อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD มีคำหนึ่งกล่าวไว้ว่า “กลับหัวเรือกลางคัน” นี่คือสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ทำเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม โดยก่อนหน้านี้ เขาพูดถึงข้อดีของการมีดอลลาร์ที่อ่อนค่าอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าอเมริกันในตลาดต่างประเทศ และจะผลักดันธนาคารเฟดไปสู่นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนลง และขณะนี้อยู่ ๆ เขาก็ประกาศในบทสัมภาษณ์กับ Fox TV ว่า “ตอนนี้สิ่งที่ดีคือการมีเงินดอลลาร์ที่แข็งแกร่ง การมีดอลลาร์ที่แข็งแกร่งคือสิ่งที่ดีเยี่ยม!” นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดยังสนับสนุนประธานาธิบดีเช่นกัน โดยกล่าวว่าธนาคารฯ ไม่เคยและยังไม่พิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับเป็นอัตราดอกเบี้ยติดลบ
เหตุผลหลักของการกลับหัวเรือ 180 องศาเช่นนี้ คือ ภาวะวิกฤติที่เกิดจากไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลให้ความสนใจถือเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน และพยายามจะต้านแรงราวกับการว่ายน้ำสวนกระแสคลื่น นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เร่งพิมพ์พันธบัตรอย่างเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับพวกเขาในขณะนี้ในการรักษาความน่าดึงดูดใจในเงินดอลลาาร์ พวกเขากังวลว่าหากใครหลายคนทิ้งเงินดอลลาร์ในตลาดรองพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาจึงก่อเชื้อเพลิงอย่างระมัดระวังให้นักลงทุนเชื่อว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก เนื่องจากยูโรไม่ใช่ลีราตุรกีหรือรีอัลบราซิล แต่เงินยูโรมีขนาดและน่าเชื่อถือที่พอเทียบเคียงกับดอลลาร์ได้ และหากราคาคู่นี้ขยับในช่องด้านข้างที่ 1.0750-1.1000 ก่อนหน้านี้ ในตอนนี้ช่วงความผันผวนลดลงมาอยู่ที่ 1.0770-1.0890 จนคู่ราคาค่อย ๆ แข็งตัวมาที่บริเวณ 1.0800 จนก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมบนกราฟรอบสองเดือน ก่อนที่จะปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.0820 - GBP/USD การทำนายเงินปอนด์ยังคงเป็นไปตามความจริง เงินปอนด์ตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับเบร็กซิตถูกซ้ำเติมด้วยการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา GDP ประเทศลดลง เงินปอนด์ก็ลดลงเช่นกัน คู่ GBP/USD ปรับลงมาประมาณ 285 จุดในช่วงสัปดาห์ และพยายามจะตัดทะลุกรอบด้านล่างของช่วงเจ็ดสัปดาห์ที่ 1.2165-1.2650 และปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.2120
- USD/JPY คู่ USD/JPY กำลังแข็งตัวที่ประมาณ 107.00 จึงเป็นการยืนยันสมมติฐานว่าเงินเยนเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนเช่นเดียวกับยูโรและดอลลาร์ นอกจากนี้ เงินเยนญี่ปุ่นยังมีข้อได้เปรียบเหนือยูโรอย่างชัดเจน หากยูโรกำลังอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์ในช่วงหนึ่งเดือนครึ่ง-สองเดือนที่ผ่านมา ในทางกลับกัน เงินเยนกำลังฟื้นกลับมาชนะเงินยูโร โดยคู่รอง EUR/JPY ปรับลงมามากกว่า 500 จุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม (จาก 121.00 เหลือ 116.00) และสำหรับสัปดาห์ที่แล้ว เงินเยนญี่ปุ่นคงตัวในช่องแคบ ๆ ที่ 106.50-107.75 เยนต่อหนึ่งดอลลาร์ตลอดห้าวันทำการและปิดตลาดที่ 107.20
