อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD หากใครคิดว่าสหรัฐฯ เอาชนะ COVID-19 สำเร็จแล้ว เขาคนนั้นคิดผิด จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 21 รัฐ โดยมี 14 รัฐทำสถิติยอดผู้ป่วยสูงสุด การชุมนุมประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิวในสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะทำให้สถานการณ์การติดเชื้อเลวร้ายยิ่งขึ้น อย่างนี้จะเรียกได้ว่าเป็นการแพร่ระบาดรอบที่สองได้หรือไม่? และรอบที่สามจะตามมาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือเปล่า?
นักลงทุนที่ตัดสินว่าปัญหาของสภาวะเศรษฐกิจอเมริกามีสาเหตุมาจากไวรัสโคโรนานั้นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ผลการประชุมของธนาคารเฟด รวมถึงคำแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ เมื่อวันพุธที่ 10 มิถุนายน ฟังดูสดใสแต่ค่อนข้างระมัดระวังยิ่งทำให้ทัศนคติที่ดีในตลาดถูกบั่นทอนลง ธนาคารเฟดสัญญาว่าจะใช้นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในอัตราเดียวกับที่ใช้ในปัจจุบันต่อไป ซึ่งยิ่งขยายความเป็นไปได้ที่จะลดอัตราดอกเบี้ยที่ระดับศูนย์จนถึงปี 2022
ด้วยเหตุนี้เอง การขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากธนาคารเฟด และการแพร่ระบาดรอบใหม่ในรัฐเท็กซัส แอริโซนา และแคลิฟอร์เนีย รวมถึงรัฐอื่น ๆ ทำให้ความต้องการความเสี่ยงในตลาดลดลง และดัชนีหุ้นทรุดลงครั้งใหญ่ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน ดัชนีดาวน์โจนส์ปรับลง 6.9% ส่วน S&P500 ลดลง 5.9% และ Nasdaq ปรับลง 4.6%
คำกล่าวของ สตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีการคลังของสหรัฐฯ ยิ่งสุมเพลิงไฟ โดยเขากล่าวว่า ประเทศไม่สามารถใช้มาตรการกักกันโรคอีกครั้ง ทำให้นักวิพากษ์วิจารณ์หลายคนนึกถึงเหตุการณ์ระบาดระลอกที่สองของ “ไข้หวัดสเปน” เมื่อช่วงปี 1920 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่าหลายสิบล้านคนเพราะว่ารัฐบาลต้องเลือกระหว่างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน และรัฐบาลก็เลือกเศรษฐกิจ
ความกระหายในความเสี่ยงที่ลดลงในหมู่นักลงทุนทำให้เงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ไม่เพียงแต่เงินดอลลาร์ แต่ยังรวมถึงเงินเยน ยูโร และฟรังก์สวิส โดยสกุลเงินของกลุ่มประเทศ G10 ที่อ่อนแอกว่าได้รับผลกระทบ ได้แก่ ดอลลาร์นิวซีแลนด์ ดอลลาร์ออสเตรเลีย และดอลลาร์แคนาดา
อีกหนึ่งข้อเท็จจริงก็คือ เงินยูโรแทบจะไม่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากการผ่อนปรนมาตรการกักกันโรค ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ที่ค่อนข้างคงที่ และการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในยูโรโซน
ด้วยเหตุนี้เอง คู่ EUR/USD เปิดตลาดที่ 1.1290 และปิดตลาดที่ 1.1260 โดยดอลลาร์เป็นต่อเพียง 30 จุดเท่านั้น - GBP/USD การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยส่งผลต่อเงินปอนด์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ราคาคู่นี้ปรับลดลงอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 10 มิถุนายน สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักรประกาศตัวเลขที่เป็นแรงกระตุ้นเสริมให้ราคาขยับสู่ขาลง ซึ่งได้แก่ สถิติที่แสดงถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศ จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ค่า GDP สหราชอาณาจักรลดลงถึง 20.1% ในเดือนเมษายน และคิดเป็น 24.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดือนเมษายนของปีที่แล้ว ตัวเลขการผลิตทางอุตสาหกรรมลดลง 20.3% การผลิตในภาคบริการ (ซึ่งคิดเป็น 80% ของเศรษฐกิจประเทศ) ลดลง 19% และในส่วนการผลิต ดัชนีลดลงในเดือนเมษายนเกือบ 25%
เบร็กซิตยังคงเป็นความเสี่ยงที่น่าเป็นห่วง มีความเป็นไปได้สูงที่การเจรจาจะกินเวลาไปถึงสิ้นปีนี้ รัฐบาลอังกฤษยังคงไม่อยากยืดระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านไปจนถึงปี 2021 ซ้ำยังขู่ว่าจะออกจากอียูอย่างเด็ดขาด แม้ว่าจะไม่หลายประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อสรุปก็ตาม ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเกือบ 300 จุดในช่วงเวลาเกือบสามวัน และปิดตลาดที่ 1.2520 ดอลลาร์ต่อหนึ่งปอนด์ - USD/JPY ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) โหวตเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ราคาจะกลับมาสู่โซน 107.00-108.00 และคำทำนายนี้ปรากฏว่าถูกต้อง 100%
เงินเยนพิสูจน์ให้เห็นถึงความต้องการถือเงินเยนเป็นสกุลเงินปลอดภัยตลอดเกือบทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันจันทร์ถึงช่วงกลางวันของวันศุกร์ เงินเยนแข็งค่าต่อดอลลาร์ และฟื้นตัวขึ้นมา 305 จุดโดยแทบไม่มีแรงต้านใด ๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายสัปดาห์ผลกลับดูไม่รื่นไหลสำหรับเงินเยน ความต้องการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นหลังตลาดฝั่งเอเชียปิดทำการ ทำให้ราคากลับมาขยับขึ้นและปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ 107.35 ตามที่ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ - คริปโตเคอเรนซี คริปโตเคอเรนซี คือ สกุลเงิน แต่เป็นสกุลเงินดิจิทัล และทุกอย่างที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินย่อมดึงดูดอาชญากรรมเข้ามา ไม่นานมานี้ รัฐบาลท้องถิ่นของจีนได้ตรวจเจอฟาร์มขุดเหรียญผิดกฎหมาย ซึ่งอุปกรณ์การขุดเหรียญตั้งอยู่ใน...สุสาน.. แต่นี่ยังไม่ใช่ข่าวที่น่าตื่นเต้น ข่าวที่น่าตื่นเต้นก็คือ ผู้ก่อตั้งบิทคอยน์อาจเป็นอดีตนักค้ายาเสพติด ยาสุทากะ นากะโมโตะ โดยเขาเคยทำงานให้กับแก๊งค้ายา Medellin Cartel ในอดีต อย่างน้อยเรื่องนี้กล่าวอ้างโดย โอลาฟ กุสตาฟสัน ประธาน Escobar Inc ซึ่งเป็นมือขวาของนายโรเบิร์ต เอสโกบาร์ น้องชายของหัวหน้าแก๊งชื่อดังอย่าง นายปาโบล เอสโกลาร์ ผู้ถูกฆาตกรรมในปี 1993
ยาสุทากะ นากะโมโตะ เคยเป็นวิศวกรชั้นนำในสายการบิน Pacific West Airlines ที่เคยใช้ตำแหน่งทางการของเขาในการขนยาเสพติดจากอเมริกาใต้มาสู่สหรัฐฯ หลังจากความพยายามสังหารอดีต “หัวหน้า” ของเขาที่ไม่สำเร็จ เขาจึงหายตัวไปจากสาธารณะในปี 1992 และมีรายงานว่าหลังจากนั้น เขาก็เริ่มพัฒนาบิทคอยน์ขึ้นมา
น่าสนใจที่ ยาสุทากะ คาดว่าจะเป็นน้องชายของ นายโดเรียน นากะโมโตะ ซึ่ง Newsweek เคยระบุว่าคนนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อตั้งบิทคอยน์เมื่อปี 2014
