บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 7 - 11 ธันวาคม 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD ดอลลาร์อ่อนค่าต่อเนื่อง ยูโรยังคงแข็งค่าขึ้น คู่นี้ขยับจาก 1.1600 มายัง 1.2175 ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน เหตุผลประการแรกที่ดอลลาร์อ่อนค่าก็คือ ความต้องการความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นรอบโลก เริ่มตั้งแต่ข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับวัคซีนไวรัสโคโรนา ตลาดจึงเชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น แต่รวมถึงเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ด้วย สถานการณ์ในสหรัฐฯ เองก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก ดัชนีสำคัญ ๆ รวมถึงดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจและการจ้างงานยังคงติดลบในสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านจำนวนตำแหน่งงานใหม่นอกภาคการเกษตร (NFP) ลดลงจาก 610K ในเดือนตุลาคมเป็น 245K ในเดือนพฤศจิกายนอันเป็นผลมาจากมาตรการกักตัวรอบใหม่
    การลงทุนในเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มไม่เป็นที่นิยม ดัชนีหุ้น S&P500 และ Dow Jones เริ่มขยับเข้าสู่เทรนด์ด้านข้าง ผลตอบแทนพันธบัตร (หนี้รัฐบาล) ยังคงเพิ่มสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน ระดับเงินเฟ้อเริ่มปรับขึ้นเป็นระดับสูงสุด อัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มหันไปสู่สินทรัพย์อื่น ๆ นอกประเทศ
    สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ยุโรปก็มีปัญหาไม่น้อยกว่าเช่นกัน เมื่อพิจารณาผลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เศรษฐกิจอียูเองก็อยู่ในช่วงชะงักตัวครั้งใหญ่ จริงอยู่ที่ นายโจ ไบเดน ได้กล่าวต้อนรับข้อเสนอมาตรการอุดหนุนเศรษฐกิจรอบใหม่กว่า $908 พันล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ แล้วยังกล่าวเสริมด้วยว่าจะไม่จำกัดแค่นี้ แต่ธนาคารกลางยุโรปตามคำคาดการณ์ของ Bloomberg คาดว่าจะขยายโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินออกไปอีก €500 พันล้านยูโร ณ ที่ประชุมวันที่ 10 ธันวาคม โดยจะขยายกำหนดเวลาจากกลางปีเป็นปลายปี 2021 นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรปจะขยายโครงการ LTRO ซึ่งเป็นโครงการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับธนาคารต่าง ๆ ในระยะยาวเพื่อต่อสู้กับวิกฤติ และยังมีข้อกังวลของธนาคารฯ กับสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับข้อตกลงเบร็กซิต รวมถึงความเห็นที่ไม่ลงรอยกันกับประเทศโปแลนด์และฮังการีเรื่องกองทุนฟื้นฟู COVID-19 และอัตราดอกเบี้ยในอียูที่ต่ำกว่าในสหรัฐฯ
    โดยรวมแล้ว ทั้งสองฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกนั้นมีปัญหาพอ ๆ กัน แต่ก็เป็นไปตามที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (60%) ได้คาดการณ์ไว้ คู่ EUR/USD ขยับขึ้นมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และปิดตลาดรอบห้าวันที่ 1.2120 โดยประเด็นสำคัญไม่ใช่ความแข็งแกร่งของยูโร แต่เป็นความอ่อนแอของดอลลาร์ ดัชนี DXY ซึ่งปรับลดลงมายังระดับ 90.5 เป็นครั้งแรกในรอบสองปี
  • GBP/USD สกุลเงินปอนด์อังกฤษก็แข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์เช่นกัน โดยขึ้นมา 670 จุดตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน และแม้ว่าทั้งลอนดอนและบรัสเซลส์ต่างไม่สามารถมีข้อสรุปร่วมกันเกี่ยวกับข้อตกลงเบร็กซิต และท่าทีที่เข้มงวดของฝรั่งเศสก็ยังทำให้หลายคนมีข้อกังขาว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นไปได้หรือไม่
