อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD ดอลลาร์อ่อนค่าลงมาเป็นเวลาหกสัปดาห์ติดต่อกัน ดัชนี USD (DXY) ปรับลดลงถึงระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2018 โดยรวมแล้ว ดอลลาร์อ่อนค่าลงถึง 10% ในช่วงห้าเดือนที่ผ่านมา และในตอนนี้ดูเหมือนว่าเทรนด์ขาลงหยุดตัวลงแล้ว: คู่ EUR/USD ขยับตามช่องด้านข้างในช่วง 1.1700-1.1910 เป็นเวลาสองสัปดาห์ติดต่อกัน มีความพยายามที่จะตัดทะลุเพื่อยืนเหนือกรอบเมื่อวันที่ 5-6 สิงหาคมแต่ก็ล้มเหลว และราคาปิดตลาดรอบห้าวันที่ 1.1785 เมื่อวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้ที่กล่าวโจมตีสื่อโซเชียลของจีน ได้ช่วยเพิ่มความเข้มแข็งของเงินดอลลาร์ ฝั่งตลาดหมีรอการกลับมาของสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบระหว่างสหรัฐฯ และจีนอย่างใจจดใจจ่อ และหวังว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่หยุดอยู่ที่การโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
สภาคองเกรสซึ่งยังไม่สามารถได้ข้อสรุปเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ รอบใหม่เป็นปัจจัยที่เอื้อให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้นจะชะงักตัวและนักลงทุนเริ่มหันมาให้ความสนใจในเงินดอลลาร์สหรัฐอีกครั้ง
ดัชนีเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ ที่ประกาศในสัปดาห์ที่แล้วยังบังคับให้ต้องพูดถึงสถานการณ์ในทางบวกที่เริ่มเลือนหาย รายงานการจ้างงานในภาคเอกชน (ADP) ดูค่อนข้างอ่อนแอ และดัชนีกิจกรรมเกี่ยวกับธุรกรรมการใช้บัตรเครดิตและการใช้โทรศัพท์ต่ำกว่าระดับก่อนช่วงวิกฤติ COVID-19 ถึง 10-30%
ดัชนี NFP ดูจะให้สัญญาณสีเขียว แต่ในความเป็นจริง ตัวเลขที่ 1.763 ล้านนั้นไม่ได้เป็นตัวเลขที่สร้างขึ้นมาใหม่แต่เป็นตัวเลขตำแหน่งงานเก่า ซึ่งก่อนหน้านี้คือกลุ่มคนจำนวนมากที่ถูกส่งให้หยุดพักร้อนระยะยาวและเริ่มกลับมาทำงาน อย่าลืมว่าในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 2.7 ล้านและ 4.8 ล้านตามลำดับ ดังนั้น ตัวเลขของเดือนกรกฎาคมจึงถือว่าเป็นยอดที่แย่ที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว - GBP/USD นับตั้งแต่เดือนมีนาคม ตลอดช่วงวิกฤติ คู่ GBP/USD แสดงความสัมพันธ์กับคู่ EUR/USD โดยเดินตามรอยความผันผวนทั้งหมด เงินปอนด์ขยับถึงราคาสูงสุดของเดือนมีนาคมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม โดยขึ้นไปที่ 1.3185 นักวิเคราะห์บางท่านเชื่อว่า นี่เป็นผลมาจากการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ อย่างไรก็ตามก็มีข้อโต้แย้งที่โยนความผิดไปที่สภาพโดยรวมที่อ่อนแอของเงินดอลลาร์ ตามดัชนี DXY ซึ่งขยับลงสู่ระดับต่ำสุดในช่วงหลายวันนี้
การประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษไม่ปรากฏข่าวน่าประหลาดใจใด ๆ ตามปกติ ธนาคารฯ ตัดสินที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงไว้ที่ 0.1% และปริมาณโครงการ QE วางเป้าหมายไว้ที่ £745 พันล้านปอนด์ ในขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารของธนาคารฯ เชื่อว่า เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรจะฟื้นตัวจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดภายในสิ้นปี 2021 และอัตราการฟื้นตัวนั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์โรคระบาดเป็นหลัก โดยรวมแล้ว ณ ขณะนี้ยังไม่มีความแน่นอนใด ๆ ในขณะเดียวกัน ธนาคารฯ ก็เชื่อว่ายังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะปรับนโยบายทางการเงิน และโดยเฉพาะไม่มีความจำเป็นที่จะพูดถึงการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ ท่าทีดังกล่าวอาจก่อให้เกิดปัญหายากลำบากต่อธนาคารต่าง ๆ ซึ่งกำลังประสบกับภาวะขาดทุนอย่างรุนแรงจากวิกฤติการระบาดของ COVID-19
ด้วยเหตุนี้ เงินปอนด์อังกฤษจึงเดินตามรอยยูโร และเคลื่อนที่ด้านข้างเทียบกับดอลลาร์ รักษาระดับซื้อขายไว้ในช่วง 1.2980-1.3185 และปิดตลาดที่ 1.3055 - USD/JPY ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นคือหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มสถาบันธนาคารกลางกลุ่มหนึ่งที่รวมธนาคารกลางของสหราชอาณาจักร อียู และแคนาดา กลุ่มธนาคารเหล่านี้ได้รวมตัวกันเพื่อแสวงหาแนวทางและหารือเรื่องความท้าทายในการเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล ในขณะนี้ ญี่ปุ่นกำลังดำเนินงานอย่างแข็งขันเพื่อเปิดตัวเงินเยนดิจิทัล โดยได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลพิเศษมาโดยเฉพาะ บางทีเหตุการณ์นี้อาจดึงดูดความสนใจของนักลงทุน แต่ ณ ขณะนี้ เงินเยนยังคงอยู่นอกสายตาของเหล่า “ฉลาม” ทางการเงินรายใหญ่ ในช่วงห้าวันที่ผ่านมา ช่วงความผันผวนอยู่ไม่เกิน 115 จุด และเงินเยนปิดตลาดเกือบที่ระดับราคาเดิมที่เริ่มเปิดตลาดเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าที่บริเวณ 105.90
- คริปโตเคอเรนซี ความเห็นที่ว่า คริปโตเคอเรนซีสามารถทำให้ทุกคน แม้แต่เด็ก ก็เป็นเศรษฐีได้นั้นยืนยันให้เห็นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นโดยสุจริตนัก เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ตำรวจได้จับกุม นายแกรแฮม คลาร์ค อายุ 17 ปี ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแฮ็คเกอร์ที่โจมตีบัญชีทวิตเตอร์ของเหล่าคนดัง ซึ่งในบรรดาเหยื่อของเขา ได้แก่ อีลอน มัสก์, บารัค โอบามา และโจ ไบเดน โดยเขาทำการกุเรื่องเพื่อหลอกทำธุรกรรมบิทคอยน์ ผลปรากฏว่าเด็กผู้เยาว์คนนี้เป็นเจ้าของบิทคอยน์ถึง 300 BTC และคิดเป็นเงินกว่า $3.5 ล้านเหรียญ!
สำหรับประชาชนผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ไม่นานมานี้ Cornerstone Advisors ได้ประกาศผลการวิจัยซึ่งพบว่า ชาวอเมริกัน 15% เป็นเจ้าของบิทคอยน์หรืออัลท์คอยน์สกุลอื่น ๆ แล้ว และกว่าครึ่งหนึ่งได้กลายเป็นนักลงทุนเงินคริปโตในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยแล้ว นักลงทุนหน้าใหม่ได้ลงทุนด้วยเงินรวมแล้วมากกว่า $67 ล้านเหรียญในตลาดเงินคริปโต และแต่ละคนใช้จ่ายเงินอยู่ที่ประมาณ $4,000 ส่วนใหญ่นั้นเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง (ประมาณ $130,000 ต่อปี) มีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และที่น่าสนใจก็คือ นักลงทุนเกือบ 100% คือเพศชาย
และตอนนี้ก็มาถึงข่าวที่น่าหวาดกลัวสำหรับสมาชิกในชุมชนคริปโตหลายท่าน หลังจากราคาทะยานขึ้นอย่างน่าประทับใจมาที่ $12,080 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ราคาบิทคอยน์ก็ได้ทุบตัวลงมาอย่างไม่คาดคิด โดยลงมาที่ $10,500 ภายในเวลาไม่กี่นาที สร้างความตื่นตระหนกในหมู่นักลงทุนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ราคาไม่ได้ดิ่งลงไปมากกว่าและราคาก็กลับมายืนเหนือระดับ $11,000 ได้อย่างรวดเร็ว นายรูเพิร์ต ดักลาส ประธานฝ่ายขายของสถาบัน Koine กล่าวว่า ท่าทีดังกล่าวมาจากการเก็บกำไรของตำแหน่งซื้อที่ราคาสูง ดังนั้นในวันดังกล่าวมีตำแหน่งธุรกรรมมูลค่าถึง $147 ล้านเหรียญที่ขึ้นเงินในตลาดคริปโต BitMEX โดยรวมแล้วในช่วง “วันอาทิตย์สีเทา” นี้ มูลค่ารวมในตลาดคริปโตหายไปประมาณ $30 พันล้านเหรียญจาก $361 เหลือ $331 พันล้านเหรียญดอลลาร์
ระดับ $11,000 กลายเป็นแนวรับทรงพลังสำหรับ BTC/USD ซึ่งราคาดีดกลับมายืนและได้ขยับขึ้นมาที่โซน $11,500-11,850 ในวันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม มูลค่ารวมของตลาดเงินคริปโตเกือบจะฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ โดยขึ้นมาที่ $357 พันล้านเหรียญ ส่วนดัชนี Crypto Fear & Greed Index อยู่ที่ 77 ซึ่งเป็นระดับเดิมกับช่วงเจ็ดวันก่อนหน้า
คู่ ETH/USD กลับมาอยู่ที่โซน $400 ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของปริมาณการเทรด Ethereum ในตลาดสปอตและฟิวเจอร์นั้นเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าของบิทคอยน์ หากอัตราส่วนปริมาณการเทรดระหว่าง ETH และ BTC เดิมอยู่ที่ 16% เมื่อเดือนกันยายนปี 2019 ในตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวขึ้นมาที่ 50% ในตลาดฟิวเจอร์ เพิ่มขึ้นมาจาก 8% เป็น 29% ในช่วงเวลาเดียวกัน ตัวเลขนี้อ้างอิงจากตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโต Binance, Coinbase, Bitfinex, Kraken และ Bitstamp และจากรายงานของ CoinGecko ปริมาณการเทรดในแต่ละวันของธุรกรรม Ethereum ปัจจุบันทะลุเกิน $15.1 พันล้านเหรียญ ตามหลังบิทคอยน์เพียง 25% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มูลค่ารวมของ ETH ยังคงต่ำกว่าบิทคอยน์มากโดยต่ำกว่าถึง 5.25 เท่า