- คริปโตเคอเรนซี ในตอนต้นเราจะมาดูสถิติกันเล็กน้อย จากรายงานของ Glassnode จำนวนที่อยู่บิทคอยน์ที่มียอดคงเหลือต่ำกว่า 1 BTC เพิ่มขึ้นประมาณ 100% นับตั้งแต่ปลายปี 2016 กระเป๋าวอลเล็ตที่มียอดเงินต่ำกว่า 0.01 BTC (ต่ำกว่า $100) มีปริมาณเพิ่มขึ้นสูงสุด จำนวนที่อยู่ของวอลเล็ตดังกล่าวพุ่งขึ้นถึง 235% ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาและมีจำนวนมากกว่า 10 ล้าน ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี แต่หากเราทำการคำนวณง่าย ๆ เราจะเห็นได้ว่าด้วย “ปลาตัวเล็กตัวน้อย” เหล่านี้เองที่ทำให้มูลค่าเงินรวมในตลาดคริปโตเพิ่มขึ้นเพียง $0.5-1.0 พันล้านเหรียญ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหยดน้ำในมหาสมุทร! แต่จำนวนผู้ถือเงินคริปโตรายใหญ่ “ปลาวาฬ” ตัวจริงที่เป็นเจ้าของเหรียญมากกว่า 1,000 เหรียญมีจำนวนเพิ่มขึ้นเพียง 13% เท่านั้นในรอบสี่ปี ซึ่งชี้ถึงการขาดความสนใจจากนักลงทุนและสถาบันรายใหญ่
เห็นได้จากหนึ่งตัวอย่าง เมื่อวันก่อน นาย Paul Tudor Jones ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์เพื่อการลงทุน Tudor Investment ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณที่ $5.1 พันล้านเหรียญ กล่าวกับ CNBC ว่า บิทคอยน์คือการเก๋งกำไรดี ๆ นี่เอง แต่เขาพิจารณาลงทุนเล็กน้อยเพียง 1-2% ของพอร์ตเท่านั้น
นักลงทุนเงินคริปโตและสถาบันรายใหญ่ระดับไม่พึงพอใจ ศาลสหรัฐฯ ตัดสินคดีเข้าข้างคณะกรรมตลาดหลักทรัพย์ (SEC) สหรัฐฯ โดยไม่อนุญาตให้นาย Pavel Durov เจ้าของแพล็ตฟอร์ม Telegram เปิดให้บริการสกุลเงินคริปโต TON ซึ่งประสบกับชะตากรรมเดียวกันกับเหรียญ Libra ที่ริเริ่มโดย Facebook ถึงแม้ว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนโดยบริษัทยักษ์ใหญ่ถึง 26 บริษัทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น eBay, Uber, Booking.com, Vodafone ฯลฯ ทั้งหมดนี้ชี้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้เงินดอลลาร์มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาแต่อย่างใด และพวกเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว
การฮาล์ฟเหรียญบิทคอยน์เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมไม่เพิ่มสัญญาณสดใสในตลาดเช่นกัน ตั้งแต่ต้นปีมานี้ เหตุการณ์นี้ได้ก่อให้เกิดการโต้เถียงและการคาดการณ์เป็นอย่างมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับบิทคอยน์หลังการฮาล์ฟเหรียญ ถึงแม้ว่าจะมีคำทำนายในทางบวกออกมามากมาย ราคาบิทคอยน์กลับต้องประสบกับราคาที่ต่ำกว่า $9,000 โดยไม่สามารถตั้งหลักเหนือระดับสำคัญที่ $10,000 ได้สำเร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยราคาอยู่เหนือบริเวณ $10,003 เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
รายงานของ CoinMetrics ระบุว่า การลดผลตอบแทนของนักขุดเหรียญครึ่งหนึ่งส่งผลให้อัตราแฮชเรตลดลง 30% ตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตเริ่มถอนเงินออกเป็นอย่างมาก จนราคาตกลงมาที่ระดับ $8,100 และมูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ลดลงจาก $270 พันล้านเหรียญเหลือ $234 พันล้าน (-13.3%) แต่สถานการณ์ก็เริ่มเสถียรขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ มูลค่ารวมในตลาดขยับถึง $260 พันล้าน และคู่ BTC/USD กำลังพยายามทำราคาขึ้นไปที่ $10,000 อีกครั้ง ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ตกลงมา 11 จุด ตลอดทั้งสัปดาห์จาก 55 เหลือ 44
