด์ สิ่งนี้ชี้ว่าธนาคารแห่งชาติอังกฤษมองว่ามาตรการทั้งหลายนั้นเพียงพอในขณะนี้
    ผลกระทบจากไวรัสโคโรนาต่อเศรษฐกิจสหราชาณาจักรเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากเราได้เห็นผลลัพธ์ของไตรมาสแรกในปี 2020 ในตอนนี้ สถานการณ์ที่นี่ดูดีกว่าในอียูและสหรัฐฯ เล็กน้อย เงินปอนด์ยังได้รับแรงสนับสนุนโดยความสามารถของรัฐบาลในการพิมพ์ธนบัตรเป็นของตนเองโดยไม่ต้องรับความเห็นชอบจากอียู
    ราคาคู่ GBP/USD ดีดกลับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วดูน่าประทับใจมากยิ่งกว่าการเติบโตของคู่ EUR/USD: เงินปอนด์อังกฤษดีดขึ้นกว่า 830 จุดต่อดอลลาร์ เดิมเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ราคาตกลงมายังระดับต่ำที่สุดในรอบ 230 ปี! และนักวิเคราะห์กว่า 70-80% คาดการณ์ว่าเมื่อราคาต่อสู้ที่กรอบด้านล่างดังกล่าวนี้ได้สำเร็จ จะสามารถดีดตัวกลับขึ้นมายังโซน 1.2725-1.3025 ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ดังนั้น คำทำนายนี้จึงถือว่าถูกต้องเหมาะสม ราคาปิดตลาดห้าวันทำการในระหว่างทางสู่เป้าที่กำหนดที่ระดับ 1.2470
  • USD/JPY ช่วงปลายเดือนมีนาคมปรากฏว่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับสกุลเงินญี่ปุ่น ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับความต้องการในความเสี่ยงของนักลงทุน ราคาน้ำมัน และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
    คำทำนายซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ปรากฏว่าถูกต้องถึง 99.9% ซึ่งชี้ว่า ราคาน่าจะกลับลงทิศใต้และมุ่งไปที่โซน 107.00-107.70 สิ่งนี้เกิดขึ้นจริง: หลังจากมีความพยายามหลายครั้งที่จะตัดผ่านระดับแนวต้านที่ 111.60 ฝั่งกระทิงยอมแพ้ และตลาดหมีผลักราคาลงอย่างรวดเร็วกว่า 385 จุด ลงมาที่ระดับ 107.75 และปิดตลาดในบริเวณใกล้กับระดับ 107.95
  • คริปโตเคอเรนซี เราได้แนะนำในบทวิเคราะห์ครั้งที่แล้วว่า ราคาบิทคอยน์อาจใช้เป็นดัชนีชี้นำสำหรับการทำนายคู่ดอลลาร์หลัก หลักการสำคัญก็คือเมื่อตลาดเงินคริปโตสงบในช่วงพายุทางการเงินจะเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์หรือการปรับตัวของราคาสำหรับ EUR/USD ตามทฤษฎีดังกล่าว การปรับสภาพของคู่ BTC/USD เป็นเงินเฟียต (fiat) ในภาวะเงื่อนไขที่มีความผันผวนสูงเกินไปในตลาดอื่น ๆ อาจชี้ให้เห็นว่า ดอลลาร์ถึงจุดวิกฤติ และนักเก็งกำไรรายใหญ่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ว่าควรจะเพิ่มเงินดอลลาร์โดยขาย BTC หรือในทางกลับกันควรแปลงเงินเฟียตเป็นเงินดิจิตอล
    แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ทฤษฎีหนึ่ง แต่ในสัปดาห์ที่แล้วก็มีตัวช่วยยืนยัน: กราฟแสดงภาวะนิ่งสงบในตลาดเงินคริปโตและในคู่ EUR/USD ก็มีการกลับตัวของราคาอย่างรุนแรงตามคำสันนิษฐาน
    ราคาบิทคอยน์ปรับขึ้นน้อยกว่า 9% ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ส่วน Ripple (XRP/USD) – ขึ้น 10%, Litecoin (LTC/USD) – ขึ้น 3% และการเติบโตของ Ethereum (ETH/USD) นั้นน้อยกว่า 1%