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องราวต่าง ๆ หากเรากลับมาพูดถึงตัวเลขที่ชัดเจน จะเห็นได้ว่าผลงานของตระกูลนากะโมโตะ ค่อยข้างน่าประทับใจในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา: เมื่อเทียบกับราคาต่ำสุดในเดือนมีนาคม คู่ BTC/USD ทำราคาเพิ่มขึ้นประมาณ 140% อย่างไรก็ตาม บิทคอยน์ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับ $10,000 ได้อย่างมั่นคง หลังจากมีความพยายามอีกครั้งเมื่อวันพุธที่ 10 มิถุนายนแต่ก็ล้มเหลว หลังจากราคาแทบจะไม่แตะเส้นสำคัญดังกล่าวเลย คู่ BTC/USD จึงดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วที่ $9,000 โดยปรับลง 10% ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากนั้นราคาก็เริ่มปรับตัวขึ้น และกลับสู่โซนตรงกลางของช่องที่ $9,000-10,000
นักวิเคราะห์บางท่านมองว่า ราคาแข็งตัวในบริเวณนี้ชี้ให้เห็นถึงตำแหน่งของราคาในช่วงระยะกลาง ซึ่งในช่วงหลังมานี้เราจะสังเกตได้ว่า บิทคอยน์มีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนรายใหญ่กลับมาหาบิทคอยน์อย่างช้า ๆ
สิ่งนี้สามารถยืนยันได้จากรายงานขององค์กรการวิจัยหลายแห่ง งานวิจัยจาก Fidelity Investents ชี้ว่า นักลงทุนรายสถาบัน 36% จากทั้งหมด 774 รายที่ได้รับการสำรวจในสหรัฐฯ และยุโรป มีบิทคอยน์และสินทรัพย์เงินคริปโตสกุลอื่น ๆ ในพอร์ตของพวกเขา ในที่นี้เรากำลังพูดถึงกองทุนเงินบำนาญ บริษัททรัสต์ของครอบครัว บริษัทที่ปรึกษาและการลงทุน รวมถึงเฮดจ์ฟันด์ดั้งเดิมและดิจิทัล จำนวนสถาบันทางการเงินในสหรัฐฯ ที่เพิ่มเงินคริปโตในพอร์ตการลงทุนของพวกเขามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 22% เป็น 27% ในเวลาหนึ่งปี ส่วนในยุโรป มีผู้ที่ได้รับการสำรวจ 45% ลงทุนในเงินคริปโต
ที่น่าสนใจก็คือ บริษัทยุโรปมีความจงรักภักดีต่อเงินคริปโตมากกว่า ซึ่งอาจเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ติดลบในช่วงไวรัสโคโรนา ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อสินทรัพย์ดั้งเดิมทั่วไป
บริษัทจำนวนมากกว่าหนึ่งในสี่ที่ถูกสำรวจนิยมบิทคอยน์ และ 11% ลงทุนใน Ethereum ซึ่งเติบโตแซงหน้าบิทคอยน์ (+175% ตั้งแต่ราคาต่ำสุดของเดือนมีนาคม) นอกจากนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีหลายเรื่องราวลึกลับเกี่ยวกับอัลท์คอยน์ชั้นนำสกุลนี้
เรื่องหนึ่งก็คือ ที่อยู่หนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับ MiningPoolHub ได้ชำระค่าธรรมเนียมจำนวน 2310 ETH ($538,000) สำหรับการโอนเงิน 3221 ETH ($751,000) ซึ่งนี่เป็นธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่สามบนเครือข่าย Ethereum และมีค่าธรรมเนียมสูงอย่างน่าตกใจ ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้งานที่ไม่ทราบชื่อจ่ายเงินจำนวน 10,668 ($2.6 ล้านเหรียญดอลลาร์) โดยมีค่าธรรมเนียมธุรกรรมอีก 350 ETH ($86,000) และก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ผู้ใช้งานรายเดียวกันจ่ายเงินพูลขุดเหรียญ SharkPool จำนวนเดียวกัน 10,668 ETH ($2.6 ล้าน) และมีค่าธรรมเนียมการโอนที่..0.55 ETH ($133)!