    ในส่วนคำทำนายซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยนักวิเคราะห์ 75% เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้น ผลปรากฏว่าถูกต้องอย่างสมบูรณ์ ราคาได้ขยับขึ้นมายังกรอบด้านบนของช่อง 1.3300-1.3400 จากนั้นก็ตัดกรอบผ่านขึ้นไปยังระดับ 1.3540 และปิดตลาดที่ 13435
    แน่นอนว่าเงินปอนด์นั้นได้ผลพลอยได้มาจากดอลลาร์ที่อ่อนค่า นอกจากนี้ ตลาดกระทิงยังได้รับแรงหนุนจากการประกาศการลงนามในสัญญาระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับบริษัท Pfizer เพื่อสั่งซื้อวัคซีน COVID-19 จำนวน 40 ล้านโดส ซึ่งอังกฤษเองจะได้รับวัคซีนจำนวน 10 ล้านโดสตั้งแต่สัปดาห์หน้านี้ ตลาดยังมีความพึงพอใจกับการยกเลิกมาตรการกักตัวบางส่วนในประเทศ และการตัดสินใจยอมให้มีผู้ชมเข้าชมในการแข่งขันฟุตบอลลีกประจำชาติบางส่วน
  • USD/JPY คำทำนายสำหรับคู่นี้ก็ปรากฏออกมาถูกต้องเช่นกัน การวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โดยผู้เชี่ยวชาญ 60% ได้คาดการณ์ว่า ราคาจะหยุดแนวโน้มขาลงและจะเคลื่อนที่ไปยังด้านข้างที่ช่วง 103.70-105.30 ในความเป็นจริง กรอบด้านข้างดังกล่าวนี้กลับแคบยิ่งกว่าอยู่ที่ 103.66-104.75 และเหตุผลที่ทำให้เกิดภาวะสมดุลระหว่างดอลลาร์และเยนก็คือความต้องการในความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และความสนใจในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินเยนญี่ปุ่นลดลง ราคาปิดตลาดท้ายสัปดาห์อย่างลงตัวในโซนตรงกลางของช่องดังกล่าวที่ระดับ 104.15
  • คริปโตเคอเรนซี บิทคอยน์ได้ขยับเข้าใกล้ระดับจิตวิทยาที่ $20,000 ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา และแม้ว่าราคาจะทำราคาสูงสุดใหม่ถึงระดับ $19,930 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ความพยายามที่จะไต่ถึงระดับสองหมื่นเหรียญดอลลาร์กลับจบลงด้วยการเก็บกินกำไรและราคาย้อนกลับลงมา
    ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมองว่า นอกจากคำสั่งสต็อปที่มีผลแล้ว ยังมีเหตุผลทางการเมืองที่บังคับให้เกิดภาวะตลาดแบบนิ่งสงบ ในมุมมองหนึ่งชี้ว่า การปรับฐานของราคาบิทคอยน์เมื่อช่วงวันที่ 25-26 พฤศจิกายน จาก $19,480 ลงมาที่ $16,280 ซึ่งมีโอกาสมากมายที่ราคาจะดิ่งลงอย่างพินาศนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเพิ่มความเข้มงวดต่อการหมุนเวียนของสินทรัพย์ดิจิทัล รัฐบาลทรัมป์ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในการจดทะเบียนกระเป๋าวอลเล็ตเงินคริปโต เพื่อเป็นหนึ่งในวิธีในการกำกับดูแลธุรกรรม
    บริษัทเงินคริปโตหลายแห่งเริ่มพัฒนาวอลเล็ตเวอร์ชันใหม่ขึ้นมาแล้ว ซึ่งจะได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ก่อนเริ่มให้บริการ นายทรัมป์อาจจะพยายามต่อต้านจีนโดยการเตรียมตัวเปิดตัวเงินคริปโตเป็นของตนเอง หากเงินหยวนดิจิทัลกลายเป็นเครื่องมือระบบการชำระเงินแบบข้ามดินแดน เงินสกุลนี้จะสามารถใช้งานแทนดอลลาร์ได้ ซึ่งจะทำให้มาตรการคว่ำบาตรจีนไม่เป็นผล และวอชิงตันจะสูญเสียความสามารถในการสร้างแรงกดดันต่อปักกิ่ง
    “บิทคอยน์มีความสัมพันธ์ในทางอ้อมต่อทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น” กล่าวโดย มาร์ค อุสโค ประธานบริษัทการลงทุน Morgan Creek “แม้แต่คำแถลงแรกโดยผู้แทนรัฐบาลอเมริกันเกี่ยวกับความต้องการที่จะควบคุมอุตสาหกรรมนี้ก็ทำให้ราคาทรุดลงมาหลายพันดอลลาร์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น”