    นอกจากนี้ นายวิทาลิค บูเทอริน ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ไม่นานมานี้ได้นำเสนอโรดแมปสำหรับการพัฒนา ETH ใน 5-10 ปีข้างหน้า เขายังเรียกร้องให้มีการพัฒนาสะพานที่กระจายศูนย์กลางซึ่งจะเชื่อมเงิน Ethereum กับเงินดิจิตอลสกุลอื่น ๆ และสำหรับการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนที่กระจายศูนย์กลาง “อย่างแท้จริง” (DEX) สำหรับการแลกเปลี่ยน BTC และ ETH อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากราคา Ethereum แล้ว ไอเดียของเขานั้นยังไม่มีเสียงตอบรับมากนักจากหัวใจและกระเป๋าของนักลงทุน

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้

  • EUR/USD หลังจากฟื้นคืนการขาดทุนที่ 50% ของสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาคู่นี้ก็ได้กลับสู่โซน Pivot Point ที่ 1.1100 ซึ่งเป็นบริเวณที่ราคาได้วนเวียนอยู่เป็นเวลาหลายเดือนมาตั้งแต่กรกฎาคมปี 2019 สิ่งนี้ชี้ว่า ตลาดไม่รู้ว่าจะคาดการณ์อะไรได้จากสถานการณ์ไวรัสโคโรนาและจากรัฐบาลต่าง ๆ ที่กำลังต่อสู้กับโรคระบาดนี้
    ในอีกทางหนึ่ง เราอาจเห็นตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างถาโถมในสหรัฐฯ และยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์และรัฐบาลของเขาจะมีกำลังความสามารถมากพอที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ หรือจะฟื้นฟูสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้หรือไม่ สัดส่วนจำนวนมากของงบที่เฟดใช้อุดเศรษฐกิจนั้นถูกใช้จ่ายไปกับเงินสวัสดิการว่างงานและเป็นการจ่ายงานให้กับประชาชน...ที่กำลังกักกันตนเองและไม่สามารถใช้จ่ายได้มาก ด้วยเหตุนี้ เงินดังกล่าวจึงไม่ตกถึงภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศในช่วงอนาคตอันใกล้ นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ กล่าวด้วยความหวังว่า สถานการณ์นี้ยังไม่ถือเป็นภาวะวิกฤติทางการเงิน อย่างไรก็ตาม นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดฯ เห็นด้วยแล้วว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ “นั้นอาจจะอยู่ในภาวะถดถอย” และปัจจัยสำคัญนั้นกำหนดโดยไวรัส โดยมีความเป็นไปได้ว่าภาวะถดถอยรุนแรงอาจกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ในจุด ๆ หนึ่ง
    ในอีกทางหนึ่ง สถานการณ์ในยุโรปก็ไม่ได้ดีไปกว่า ผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดผู้นำอียูที่จัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ถูกสรุปโดยนักวิเคราะห์บางส่วนว่า “ย่ำแย่” เพราะผู้แทนจากประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถหาข้อสรุปที่เป็นเสียงเดียวกันได้ แนวคิด “พันธบัตรโคโรนา” ถูกพับเก็บไป (อย่างน้อยสักระยะหนึ่ง) และธนาคารกลางยุโรปมีปัญหาในการรักษาเสถียรภาพในพื้นที่เงินยูโร ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า การไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกอียูเป็นตัวจำกัดโอกาสในการหนุนการเติบโตของเงินยูโรอย่างรุนแรง
    ณ ขณะนี้ การวิเคราะห์กราฟชี้ไปยังทิศเหนือ อินดิเคเตอร์ส่วนใหญ่ให้ภาพทิศทางเดียวกัน และมีออสซิลเลเตอร์เพียง 15% เท่านั้นในกรอบ H4 และ D1 ให้สัญญาณว่าราคา EUR/USD อยู่ในช่วง overbought
    ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่ (60%) มองว่าราคาจะเติบโตขึ้นต่อไป ในขณะที่ 40% ที่เหลือโหวตให้กับแนวโน้มขาลง แนวต้าน (พิจารณาจากความผันผวน ณ ปัจจุบัน) อยู่ที่ 1.1240, 1.1365 และ 1.1500 ส่วนแนวรับ ได้แก่ 1.1000, 1.0850, 1.0775 และ 1.0635 เป้าหมายที่น่าจะไปไม่ถึงทั้งสองด้าน (แต่อะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ณ ขณะนี้) ได้แก่: ตลาดกระทิง 1.1800 ตลาดหมีที่ 1.0550
    สำหรับการประกาศดัชนีเศรษฐกิจมหภาค สถิติการว่างงานและตลาดผู้บริโภคในเยอรมนีและยูโรโซนโดยรวมจะมีการประกาศในวันจันทร์ที่ 30 มีนาคม และวันอังคารที่ 31 มีนาคม ครึ่งหลังของสัปดาห์จะเต็มไปด้วยสถิติจากตลาดแรงงานสหรัฯฐ ซึ่งสรุปได้ว่าตัวเลขคาดการณ์ของสถิติททั้งหมดนั้นล้วนน่าผิดหวัง เช่น จำนวนตำแหน่งงานนอกภาคการเกษตร (NFP) คาดว่าจะปรับลงจาก +273K เหลือ -123K เป็นต้น

  • GBP/USD เมื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ นายคริส วิลเลียมสัน ผู้อำนวยการนักเศรษฐศาสตร์ที่ IHS Markit แทบจะกล่าวเหมือนกันกับที่ นายเจอโรม พาวเวลล์ เคยพูดไว้เกี่ยวกับอเมริกา “มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นที่เรากำลังเข้าใกล้ภาวะถดถอยในระดับที่ไม่สามารถทำนายได้ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่” นี่คือคำทำนายของนายวิลเลียมสัน และแม้แต่การแยกตัวของอังกฤษออกจากอียูก็ไม่ได้ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจมากเท่ากับไวรัส COVID-19
    ในบริบทเช่นนี้มีนักวิเคราะห์ 60% คาดการณ์การกลับตัวของเทรนด์ขาลงและเงินปอนด์น่าจะเข้าสู่วงจรขาลงใหม่ในสัปดาห์หน้า หากเราพูดถึงการวิเคราะห์ทางเทคนิค กรอบเวลา H4 ปกคลุมด้วยสัญญาณสีเขียว แต่ออสซิลเลเตอร์คงตัวอยู่แล้วในโซน overbought ซึ่งสัญญาณออสซิลเลเตอร์และดัชนีเทรนด์ในกรอบ D1 อาจอธิบายได้ว่าขยับได้หลายทิศทาง
    การวิเคราะห์กราฟในกรอบเวลาทั้งสองสนับสนุนคำทำนายตลาดหมี แต่สันนิษฐานว่าราคาจะอยู่ในช่วง 1.2250-1.2600 สักระยะหนึ่งก่อนที่จะขยับลงอย่างรุนแรง
    ระดับแนวต้าน ได้แก่ 1.2600, 1.2750, 1.3025, 1.3200 และ 1.3515 ระดับแนวรับ ได้แก่ 1.2250, 1.2200, 1.1800 และ 1.1450
  • USD/JPY ราคาคู่นี้ปิดตลาดท้ายสัปดาห์ใกล้บริเวณแนวรับ/แนวต้านที่ 108.00 และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (60%) เช่นเดียวกับในกรณีของ EUR/USD และ GBP/USD คาดการณ์การกลับตัวของเทรนด์และเงินดอลลาร์น่าจะแข็งค่าขึ้นในเวลาต่อมา หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ราคาน่าจะมีหลายโอกาสที่จะตัดผ่านระดับ 111.60-112.00 และวิ่งขึ้นไปอีก 100 จุด โดยมีแนวต้านสำคัญที่ใกล้ที่สุดอยู่ในบริเวณ 109.70-110.00
    ผู้เชี่ยวชาญ 40% ที่เหลือสนับสนุนการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี แนวรับอยู่ในโซน 106.70-107.25 และ 104.70-105.00 เป้าหมายต่อไปคือ 103.00 และราคาต่ำสุดของวันที่ 9 มีนาคมที่บริเวณ 101.00