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD งบดุลของธนาคารเฟดยังไม่เพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และกระทรวงการคลังได้สำรองเงินมากกว่า $1.7 ล้านล้านในคลัง ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นการชะลอตัวในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะบังคับให้รัฐบาลและธนาคารเฟดต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป มิเช่นนั้น แทนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวเป็นรูปตัว V อาจจะกลายเป็นภาวะถดถอยในรูปตัว W แทนได้ และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะสูญเสียโอกาสที่ต่ำอยู่แล้วในการชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญ 50% เชื่อว่า ขั้นถัดไปของการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยสภาพคล่องและมาตรการทางการคลังอื่น ๆ จะใช้เวลาไม่นาน ดังนั้น ดอลลาร์น่าจะอ่อนค่าต่อเนื่องและคู่ EUR/USD จะขยับขึ้นต่อไป โดยมีเป้าหมายใกล้ที่สุดที่ 1.1840, 1.1900 และ 1.2000
ส่วนนักวิเคราะห์ 20% คาดการณ์ว่าเทรนด์ด้านข้างจะมีผลต่อไปในช่วง 1.1700-1.1910 และอีก 30% ที่เหลือเชื่อว่า ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ราคาจะกลับมาสู่บริเวณ 1.1450
นอกจากนักวิเคราะห์จำนวนครึ่งหนึ่งแล้ว การวิเคราะห์กราฟยังให้สัญญาณทิศเหนือเช่นกัน รวมถึงออสซิลเลเตอร์อีก 80% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 85% ในกรอบ D1 ในส่วนออสซิลเลเตอร์ 20% นั้นให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในช่วง overbought
เรากำลังรอดูสถิติจากตลาดผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 12 สิงหาคม และวันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม และหากดัชนีราคาผู้บริโภคมีการทำนายว่าจะคงตัว ยอดขายปลีกอาจมีแนวโน้มลดลงในเดือนกรกฎาคมจาก 7.5% เหลือ 1.7% นอกจากนี้ ในวันศุกร์จะมีการประกาศสถิติเบื้องต้นของ GDP ยูโรโซนในไตรมาสที่สอง
- GBP/USD นอกเหนือจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า การที่ธนาคารแห่งชาติอังกฤษปฏิเสธการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเพิ่มโครงการซื้อสินทรัพย์ยังช่วยหนุนเงินปอนด์ ในวันพุธที่ 12 สิงหาคม จะมีการประกาศ GDP สหราชอาณาจักรในไตรมาสที่ 2 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะหดตัว 20.2% เมื่อเทียบกันแล้ว เศรษฐกิจยูโรโซนหดตัวลง 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน และของสหรัฐฯ ที่ 9.5% และนักลงทุนสันนิษฐานว่า สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้อาจบีบบังคับให้ธนาคารกลางฯ ต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่มั่นคงของฝ่ายบริหารธนาคารกลางฯ น่าจะช่วยบรรเทาความกลัวและทำให้เงินปอนด์ไม่เพียงแค่จะแข็งค่าเท่านั้น แต่ยังผลักราคาขึ้นไปเมื่อเทียบกับดอลลาร์ได้อีกด้วย
นี่คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญ 60% เชื่อในขณะนี้ โดยได้รับสัญญาณสนับสนุนจากออสซิลเลเตอร์ 90% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ในกรอบ D1 แนวต้าน ได้แก่ 1.3185, 1.3200 และ 1.3285 ในส่วนนักวิเคราะห์ 40% มีมุมมองในทางตรงกันข้าม โดยให้แนวรับไว้ที่ 1.2980, 1.2900, 1.2765 และ 1.2670 สำหรับการวิเคราะห์กราฟให้ภาพการเคลื่อนที่ด้านข้างของคู่ต่อไปในช่วง 1.2980-1.3185 บนกรอบ H4 ตามมาด้วยราคาปรับลงมาที่ 1.2900 - USD / JPY ผู้เชี่ยวชาญ 50% สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 เชื่อว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ราคาจะสามารถพยายามทดสอบระดับ 106.40 อีกครั้ง และหากสำเร็จ ราคาจะขยับขึ้นไปอีก 100 จุด โดยมีแนวต้านระยะกลางที่ 106.65 ส่วนนักวิเคราะห์ 20% เห็นด้วยกับเทรนด์ด้านข้าง และอีก 30% คาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลงมาที่แนวรับ 105.30 และจากนั้นลงมาที่ 104.75 โดยวางเป้าหมายต่ำสุดไว้ที่ราคาต่ำของวันที่ 31 กรกฎาคมที่ 104.18