กราฟของอัลท์คอยน์สกุลอื่น ๆ เมื่อมองดูในแวบแรกจะเห็นว่าเดินตามรอยคู่ BTC/USD แต่กลับฟื้นตัวกลับมาช้ากว่ามาก โดย Etherium (ETH/USD), Ripple (XRP/USD) และ Litecoin (LTC/USD) สามารถฟื้นขึ้นมาเพียงครึ่งหนึ่งของแนวโน้มขาลงเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี
- EUR/USD ความเสี่ยงที่ดูลดลงและการเทขายกองทุนตลาดหุ้นส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ทั้งหมดนี้มีเสียงสนับสนุนโดยประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ซึ่งเขายังข่มขู่ว่าจะบั่นทอนความสัมพันธ์กับจีน และธนาคารเฟดฯ ที่ปฏิเสธการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ติดลบ แม้แต่ Peter Huber ผู้พิพากษาศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนีก็ยังช่วยหนุนสกุลเงินดอลลาร์ โดยกล่าวว่า ธนาคารกลางยุโรปไม่ใช่ “ที่หนึ่งในจักรวาล” ที่จะปฏิบัติตามคำตัดสินทั้งหมดของศาล
ปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลให้นักวิเคราะห์ 65% สนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 60% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ D1 เข้าข้างแนวโน้มกระทิงและโหวตว่าคู่ EUR/USD จะขยับลดลง โดยมีเป้าหมายใกล้ที่สุดอยู่ที่ 1.0750 และ 1.0650
ผู้เชี่ยวชาญ 10% และออสซิลเลเตอร์ 30% ให้สัญญาณเป็นสีเทากลาง โดยโหวตว่าราคาจะแข็งตัวที่ระดับ 1.0800 และสุดท้ายคือนักวิเคราะห์ 25% ทำนายว่าราคาจะกลับขึ้นมายังกรอบด้านบนของช่องด้านข้างที่ 1.0750-1.1000 โดยในกรอบ D1 มีออสซิลเลเตอร์ 10% ที่สนับสนุนว่าราคาอยู่ในโซน oversold - GBP/USD จากความเห็นของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ชี้ว่า เงินปอนด์ไม่ใช่ค่าเงินที่ควรค่าแก่การลงทุนแม้แต่ในช่วงที่ความเสี่ยงลดลง เงินปอนด์ยุติการเป็นสถานะสินทรัพย์หลบภัยจากพายุการเงินมานานแล้ว ขณะนี้อียูกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดสรรงบประมาณเจ็ดปีและการสะสางปัญหาการเงินภายในอียู ธนาคารกลางยุโรปเองก็กำลังต่อสู่กับศาลรัฐธรรมนูญเยอรมนี และบรัสเซลส์ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรเกี่ยวกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเบร็กซิต ในส่วนของสหราชอาณาจักร การแยกตัวออกจากอียูส่งผลให้ GDP ลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น และดุลการค้าระหว่างประเทศติดลบ
ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญ 65% คาดการณ์ว่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และจะกลับมาที่ระดับ 1.2000 ในกรณีที่ราคาตัดทะลุระดับสำคัญดังกล่าว ราคาจะเร่งตัวดิ่งลงไปยังระดับต่ำสุดของเดือนมีนาคมที่ 1.1640 และ 1.1450 ตามลำดับ ตลาดหมีนี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยอินดิเคเตอร์ในกรอบ H4 และ D1 ที่ให้ภาพพ้องกันอย่างไม่ค่อยจะเห็นได้บ่อยนัก: 85% ของออสซิลเลเตอร์ และอินดิเคเตอร์ 100% ให้สัญญาณเป็นสีแดง
มุมมองในทางตรงกันข้ามเป็นของนักวิเคราะห์จำนวน 35% และออสซิลเลเตอร์ 15% ที่ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในช่วง oversold รวมถึงการวิเคราะห์กราฟบนทั้งสองไทม์เฟรม กลุ่มนี้มองว่าหากราคาตัดทะลุกรอบด้านล่างที่ช่วง 1.2165-1.2650 โดยเป็นตัดกรอบแบบหลอกแล้ว ราคาก็น่าจะกลับขึ้นมาถึงโซนตรงกลางของช่อง 1.2245-1.2465 และจากนั้นน่าจะขยับขึ้นสู่กรอบด้านบน
- USD/JPY เงินเยนหยุดนิ่งและกำลังรอติดตามพัฒนาการสงครามการค้าและการเมืองรอบใหม่ระหวา่งสหรัฐฯ และจีน เราต้องไม่ลืมว่าราคาคู่นี้ยังได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากระดับความเสี่ยงในตลาด นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับพันธบัตรสหรัฐฯ รอบ 10 ปีและการพึ่งพาราคาน้ำมันของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ปัจจัยมากมายเหล่านี้จึงทำให้ไม่สามารถสรุปทิศทางว่าราคาจะตัดทะลุโซนแข็งตัวที่บริเวณ 107.00 หรือไม่ ในระหว่างนี้ ฝั่งผู้สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้นเป็นต่อเล็กน้อย (40%) ซึ่งสนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 65% บนกรอบ H4 ในส่วนนักวิเคราะห์ 20% กลับเล็งทิศใต้ และอีก 40% มองเทรนด์ด้านข้างเป็นหลัก
ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดคือ 106.75, 106.00 และ 105.00 ระดับแนวต้านอยู่ที่ 107.45, 108.00, 108.50 และ 109.35 - คริปโตเคอเรนซี การฮาล์ฟเหรียญบิทคอยน์เป็นการลดผลตอบแทนในการขุดหนึ่งบล็อกเหลือ 6.25 เหรียญ นักขุดบางกลุ่มตัดสินใจออกจากวงการหรือขายสินทรัพย์เพื่อไม่ให้ขาดทุน ในช่วงก่อนการฮาล์ฟเหรียญ อุปกรณ์ส่วนใหญ่ในการขุด BTC ก็ให้ผลกำไรต่ำอยู่แล้ว และตอนนี้ปัจจัยต่าง ๆ ยิ่งทำให้การขุดเหรียญไม่ได้กำไรมากขึ้นไปอีก จึงดูเหมือนว่าตลาดขุดเหรียญจะหันไปสู่การผูกขาดมากขึ้น ซึ่งขัดกับไอเดียสำคัญของการกระจายศูนย์กลางในเงินคริปโต อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านหวังว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นจาก COVID-19 และการพิมพ์ธนบัตรโดยธนาคารกลางฯ นั้นจะช่วยดึงราคาบิทคอยน์ขึ้นไปได้สำเร็จ
“บิทคอยน์รอดจากการฮาล์ฟเหรียญที่เป็นที่รอคอยมากว่า 4 ปี และขณะนี้กำลังจะไปสู่อีกระดับ” กล่าวโดย Mike Novogratz เศรษฐีพันล้าน หัวหน้าธนาคารการเทรดคริปโต Galaxy Digital เขามองว่าเหรียญดังกล่าวจะขยับถึงระดับ $20,000 ภายในเดือนธันวาคม และจากนั้นสินทรัพย์จะมีทุกโอกาสที่ทำสถิติราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์
นอกจาก Novogratz แล้วยังมีผู้ที่มองโลกในแง่ดีในหมู่ชุมชนผู้เชี่ยวชาญที่ทำนายว่าราคาบิทคอยน์จะพุ่งทะยานขึ้นในระยะกลาง Leonard Neo หัวหน้าทีมวิจัยที่ Stack มองว่า BTC จะเริ่มทะยานขึ้นในอีก 6-9 เดือนหลังการฮาล์ฟเหรียญ ในตอนแรก บรรดานักขุดเหรียญจะปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขการทำงานใหม่ หลังจากนั้นบิทคอยน์จะเริ่มเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น “การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในอนาคตอาจมีส่วนเร่งให้บิทคอยน์ทำราคาสูงขึ้น” อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญโดย CNBC
ในอนาคตอันใกล้นี้ ภารกิจที่ 1 สำหรับ BTC/USD คือการยืนเหนือระดับ $10,000 นอกจากนี้ Bitcoin ต้องไม่ใช่แค่ยืนเหนือให้ได้เท่านั้น แต่ต้องสามารถปักหลักเหนือระดับดังกล่าวได้อย่างมั่นคง สถานการณ์เช่นนี้เท่านั้นเราถึงจะสามารถคาดการณ์ราคาที่เติบโตขึ้นของคู่นี้ นักวิเคราะห์ 60% เห็นด้วยว่า บิทคอยน์จะสามารถไต่ขึ้นถึงระดับ $10,500-11,000 ในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ผู้เชี่ยวชาญ 40% ที่เหลือคาดการณ์ว่าจะได้เห็นราคาลงมาที่ระดับต่ำกว่าในโซน $8,000-9,000 และในที่นี้เองมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งที่มองภาพรวมอย่างเลวร้าย โดยทำนายว่าบิทคอยน์จะทรุดตัวเทลงมาที่ระดับบริเวณ $ 6,500
กลุ่มการวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