    หลังจากราคาดิ่งลงมาครั้งดังกล่าว บิทคอยน์ก็กลับขึ้นมาที่ $19,000 อย่างรวดเร็ว รวมถึงมูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตก็ฟื้นตัวขึ้นเช่นกัน จากระดับสูงสุดที่ $582 พันล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนและก็ลงมาที่ $500 พันล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน และตอนนี้เจ็ดวันถัดมา มูลค่ารวมของวันที่ 4 ธันวาคมอยู่ที่ $575 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    ตามรายงานของบริษัทการวิเคราะห์ Glassnode และ BitInfoCharts ชี้ว่า จำนวนที่อยู่ที่มีบิทคอยน์อยู่มากกว่าหนึ่งเหรียญนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงกว่า 820,000 วอลเล็ตในขณะนี้ วอลเล็ตเหล่านี้บรรจุเงินบิทคอยน์ 95% ของปริมาณ BTC ในตลาด โดยรวมแล้วมีที่อยู่กว่า 32.6 ล้านวอลเล็ตที่มียอดเงินคงเหลือไม่เป็นศูนย์ในโลก
    แม้ว่าความเคลื่อนไหวจะดูเป็นไปในทางบวก การปรับราคาลง 16.4% ของบิทคอยน์เมื่อวันที่ 25-26 พฤศจิกายน ชี้ถึงความไม่แน่นอนของสถานะในปัจจุบัน ทั้งนักลงทุนและนักเทรดต่างเข้าใจสิ่งนี้ และพวกเขาพร้อมที่จะเริ่มปิดคำสั่ังซื้อรอบใหญ่ได้ทุกขณะ ดัชนี Bitcoin's Crypto Fear & Greed Index ขยับขึ้นจาก 86 เป็น 92 ในเวลาเจ็ดวัน แสดงให้เห็นว่า เหรียญที่มีแรงซื้อมากเกินไปนั้นเริ่มแย่ลง แปลว่า ราคาอาจมีการปรับฐานครั้งใหญ่อีกรอบ ในระหว่างนี้ ราคาได้เลือกระดับ $19,000 เป็นจุด Pivot Point ซึ่งราคาได้เคลื่อนที่ตามแนวดังกล่าวมาตลอดทั้งสัปดาห์
    สำหรับอัลท์คอยน์นั้นมีทั้งราคาขึ้นและลงตามบิทคอยน์ แม้ว่ามูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตจะเพิ่มขึ้น บิทคอยน์ยังคงคุมส่วนแบ่งในตลาดอย่างไม่เปลี่ยนแปลงที่ 62.44% (62.33% เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า) ส่วนตัวบ่งชี้ของอัลท์คอยน์ 10 อันดับแรกก็แทบไม่เปลี่ยนเลยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เราอาจไฮไลท์ Ripple (XRP/USD) ได้ โดยส่วนแบ่งในตลาดเพิ่มขึ้น 1.8 เท่าในช่วงหนึ่งเดือน จาก 2.69% เป็น 4.89% เพราะ Flare Networks จะเริ่มเพิ่มเหรียญในวันที่ 12 ธันวาคมของที่อยู่ XRP Ledger ทั้งหมด ทำให้ผู้ถือ Ripple แต่ละคนจะได้รับเหรียญฟรีในอัตราส่วน 1:1 สะท้อนให้เห็นความนิยมในเหรียญนี้ และการเติบโตของราคาเช่นกัน หลังจากราคาเคยชะงักตัวในช่วง $ 0.24 มาอย่างยาวนานก่อนที่จะขึ้นมาที่ $ 0.77 เป็นระดับสูงสุดของรอบสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และตอนนี้ราคาอยู่ที่ $0.60 ณ เวลาที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ยิ่งราคาคู่นี้ปรับสูงขึ้นก็จะยิ่งมีนักเก็งกำไรรายใหญ่อยากที่จะเก็บกำไรกันมากขึ้น นอกจากนี้ ช่วงเวลาสิ้นปีเริ่มใกล้เข้ามา และถึงเวลาที่จะเริ่มเก็บหุ้นกันบ้างแล้ว และดอลลาร์จะอ่อนค่าลงต่อไปได้ ความต้องการในความเสี่ยงจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดก็อาจจะสูญเสียสิ่งนี้ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ เริ่มขยับด้านข้างมาตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน แต่เสถียรภาพนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่หมิ่นเหม่จะทรุดตัวลงได้อย่างรวดเร็ว โดยจะส่งผลให้นักลงทุนถอนตัวออกจากตลาดหุ้นเพื่อเข้าหาเงินดอลลาร์
    การประเมินแนวโน้มในแง่ดีเรื่องวัคซีน COVID-19 อาจนำไปสู่สถานการณ์นี้ และเหตุผลก็คือ บริษัท Pfizer ได้รายงานแล้วเกี่ยวกับปัญหาปริมาณวัคซีน โดยปริมาณการผลิตวัคซีนในปี 2020 จะลดลงครึ่งหนึ่งจาก 100 ล้านโดสเหลือ 50 ล้านโดส นอกจากนี้ ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นก็อาจส่งผลสะเทือนต่อตลาดหุ้นได้เช่นกัน และคุณก็ไม่อาจรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในปีนี้อันเต็มไปด้วยข่าวเซอร์ไพรส์มากมาย!
    ในวันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม จะมีการประชุมของคณะมนตรียุโรป และการตัดสินใจในอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป ตามมาด้วยการแถลงข่าวของผู้บริหารธนาคารฯ แต่เหตุการณ์ที่น่าสนใจกว่าคือการประชุมของธนาคารเฟดในวันที่ 16 ธันวาคมนี้
    ณ ขณะนี้ การวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 อินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% และออสซิลเลเตอร์ 75% บนกรอบ H4 และ D1 ให้สัญญาณสีเขียว อย่างไรก็ตาม ออสซิลเลเตอร์ 25% ที่เหลือให้สัญญาณชัดเจนแล้วว่า ราคาอยู่ในภาวะ overbought โดยคาดว่าจะปรับลงมาที่โซน 1.1850-1.1950 ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ (65%) และได้รับการสนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โดยมีแนวรับที่ใกล้ที่สุดคือ 1.2000 และระดับแนวต้าน ได้แก่ 1.2175, 1.2200, 1.2260 และ 1.2320

  • GBP/USD ระดับสำคัญของคู่นี้ คือ 1.3500 ซึ่งเป็นราคาที่ได้ขยับถึงเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ด้านการวิเคราะห์กราฟ อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ 85% บนกรอบ H4 และ D1 ทำนายการเคลื่อนที่ในอนาคตว่าจะไปทิศเหนือ ระดับแนวต้าน คือ 1.3625 และ 1.3725 อย่างไรก็ตาม มีนักวิเคราะห์เพียง 40% ที่เห็นด้วยกับสถานการณ์นี้ อีก 60% ที่เหลือเชื่อว่า ราคาคู่นี้จะขยับลงทิศใต้ตามมาด้วย EUR/USD นอกจากนี้ หากการเจรจาเบร็กซิตยังไม่ได้ข้อสรุป แนวโน้มขาลงอาจจบลงด้วยภาวะทรุดตัวอย่างหนัก แต่ถ้าได้ข้อสรุปเกี่ยวกับข้อตกลง ก็คาดว่าน่าจะเป็นข้อตกลงที่มีลักษณะทางการและมีข้อจำกัดอยู่ จึงยากที่จะทำให้แฟน ๆ เงินปอนด์อังกฤษประทับใจ ทั้งนี้ ระดับแนวรับ ได้แก่ 1.3400, 1.3285, 1.3175 โดยเป้าหมายต่ำสุดของตลาดหมีในเดือนธันวาคมคือการกลับไปที่ระดับ 1.3000
  • USD/JPY ดอลลาร์และเยนเข้าสู่ช่วงสงบศึกชั่วคราว เพราะความต้องการในความเสี่ยงที่สูงขึ้น และราคาได้ขยับเข้าสู่เทรนด์ด้านข้าง อย่างไรก็ตาม ราคาไม่เคยเคลื่อนที่ออกกรอบระยะกลางที่ราคาขยับลงทิศใต้อย่างราบรื่นมาตลอดตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 เชื่อว่า เทรนด์ขาลงดังกล่าวนี้จะดำเนินต่อไป โดยอาจจะเป็นการเคลื่อนที่ด้านข้างโดยมีตลาดหมีปกคลุม แนวต้านสำคัญคือระดับ 104.50 ซึ่งราคาจะถูกดีดกลับมาและลงมาในตอนแรก 100 จุด จากนั้นก็จะขยับต่ำลงมายังระดับราคาวันที่ 9 พฤศจิกายนที่โซน 103.15
    มุมมองทางเลือกเป็นของนักวิเคราะห์ 30% ที่คาดการณ์ว่า ราคาคู่นี้ในตอนต้นจะขยับขึ้นไปที่กรอบด้านบนของช่องด้านข้างรอบสองสัปดาห์ที่ 104.75 และจากนั้นจะพยายามแข็งตัวอยู่เหนือระดับ 105.00 โดยมีเป้าหมายตลาดกระทิงถัดไปคือ 105.65