กล่าวถึงอินดิเคเตอร์เล็กน้อย แม้ว่าการวิเคราะห์คู่ EUR/USD และ GBP/USD ในกรอบ H4 จะให้ภาพที่ดูน่าสับสนอย่างสิ้นเชิงและค่อนข้างสัมพันธ์กันในกรอบ D1 สำหรับคู่เงินเยนญี่ปุ่นนั้นกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม เมื่อดูกราฟในกรอบ D1 แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปสัญญาณใด ๆ แต่ในส่วน H4 นั้นมีออสซิลเลเตอร์ 65% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 80% ให้สัญญาณสีเขียว อย่างไรก็ตาม จำนวนออสซิลเลเตอร์ที่ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought ก็มีจำนวนมากเช่นกันอยู่ที่ 25% และ 10% ให้สัญญาณตรงกลางเป็นสีเทา - คริปโตเคอเรนซี ผู้เชี่ยวชาญ Bloomberg ยืนยันคำทำนายว่าราคาบิทคอยน์จะขึ้นถึง $20,000 ภายในสิ้นปีนี้ “หลังจากราคาทรุดลงมา 60% เมื่อปี 2014 มูลค่าของเหรียญก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าในช่วงสามปีหลังจากนั้น ราคาที่ลดลงในปี 2018 อยู่ที่ 75% โดยก่อนหน้านี้ บิทคอยน์ได้ขยับถึง $20,000 และก็ยืนเหนือระดับดังกล่าวแต่ก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว ในความเป็นจริง ณ ขณะนี้ บิทคอยน์มีทุกโอกาสที่จะกลับมาพีคอีกครั้ง” กล่าวโดยผู้เชี่ยวชาญของ Bloomberg
มูลค่าคริปโตเคอเรนซีอาจได้รับผลมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งรวมถึงนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเฟดสหรัฐฯ หลายประเทศพยายามที่จะออกจากภาวะวิกฤตินี้ให้เร็วที่สุด จึงยอมให้เงินอ่อนค่าลง ในสถานการณ์ที่มีความผันผวนเช่นนี้ บิทคอยน์จึงมีโอกาสที่จะกลับมาติดอันดับสินทรัพย์ที่นักลงทุนชื่นชอบอีกครั้ง
นายแม็ก ไคเซอร์ นักวิเคราะห์ชื่อดังและผู้รายงานข่าวทางทีวี ประเมินว่าราคา BTC/USD จะทะยานขึ้นถึง $28,000 และยืนยันคำทำนายนี้ เขามองว่า บิทคอยน์จะไม่มีระดับแนวต้านที่ชัดเจนก่อนระดับนี้ ซึ่งราคาสูงสุดของเดือนธันวาคมปี 2017 ที่ $20,000 ก็จะไม่ใช่แนวต้านเช่นกัน “ราคาจะดีดกลับสั้น ๆ และจะโจมตีไปที่ $100,000 ด้วยพลังเต็มเปี่ยม” เขากล่าวคาดการณ์ต่อไป แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ให้กรอบเวลาที่จะเกิดขึ้น
แต่สิ่งนี้อธิบายโดย นายแอนโธนี ปอมพลีอาโน ผู้ร่วมก่อตั้ง Morgan Creek Digital ซึ่งกล่าวว่า ราคาบิทคอยน์จะทะยานขึ้นถึง $100,000 ภายในเดือนธันวาคม 2020 อีกหนึ่งนักวิเคราะห์เงินคริปโตชื่อดัง Plan B ก็บอกไว้ในระยะยาว โดยอ้างอิงจากโมเดล Stock-to-Flow (S2F) เขาคำนวณไว้ว่าบิทคอยน์จะขยับขึ้นเหนือระดับดังกล่าวได้ภายในสิ้นปีหน้าปี 2021
ผู้เชี่ยวชาญจากแพล็ตฟอร์มคริปโตเคอเรนซี Zubr ตัดสินใจที่จะผ่อนคลายความตื่นเต้นดังกล่าว พวกเขาได้ทำการศึกษาความผันผวนของ BTC และได้ข้อสรุปว่า แม้ว่าความผันผวนจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ดั้งเดิม บิทคอยน์ยังคงรักษาตัวอยู่ใน “ภาวะสมดุลของตลาด” ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ นักวิเคราะห์จาก Zubr พบว่าหลังจากราคาบิทคอยน์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในกรณีส่วนใหญ่นั้นมักจะเกิดการเคลื่อนที่ในทางกลับกันในเปอร์เซ็นต์ที่เกือบจะสมมาตร นี่หมายความว่าอีกไม่นานนี้ หลังจากทะยานขึ้นเหนือ $12,000 ราคาบิทคอยน์อาจกลับมาสู่ระดับ $10,000
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