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนรวมถึง นายวิตาลิก บูเทอริน ผู้ก่อตั้ง Ethereum ชี้แจงว่า ธุรกรรมเหล่านี้คือข้อผิดพลาดในการทำงานของบอทฟอกเงิน
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้
- EUR/USD ยังไม่ปรากฏความชัดเจนว่าความต้องการถือสินทรัพย์เสี่ยงจะกลับมาหรือไม่ช่วงวันข้างหน้า ตัวอย่างเช่น ฟิวเจอร์ส S&P500 ซึ่งขยับลงมาเมื่อวันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน ได้รับแรงหนุนสำคัญที่ระดับค่าเฉลี่ย 200 วัน หลายอย่างจะขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการต่อสู้กับไวรัส COVID-19 ไม่แค่เฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในโลกโดยรวม และท่าทีของธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรป เราจะต้องไม่ลืมเรื่องความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงระหว่างวอชิงตันและปักกิ่ง ตลอดจนสงครามราคาในตลาดน้ำมันอีกด้วย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังจะขึ้นอยู่กับว่า นายเจอโรม พาวเวลล์ จะกล่าวอะไรต่อหน้าที่ประชุมสภาคองเกรสในสัปดาห์หน้านี้อีกด้วย และสำหรับเงินยูโร ความเสี่ยงสำคัญคือโอกาสที่จะไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องมาตรการการฟื้นฟูเศรษฐกิจในการประชุมครั้งถัดไปของคณะมนตรียุโรป
ในระหว่างนี้ นักวิเคราะห์ 60% มีความเห็นว่า EUR/USD จะไม่สามารถขยับลงต่ำกว่าระดับ 1.1200 ในกรณีนี้ ระดับแนวต้านจะอยู่ที่ 1.1425 และ 1.1500 ส่วน 40% ที่เหลือประกอบการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 รอให้ราคากลับมาสู่โซน 1.0955 - 1.1000 ภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ โดยมีแนวรับสำคัญที่ 1.1100 ทั้งนี้เมื่อปรับการวิเคราะห์มาที่เดือนกรกฎาคม จำนวนผู้เห็นด้วยว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นนั้นเพิ่มเป็น 65%
สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค จำนวนออสซิลเลเตอร์ส่วนใหญ่และอินดิเคเตอร์เทรนด์ในกรอบ D1 ยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของเทรนด์ขาขึ้นนับตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน - 5 มิถุนายน และให้สัญญาณสีเขียว ในส่วนกราฟกรอบ H4 ภาพรวมยังคงเป็นไปในทางตรงกันข้าม สัญญาณสีแดงปกคลุมในที่นี้ แม้ว่าออสซิลเลเตอร์ 15% ให้สัญญาณแล้วว่า ราคาอยู่ในช่วง oversold
- GBP/USD ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มมองว่า เมษายนคือเป็นจุดตกต่ำที่สุดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักร และแม้ว่าเศรษฐกิจประเทศจะไม่กลับสู่ระดับก่อนวิกฤติภายในปี 2022 หรือแม้แต่ 2023 เราจะยังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางบวกแล้วในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้ บทบาทในทางบวกนี้ยังได้รับผลมาจากการที่รัฐบาลสามารถรักษาระดับอัตราการว่างงานที่ 4.4% ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนที่ผ่านมา
ในมุมมองของนักลงทุน สัปดาห์หน้านี้จะพิสูจน์ภาพรวมของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในอนาคตอันใกล้ ในวันอังคารที่ 16 มิถุนายน จะมีการประกาศสถิติตลาดแรงงานในสหราชอาณาจักร และในวันพุธจะประกาศสถิติตลาดผู้บริโภค และวันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน เราจะรอฟังผลการประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ โดยมีแนวโน้มสูงที่ธนาคารฯ จะรักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ 0.1% และเพิ่มโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเปิด อันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จากระดับปัจจุบันที่ £ 645 พันล้าน เป็น £725 พันล้านปอนด์ ทั้งนี้ ล่าสุดสามเดือนก่อนหน้า ปริมาณดังกล่าวอยู่ที่เพียง £435 พันล้าน และการเพิ่มปริมาณการซื้อพันธบัตรดังกล่าวจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร
ในสถานการณ์ที่เฝ้ารอการตัดสินใจเหล่านี้ คะแนนโหวตของผู้เชี่ยวชาญจึงแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้: 45% และการวิเคราะห์ในกรอบ H4 มองว่าราคาจะขยับขึ้น 35% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 มองว่าราคาจะขยับลงต่อไป และอีก 20% ที่เหลือโหวตให้กับเทรนด์ขาลงของราคาในช่วง 1.2400-1.2645 โดยเป้าหมายถัดไปของตลาดกระทิง ได้แก่ 1.2815 และ 1.2900 สำหรับตลาดหมีอยู่ที่ 1.2355, 1.2265 และ 1.2165
ในบรรดาอินดิเคเตอร์ สถานการณ์เป็นไปดังนี้: 75% ให้สัญญาณสีแดงในกรอบ H4 ในขณะที่ D1 ให้ภาพที่ตรงกันข้าม โดยมีจำนวนอินดิเคเตอร์เท่า ๆ กันที่ให้สัญญาณสีแดง เขียว และตรงกลางสีเทา - USD/JPY ความเห็นของนักวิเคราะห์แบ่งออกเป็นหลายกลุ่มเท่า ๆ กันเช่นเดียวกับของคู่ GBP/USD: 40% โหวตว่าราคาจะขยับขึ้นและกลับมาที่โซน 108.25-109.70 35% โหวตให้กับขาลง และอีก 25% ที่เหลือโหวตให้กับเทรนด์ด้านข้าง แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคให้ภาพที่ตรงกันข้ามอย่างชัดเจน: ภาพที่ขัดกันใน H4 และมีสีหนึ่งปกคลุมในกรอบ D1 ในขณะที่ 75% ของออสซิลเลเตอร์และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% ให้สัญญาณสีแดง
ในส่วนการวิเคราะห์กราฟ ชี้ว่าราคาจะขยับขึ้นไปที่ 108.00 ในกรอบ H4 ในช่วงแรก และจากนั้นจึงจะปรับลดลงมาก่อนที่โซน 106.55-107.00 และจากนั้นจะลดลงต่อไปที่ระดับต่ำสุดของเดือนพฤษภาคมที่บริเวณ 106.00 . - คริปโตเคอเรนซี ไซมอน เดดิก ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทการลงทุน Blockfyre เชื่อว่า การทะยานขึ้นของบิทคอยน์จะเริ่มขึ้นอีกครั้งและจะพาราคาขึ้นไปถึง $150,000 นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่บิทคอยน์จะเติบโตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอัลท์คอยน์ผู้นำในตลาด “ในปี 2017 คุณสามารถซื้ออัลท์คอยน์สกุลไหนก็ได้ และมันก็จะเป็นการลงทุนที่ดี” เขากล่าว “ดูเหมือนว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ผมเชื่อว่าการทะยานขึ้นจะกลับมา และจะ “ปั๊ม” ราคาให้กับอัลท์คอยน์ที่มั่นคงบางสกุลอย่าง: ETH - $9,000; LINK - $200; BNB - $500; VET – $1; XTZ - $200."
- ทิโมธี ปีเตอร์สัน นักวิเคราะห์จาก Cane Island Alternative Advisors ทำนายราคาน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง โดยเมื่อติดตามการฟื้นตัวของบิทคอยน์ตั้งแต่ระดับต่ำสุดของเดือนมีนาคมมาที่ $3,600 เขาค้นพบว่ากราฟบิทคอยน์ “เดินตามรอย” การเคลื่อนที่ที่นำไปสู่ระดับสูงสุดของปี 2013 ได้อย่างเพอร์เฟ็ค ในตอนนั้น BTC ขยับขึ้นมาที่ $1,300 ดังนั้น นักวิเคราะห์คนนี้สันนิษฐานว่า เราจะได้เห็นราคาพุ่งขึ้น 700% ในอนาคตอันใกล้ไปที่ระดับ $75,000
ณ ขณะนี้ คู่ BTC/USD ยังคงมีภารกิจที่สำคัญมากกว่า: ซึ่งก็คือการยืนให้เหนือระดับโซน $10,000-11,000 ผู้เชี่ยวชาญ 55% เชื่อว่า คู่ราคาจะสามารถทำได้สำเร็จก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน 15% โหวตให้กับเทรนด์ด้านข้างในช่วง $9,000-10,000 และอีก 30% ที่เหลือคาดการณ์ในทางตรงกันข้ามว่าราคาบิทคอยน์จะลดลงมาที่ $8,000-8,500
ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ปรับลงมาที่ 38 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน (จาก 53 ในสัปดาห์ก่อนหน้า) และขณะนี้อยู่ในโซนกลัว (Fear Zone) จากการประเมินของผู้ก่อตั้งดัชนีนี้ ตัวเลขที่ระดับนี้ชี้ว่านักเทรดควรจะพิจารณาการเปิดตำแหน่งซื้ออย่างระมัดระวัง
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