  • คริปโตเคอเรนซี ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าแนวโน้มขาลงของบิทคอยน์เมื่อวันที่ 25-26 พฤศจิกายนที่ 16.4% นั้นเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวของรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตาม หากทีมงานของประธานาธิบดีคนปัจจุบันทำงานเป็นอุปสรรคต่อพัฒนาการของตลาดเงินคริปโต ทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อรัฐบาลของนายโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งในทำเนียบขาว นายไนอัลล์ เฟอร์กูสัน อดีตศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย Harvard และ Oxford และขณะนี้เป็นอาจารย์อาวุโสที่ Stanford เชื่อว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีคนใหม่จะให้ความสำคัญกับการบูรณาการบิทคอยน์เข้าในระบบการเงินของสหรัฐฯ แทนที่การสร้างดอลลาร์ดิจิทัลเพื่อเดินตามตัวอย่างของจีน
    ในบทความฉบับใหม่ นักประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจชื่อดังของโลกคนนี้มองว่าดอลลาร์สหรัฐ ทองคำ และบิทคอยน์ คือ การปฏิวัติทางการเงินที่เร่งตัวขึ้นจากเหตุการณ์โรค COVID-19 เมื่อเทียบกับการแพร่ระบาดในศตวรรษที่ 14 เขาชี้ว่า สถานการณ์โรคระบาดเร่งตัวให้ทองคำดิจิทัลปฏิวัติตนเองเร็วขึ้นจากสิบปีในเวลาเพียงสิบเดือนเท่านั้น และนี่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะธนาคารปิดตัวลง แต่เป็นเพราะการกำกับดูแลทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น
    นายไมค์ โนโวกราตซ์ ประธานธนาคารซื้อขายเงินคริปโต Galaxy Digital มองว่า ทุกคนควรจะลงทุน 2-3% ในบิทคอยน์ “หลังจากนั้นก็ควรรอเวลาเล็กน้อย และคุณจะต้องประหลาดใจ แต่เงินคริปโตจะมีราคาสูงกว่านี้อีกมาก หากคุณรอห้าปี สินทรัพย์นี้จะทวีคูณหลายเท่าตัว” ตามความเห็นของเขา ความผันผวนของบิทคอยน์ในอนาคตอันใกล้อาจเพิ่มขึ้น แต่ก็ยากที่ราคาจะดิ่งลงมาต่ำกว่า $12,000 และแม้แต่การปรับฐานราคามาที่ระดับดังกล่าวนั้นก็น่าจะเกิดขึ้นได้ยาก ผู้เชี่ยวชาญจาก Stack Funds มองว่าการปรับฐานของวันที่ 25-26 พฤศจิกายน นั้น “เป็นเรื่องดี” และยังจะช่วยเตรียมความพร้อมให้บิทคอยน์ขึ้นทะยานไปสู่ระดับใหม่ที่ $86,000
    นายรอล พาล ประธานบริหาร Global Macro Investor คาดการณ์ว่า แม้แต่นักลงทุนรายสถาบันที่มีความอนุรักษ์นิยมสูงซึ่งปกติจะชื่นชอบโลหะมีค่ามากกว่า ก็จะเริ่มหันมาลงทุนในบิทคอยน์ในปีหน้านี้ ดังนั้น นายพาลจึงมีข้อสันนิษฐานอย่างกล้าหาญว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบิทคอยน์อาจขยับถึง $250,000 ในเวลาหนึ่งปี และส่งคำสั่งขายทองคำทั้งหมดเพื่อนำมาลงทุนใน BTC และ ETH ในอัตราส่วน 80 ต่อ 20
    คำทำนายที่สร้างแรงบันดาลใจมากยิ่งกว่าเป็นของ นายไทเลอร์ วิงเคิลโวส ผู้ก่อตั้งตลาดเงินคริปโต Gemini เป็นหนึ่งในฝาแฝดชายที่เรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีเงินล้านบิทคอยน์ กล่าวให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่า มูลค่าบิทคอยน์อาจขึ้นไปถึง $500k เขาเรียกราคา ณ ปัจจุบันว่าเป็น “โอกาสที่จะซื้อ” เพราะราคาอาจขยับขึ้นไปอีก 25 เท่าในอนาคต “บิทคอยน์จะแซงหน้าทองคำ หากสิ่งนี้เกิดขึ้น มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตจะขึ้นไปเกิน $9 ล้านล้านดอลลาร์” คาดการณ์โดยนายไทเลอร์ วิงเคิลโวส
    ในระหว่างนี้ โอกาสความเป็นไปได้ที่ BTC/USD จะยืนเหนือระดับ $20,000 ภายในปลายเดือนนี้ประมาณการอยู่ที่ 30% โดยมีโอกาสที่ราคาจะลงมายังโซน $15,000-15,700 ที่ 30% เช่นเดียวกัน

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา