อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ใช่อยู่แค่ในช่วงภาวะถดถอย ยังกำลังดิ่งลงเหวด้วยความเร็วสูง อัตรา GDP ที่ลดลงของสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สองคือการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยทำสถิติมาที่ติดลบ 32.9% เหตุผลแนวโน้มขาลงนี้หนีไม่พ้นเรื่องมาตรการกักกันโรคจากการระบาดของไวรัสโคโรนา รัฐบาลหวังว่าจะสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้โดยไม่ต้องทำลายเศรษฐกิจให้พังพินาศ ในบางรัฐทำสำเร็จในการใช้มาตรการโดยไม่ต้องจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสามารถปรับเส้นโค้งยอดผู้ติดเชื้อให้ราบเรียบได้
อย่างไรก็ตาม มีความหวังแล้วก็ย่อมมีความจริง อัตราติดลบที่ 32.9% ดังกล่าวนั้นส่งคลื่นภาวะช็อคต่อนักลงทุนอย่างแท้จริง เป็นเหตุให้ดัชนีหุ้นและดัชนีดอลลาร์ดิ่งลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ในขณะที่ทั้งสองดัชนีนี้เคยอยู่ตรงกันข้ามกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยดัชนี USD (DXY) ปรับขึ้น ในขณะที่ Nasdaq และ S&P500 ปรับลง และกลับกันนั้น ในเวลานี้ ทั้งสองตัวต่างดิ่งลง
ฝั่งตรงข้ามของสหรัฐฯ ในยุโรปหลายอย่างดูไม่เลวร้ายเท่าใดนัก อย่างที่เห็นได้จากดัชนีเศรษฐกิจมหภาคต่าง ๆ ซึ่งประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา GDP เยอรมนีปรับลดลงเพียง 10.1% และของยูโรโซนที่ 12.1% ตัวเลข GDP และอัตราการใช้จ่ายของผู้บริโภคในฝรั่งเศส ตลอดจนยอดขายปลีกในเยอรมนีก็ดูค่อนข้างสดใสเช่นกัน ทำให้ยูโรแข็งค่าขึ้น
คู่ EUR/USD ขยับขึ้นมาเป็นเวลาสามเดือนติดต่อกัน ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าเงินแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่ปี 1998 และเป็นการพุ่งทะยานมากที่สุดในรอบ 10 ปี ในเดือนกรกฎาคมเดือนเดียว ยูโรแข็งค่าขึ้นต่อดอลลาร์ถึง 725 จุด (5.6%) ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2010 ด้วยเหตุนี้ ราคาจะทำระดับสูงสุดในพื้้นที่ที่ 1.1908 เมื่อวันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม ตามมาด้วยการตีกลับและปิดตลาดที่ 1.1775 - GBP/USD เดินตามรอยคู่ EUR/USD โดยคู่นี้ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในสัปดาห์ที่แล้ว เงินปอนด์แข็งค่าต่อดอลลาร์ที่ 380 จุด และเกือบจะขยับถึง 1.3200 โดยราคาหยุดอยู่ที่ 1.3170 จากนั้นเช่นเดียวกันกับในกรณีของยูโร กำไรเดือนกรกฎาคมคงที่และปิดตลาดที่ 1.3085
- USD/JPY สกุลเงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นตลอดเกือบทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเห็นการเคลื่อนที่อย่างชัดเจนในวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม หลังจากการประกาศ GDP ที่น่าผิดหวังของสหรัฐฯ ณ จุดนี้ ราคาได้ขยับมาใกล้กับบริเวณ 104 เยนต่อหนึ่งดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เทรนด์มีการกลับตัวอย่างรวดเร็วในวันศุกร์และกลับมาเกือบถึงระดับที่เริ่มต้นในรอบห้าวันทำการ โดยปิดตลาดที่ 105.90 ดังนั้น ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาในรอบสัปดาห์จึงอยู่ที่เพียง 20 จุดเท่านั้น
- คริปโตเคอเรนซี สิ่งที่ทุกคนรอคอยมาตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมหลังการฮาล์ฟเหรียญบิทคอยน์ก็ได้เกิดขึ้นในที่สุด บิทคอยน์ตัดทะลุระดับ $10,000 อย่างทรงพลังและหยุดหลังจากไต่ถึง $11,365 จากนั้นราคาก็ขยับที่โซนด้านข้างและความผันผวนเริ่มจางหายไปอย่างช้า ๆ ทำให้โซน $11,000 กลายเป็นจุด Pivot Point
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และการที่ตลาดหุ้นเริ่มแนวโน้มขาลงเป็นสาเหตุเบื้องหลังการเติบโตของบิทคอยน์ ดอลลาร์ยุติบทบาทสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งเคยคงสถานะมาตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางสถานการณ์ความหวาดกลัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และนักลงทุนก็กลับหันมาสู่สินทรัพย์คลาสสิกอีกครั้ง เช่น โลหะมีค่า และในขณะเดียวกันก็หันมาที่บิทคอยน์ในฐานะที่เป็น “ทองคำแบบดิจิทัล”
คู่ BTC/USD เลิกบทบาทความสัมพันธ์กับดัชนีหุ้นและกลับมาสัมพันธ์กับ XAU/USD เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนรายสถาบันมอง BTC ในฐานะที่ “เสริม” จากสินทรัพย์การเงินพื้นฐานเท่านั้น ยากที่จะโต้แย้งประเด็นนี้ เพราะว่าแม้แต่มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตที่ขณะนี้ได้ขยับถึง $330 พันล้านเหรียญ ก็ถือว่าเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับตลาดทั่วไป
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มูลค่ารวมในตลาดของบิทคอยน์ที่ทะยานขึ้นนี้เพิ่มขึ้นมาอีก $44 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 15% ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ได้พุ่งกระโดดขึ้นมาที่ 75 (เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอยู่ที่ระดับ 53) ทำให้ราคาอยู่ในโซน overbought และอาจมีการปรับฐาน
ในช่วงที่ราคาทะยานขึ้นนี้ บิทคอยน์ได้ดึงอัลท์คอยน์สกุลต่าง ๆ ขึ้นมาด้วย โดยบางตัวมีอัตราการเติบโตสูงกว่าสินทรัพย์ “ตัวแม่” อย่างบิทคอยน์เสียอีก: Bitcoin (BTC/USD) 17%, Ripple (XRP/USD) 19%, Ethereum (ETH/USD) 21%, Litecoin (LTC/USD) 30%
ในระยะยาว ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า Ethereum มีโอกาสเหนือสกุลเงินอื่น ๆ โดยมีแนวโน้ม 75% ที่เหรียญอีธีเรียมจะขยับขึ้นไปที่ราคา $400 ภายในสิ้นปีนี้
แน่นอนว่า ตลาดคริปโตที่บินขึ้นได้กลายเป็นข่าวหลักของสัปดาห์ แต่ยังมีข่าวอื่นที่จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตเช่นกัน ศาลระดับรัฐของสหรัฐฯ ในที่สุดก็ได้รับรองบิทคอยน์เป็นเงินตราประเภทหนึ่ง ทั้งหมดนี้กล่าวโดยเบริลล์ โฮเวลล์ ตุลาการสูงสุดของศาลเขตโคลัมเบีย โดยพิจารณาคดี Coin Ninja ของซีอีโอ แลร์รี ดีน ฮาร์มอน ที่ถูกกล่าวหาว่าฟอกเงินจำนวน $311 ล้านเหรียญ เธอชี้แจงว่า หลักการของเงิน “โดยปกติแล้วหมายถึง สื่อกลางที่หมุนเวียนกัน เป็นวิธีการชำระเงินอย่างหนึ่งหรือเป็นวิธีการออมเงิน และบิทคอยน์ก็เป็นหนึ่งในนั้น” อย่าลืมว่าสหรัฐฯ มีระบบกฎหมายจากคำพิพากษา ซึ่งผลการตัดสินโดยตุลาการเช่นนี้อาจนำมาซึ่งผลที่ตามมาได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD ในสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ธนาคารเฟดตระหนักดีว่า อัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโดยตรง เช่นเดียวกันกับฝั่งยุโรป อย่างไรก็ตาม ในการทำการตัดสินใจใด ๆ นักการเมืองยุโรปจำเป็นต้องมีฉันทามติในแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องยากแต่พวกเขาก็ทำได้สำเร็จ มาตรการการกักกันโรคที่บังคับใช้โดยแต่ละประเทศสมาชิกอียูปรากฏว่ามีการประสานงานกันมากกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าในสหรัฐฯ สถานการณ์ในสหรัฐฯ จึงส่งผลต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยตรง โดยเห็นได้ชัดเจนว่า อเมริกาได้รับผลกระทบเลวร้ายกว่าฝั่งยุโรป และสะท้อนให้เห็นในอัตราแลกเปลี่ยนของคู่ EUR/USD
75% ของอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ H4 และ 100% ในกรอบ D1 ให้สัญญาณสีเขียว รวมถึงออสซิลเลเตอร์ 85% ทั้งสองกรอบเวลา นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญอีก 45% ยังคาดการณ์ว่ายูโรจะแข็งค่าขึ้นต่อไป ซึ่งสนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 เป้าหมายคือระดับจิตวิทยาที่สำคัญที่ 1.2000 หลังจากตัดทะลุแล้ว ในระยะยาวจะเปิดทางสู่เป้าหมายที่ 1.25000
อย่างไรก็ตาม ในช่วงกันยายนปี 2017 เราได้เห็นว่าหลังจากราคาทำระดับที่ 1.2000 ก็มีการปรับฐานอย่างลึกเป็นเวลาสองเดือนที่ 1.1550 และเมื่อปรับฐานเสร็จแล้วราคาถึงจะทำระดับถึง 1.2500 ได้สำเร็จ
แน่นอนว่าเมื่อสามปีที่แล้วไม่มีไวรัสโคโรนา และหลายอย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ดูจะเป็นสถานการณ์ที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ 55% เชื่อว่า ดอลลาร์จะไม่พังพินาศ และแม้ว่าภาพรวมในระยะสั้นนี้ยังดูน่าเป็นห่วง พวกเขายังคงเชื่อว่า ราคาอาจปรับลงมาที่โซน 1.650-1.1700 ซึ่งยืนยันได้จากการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 และออสซิลเลเตอร์ 15% ที่ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought
สำหรับในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราควรให้ความสนใจกับดัชนีต่าง ๆ เช่น ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจโดย ISM ในภาคการผลิตและภาคบริการของสหรัฐฯ (จะประกาศในวันที่ 3 และ 4 สิงหาคม ตามลำดับ) รวมถึงสถิติตลาดแรงงาน (NFP) ที่จะประกาศในวันศุกร์แรกของเดือน
ทั้งนี้ควรคำนึงว่า ในระยะกลาง ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (80%) คาดการณ์ว่า สถานการณ์ในสหรัฐฯจะดีขึ้นและดอลลาร์จะกลับสู่โซน 1.1000-1.1300 - GBP/USD ต่างจาก EUR/USD โดยสัญญาณ overbought ของคู่นี้มาจากจำนวนออสซิลเลเตอร์ที่มากกว่า: 15% บนกรอบ H4 และ 35% บนกรอบ D1 การวิเคราะห์กราฟบน H4 ให้ภาพทิศใต้เช่นกัน แต่อินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% บนกรอบ H4 และ 100% บน D1 ยังคงชี้ไปที่ทิศเหนือ
ในบรรดาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่โหวตให้กับตลาดหมี โดย 60% บน W1 และ 80% บน MN ชี้ว่า ตลาดยังไม่วางใจเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเงินปอนด์อังกฤษ จริงอยู่ที่แม้เงียบสงบไปบ้าง แต่ปัญหาเรื่องเบร็กซิตก็ยังไม่หายไปไหน
ในวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม เราอาจได้เห็นความชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์และแนวโน้มของเศรษฐกิจอังกฤษ โดยธนาคารแห่งชาติอังกฤษจะประชุมหารือ และจะมีการประกาศรายงานนโยบายทางการเงินเกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ นักเทรดและนักลงทุนจะให้ความสนใจกับคำแถลงของ นายแอนดริว ไบเลย์ ประธานธนาคารแห่งชาติอังกฤษ
ในระหว่างนี้ สามารถกำหนดระดับเป้าหมายของคู่ GBP/USD ได้ดังนี้: แนวรับที่ 1.3000, 1.2900, 1.2770 และ 1.2670 และแนวต้านที่ 1.3200 และราคาสูงสุดของเดือนธันวาคม 2019 ที่ 1.3515 - USD/JPY 60% ของผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนโดยการวิเครา่ะห์กราฟในกรอบ H4 เชื่อว่า ราคาจะพยายามทดสอบระดับ 104.00 อีกครั้งในอีกสองสามวันข้างหน้า แต่จะไม่สำเร็จและจะกลับตัวขึ้นมาสู่บริเวณ 106.00 ภายในเวลาหนึ่งเดือน จากนั้นราคาจะปรับสูงขึ้นอีกมาที่โซน 106.60-108.00 ในส่วนนักวิเคราะห์ 40% คาดว่าจะไม่มีความพยายามตัดทะลุลงด้านล่างและราคาจะทะยานขึ้น 108.00 โดยทันที
หลังจากราคาเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและกลับตัวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ส่งผลให้เกิดสัญญาณความสับสนอย่างสิ้นเชิงในหมู่อินดิเคเตอร์บนกรอบเวลา H4 แต่ใน D1 ยังคงปกคลุมโดยสัญญาณสีแดง โดย 80% ของออสซิลเลเตอร์และอินดิเคเตอร์เทรนด์ให้สัญญาณสีแดงดังกล่าว - คริปโตเคอเรนซี จากรายงานของผู้เชี่ยวชาญ Glassnode หลังจากราคาได้ยืนเหนือระดับจิตวิทยาที่ $10,000 ได้สำเร็จ นักขุดเหรียญเริ่มกักเก็บเหรียญส่วนใหญ่ที่พวกเขาขุดได้ สิ่งนี้อาจสร้างการขาดดุลบางประการในตลาดและทำให้ราคาทะยานขึ้นต่อไป
นายแม็ก ไคเซอร์ ผู้ก่อตั้ง Heisenberg Capital มองว่า ราคาบิทคอยน์จะทำสถิติทะลุ $20,000 และขยับขึ้นมาที่ราคา $28,000 จริงอยู่ที่มีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำทำนายนี้ “บิทคอยน์เป็นการลงทุนที่น่าดึงดูด แต่การทุบสถิติราคาที่ $28,000 ที่นายไคเซอร์คาดการณ์ไว้นั้น ไม่น่าจะเกิดขึ้น นายเซอร์เกย์ ทรอชิน เศรษฐีพันล้านจากศูนย์ข้อมูล Six-Nines กล่าวว่า - โดยปกติแล้ว การทะยานขึ้นรอบแรกจะทรงพลังมากที่สุด และการทะยานขึ้นรอบถัด ๆ มาจะค่อย ๆ ต่ำลง บางทีราคาอาจขยับถึงระดับ $17,000-$18,000 และหลายคนจะเริ่มเก็บกำไร และรอให้ราคาปรับฐานลงอีกครั้ง”
คำทำนายที่ถ่อมตัวยิ่งกว่านั้นเป็นของนักวิเคราะห์จาก Bloomberg พวกเขาเชื่อว่า หากจำนวนที่อยู่ผู้ใช้งานอย่างเป็นประจำนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป้าหมายของบิทคอยน์จะเป็นราคาสูงสุดของปี 2019 ที่ $12,734
สำหรับคำทำนายเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ 60% คาดการณ์ว่าราคาจะปรับฐานในอนาคตอันใกล้ และจะลดลงมาที่แนวต้าน $10,000 อีก 40% ที่เหลือเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของ Bloomberg ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญที่ระมัดระวังมากที่สุดยังคงย้ำเตือนเกี่ยวกับความผันผวนของเทรนด์เงินคริปโต โดยการเปิดตัวการซื้อขายฟิวเจอร์สในเดือนธันวาคม 2017 กลายเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาวเงินคริปโต และหลังจากราคาเติบโตขึ้นอย่างน่าประทับใจในช่วงเดือนครึ่งแรกของปี 2020 ราคาก็ได้ทรุดลงมาที่ $3,830 ส่งผลกระทบต่อตลาดดิจิทัลโดยรวมทั้งหมด
แต่ก็ยังมีข่าวดีสำหรับผู้ที่กังวลถึงภัยพินาศที่อาจเกิดขึ้น แพล็ตฟอร์มเก่าแก่ของบิทคอยน์ Abra ได้เพิ่มฟีเจอร์การทำรายได้จากการฝากเงินสกุลคริปโตและสเตเบิลคอยน์ โดยรายละเอียดบนเว็บไซต์บริษัทระบุว่า TrueUSD (TUSD), Tether (USDT) และ USD Coin (USDC) คือสกุลเงินที่ทำกำไรดีที่สุดที่ 9% ต่อปี ผลตอบแทนรายปีจากการฝากเงินบิทคอยน์และอีธีเรียมอยู่ที่ 4.1% และ 4.0% ตามลำดับ อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวที่นำเสนอโดย Abra นั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารในการฝากเงินดอลลารหรือยูโร ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี แต่คำถามปรากฏขึ้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของการฝากเงินเหล่านี้ ในบทสนทนากับ The Block ผู้แทนของ Abra กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยจะถูกทบทวนรายสัปดาห์และจะน่าเศร้าเป็นอย่างมากหากต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปเป็นศูนย์หรือติดลบทั้งหมด
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