  • คริปโตเคอเรนซี ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขยับเพียง 3 จุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา จาก 9 เป็น 12 และยังคงชี้ถึงภาวะหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งในตลาด ในขณะเดียวกัน จำนวนคำค้นหา “Bitcoin” ในระบบค้นหาของ Baidu และ Google เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และผู้ใช้งานส่วนใหญ่มีความสนใจซื้อเงินคริปโต ดังนั้นคำค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 138% ในช่วงเดือนที่ผ่านมาใน Baidu และจาก Google Trends ตัวเลขเพิ่มขึ้นที่ 57%
    และก็เช่นเคย การเติบโตของบิทคอยน์นั้นทำนายโดยเหล่าบรรดากูรูเงินคริปโต โดยเฉพาะในตอนนี้ที่พวกเขามีมิตรชั้นดีอย่างไวรัสโคโรนา COVID-19 นักวิเคราะห์ชื่อดังอย่าง นายโจเซฟ ยัง แสดงความมั่นใจว่ามาตรการที่ธนาคารเฟดสหรัฐฯ ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจอเมริกานั้นจะส่งผลดีต่อบิทคอยน์ “ธนาคารเฟดฯ สั่งพิมพ์เงินเพื่อกระตุ้นตลาดอย่างไม่จุดสิ้นสุด นี่เป็นเรื่องดีสำหรับบิทคอยน์ เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงในระยะยาวจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบิทคอยน์ แนวโน้มระยะสั้นอาจดูมืดมัวสำหรับเงินดิจิตอลสกุลนี้ แต่ภาพรวมระยะยาวยังคงสดใสมาก” เขากล่าว
    นายไมค์ โนโวกราตซ์ ผู้ก่อตั้ง Galaxy Digital เห็นด้วยกับ นายยัง เช่นกัน  เขามั่นใจว่าภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่จุดชนวนโดยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่บิทคอยน์ก้าวกระโดดขึ้นมา “บิทคอยน์จะมีความผันผวนสูงในช่วงเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่บิทคอยน์นั้นเกิดมาเพื่อภาวะถดถอยของเศรษฐกิจมหภาค ปีนี้น่าจะเป็นและจะต้องเป็นปีแห่งบิทคอยน์” กล่าวโดยเศรษฐีพันล้านรายนี้
    นายฟิลิป ซัลเตอร์ ผู้อำนวยการปฏิบัติการของ Genesis Mining เข้าร่วมในความเห็นดังกล่าว เขาชื่อว่าวิกฤติเศรษฐกิจที่ถลำลึกขึ้นจะช่วยเพิ่มความนิยมในบิทคอยน์ในฐานะเครื่องมือประกันความเสี่ยงจากระบบธนาคาร “หากวิกฤติเศรษฐกิจสามารถหลีกเลี่ยงได้สำเร็จ ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นกับบิทคอยน์ อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจทรุดตัวจริง ความสนใจในบิทคอยน์จะพุ่งทะยานขึ้น ยิ่งมีข้อกังขาเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจเก่านี้ ยิ่งมีความสนใจในบิทคอยน์เพิ่มมากขึ้น” ให้ความเห็นโดยผู้บริหารสูงสุดของบริการ Cloud mining ยอดนิยม
    สำหรับคำทำนายในอนาคตอันใกล้ที่สุด นายทอน ไวสส์ เทรดเดอร์ชื่อดังมั่นใจว่า ด้วยราคาบิทคอยน์ในขณะนี้ โอกาสที่ราคาจะตกลงมายังระดับต่ำล่าสุดที่ $3,800 มีเพียง 20-25% บิทคอยน์มีโอกาสยิ่งน้อยลงที่ 15% ที่จะตกต่ำลงกว่าระดับดังกล่าว หากราคาสามารถยืนระดับ $6,800 ได้สำเร็จ “เมื่อราคายืนเหนือ $6,800 ก็จะยิ่งให้ความมั่นใจ 85% ว่าเราจะไม่ไปต่ำกว่าระดับนี้”  เขากล่าว
    โดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญ 55% คาดการณ์ว่าคู่ BTC/USD จะขยับถึงโซน $7,500-8,000 ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า นักวิเคราะห์อีก 45% ที่เหลือ ในทางกลับกัน ทำนายแนวโน้มขาลงของคู่นี้ พวกเขาเห็นว่า BTC/USD จะพยายามอีกครั้งที่จะทดสอบระดับแนวรับ $5,700 และหากสำเร็จ ระดับแนวรับถัดไปคือ $5,000

 

กลุ่มการวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา