อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัวอย่างเข้มแข้ง ดัชนี S&P500 ทำระดับสูงสุดใหม่อีกครั้ง มูลค่าสินทรัพย์อเมริกันเติบโตขึ้น ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ดอลลาร์จึงอ่อนค่าลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ตลาดโดยส่วนใหญ่ตอบสนองไม่ใช่ต่อตัวเลขจริงในช่วงสัปดาห์ครึ่งที่ผ่านมา แต่เป็นการคาดการณ์และคำสัญญาต่าง ๆ อย่างที่เคยกล่าวไปแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเติบโต แต่ประธานธนาคาเฟดสหรัฐฯ กล่าวว่า แม้ว่าสถิติตลาดแรงงานของเดือนมีนาคมจะดูน่าประทับใจ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเริ่มการพูดคุยเรื่องการจำกัดมาตรการกระตุ้นทางการคลัง นายเจอโรม พาวเวลล์ มองว่านี่ต้องอาศัยเวลาอีกหลายเดือนเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นบวก
เพื่อนร่วมงานของเขาก็เห็นด้วยกับเขา Mary Daly ประธานธนาคารเฟดสาขาซานฟรานซิสโก เน้นย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอยู่ห่างไกลจากการฟื้นตัว และธนาคารเฟดจะรอจนกว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น James Bullard ประธานธนาคารเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ก็กล่าวด้วยว่า เราไม่ควรคิดถึงการเปลี่ยนแปลงในนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ จนกว่าจะถึงช่วงสิ้นสุดของภาวะการแพร่ระบาด COVID-19
แต่อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกลับมีคำพูดที่ฟังดูน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าเกี่ยวกับเศรษฐกิจของยูโรโซน แม้ว่านางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีจะเรียกร้องให้มีการเข้มงวดเรื่องการกักตัวมากขึ้น แต่ก็มีการพูดถึงสถิติการผลิตทางอุตสาหกรรมที่ดูสดใสในประเทศ
ผลลัพธ์จากการประลองทางวาจาระหว่างกันนี้ ฝั่งที่ดูได้เปรียบเป็นของยูโร ราคา EUR/USD ขยับขึ้นตามที่คาดการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนมาก โดยขึ้นไปที่ 1.1930 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน ตามมาด้วยการปรับฐานและปิดที่ 1.1900 - GBP/USD ปัญหาหลังจากการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากอียู การขาดดุลการค้าเป็นอย่างมาก และการขาดดุลงบประมาณประเทศยังคงส่งแรงกดดันต่อเงินปอนด์ และแม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลงเทียบกับค่าเงินสกุลอื่น ๆ แต่ก็ไม่ยอมให้คู่ GBP/USD กลับสู่ขาขึ้น เราเห็นได้จากค่าเงินปอนด์อังกฤษค่อย ๆ เสียศูนย์เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ โดยในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาขยับขึ้นมาได้แค่เพียง 1.3920 ตามมาด้วยการกลับทิศทาง และก็เป็นไปตามการวิเคราะห์กราฟ ราคาได้ปรับลงมายังระดับ 1.3670 และปิดตลาดสุดท้ายที่บริเวณ 1.3710
- USD/JPY เราเคยเขียนไว้แล้วหลายครั้งว่าอัตราแลกเปลี่ยนคู่นี้ได้รับอิทธิพลอย่างยิ่งจากผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ การผันผวนในผลตอบแทนสินทรัพย์เหล่านี้ทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเล็ก้นอยและฟื้นขึ้นมา 165 จุดจากดอลลาร์ในช่วงสี่วันทำการแรกของสัปดาห์ โดยราคาปรับลงไปที่ 109.00 อย่างไรก็ตาม กำลังของฝั่งตลาดหมีก็อ่อนล้าลง และราคาปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ระดับ 109.65
- คริปโตเคอเรนซี ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) ได้ให้การคาดการณ์ในทางลบสำหรับคู่ BTC/USD ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยคาดว่าราคาจะขยับไปยัง $50,000 แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นจริง และบิทคอยน์ดิ่งลงมายัง $55,540 เมื่อวันพุธ ทำให้เราพูดถึงภาวะการเริ่มต้นของ “crypto freezes” รอบใหม่ โชคดีที่สำหรับนักลงทุนแล้ว ภาวะหวาดวิตกนั้นยังเร็วเกินไปและราคาได้กลับสู่โซน $58,000 เมื่อวันศุกร์ อย่างไรก็ตาม คำถามว่าทำไมบิทคอยน์ถึงยืนเหนือระดับ $60,000 ไม่สำเร็จนั้นยังไม่ได้รับคำตอบ
หนึ่งในคำอธิบายคือความต้องการจากนักลงทุนรายสถาบันขนาดใหญ่ที่ลดลง แต่เราเห็นได้ถึงความชัดเจนจากตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตว่า เหล่า “ปลาวาฬ” ยังคงถอนเงินคริปโตเพื่อเก็บเข้าสู่กระเป๋าเงินเย็นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น พวกเขาจึงคาดการณว่าการเติบโตนั้นน่าจะมีผลต่อไป
ท่าทีของนักขุดเหรียญก็ยังชี้ถึงภาวะตลาดกระทิง พวกเขาปรับมากักตุนเหรียญในเดือนเมษายนจนทำให้เกิดภาวะขาดแคลนในตลาด การเคลื่อนที่ของเงินคริปโตจากนักขุดเหรียญไปยังตลาดแลกเปลี่ยนนั้นลดลงเกือบ 40% จาก 450 บิทคอยน์ต่อวันในเดือนมีนาคม เหลือ 275 เหรียญต่อวันในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน ภาวะการขาดแคลนเหรียญดังกล่าวอาจช่วยดันราคาขึ้นไป ทั้งนี้ อย่าลืมว่าราคา BTC/USD ขยับขึ้นจาก $19,000 เป็น $30,000 ในสถานการณ์ที่คล้ายกันในช่วงเวลาก่อนหน้า
ในระหว่างนี้ ในขณะที่บิทคอยน์ไม่สามารถทำระดับ $60,000 ได้สำเร็จ มูลค่ารวมในตลาดก็ไม่สูงเกิน $2 ล้านล้านดอลลาร์เช่นกัน เมื่อไรที่เข้าใกล้ระดับดังกล่าวก็จะออกห่าง ในขณะที่กำลังเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในวันศุกร์ที่ 9 เมษายน มูลค่าตลาดได้เข้ามาใกล้กับระดับจิตวิทยาอีกครั้งที่ $1.99 พันล้านดอลลาร์ สำหรับดัชนี Crypto Fear & Greed Index มูลค่าเปลี่ยนไปเพียง 4 จุด ในช่วงสัปดาห์ โดยปรับลงมาจาก 74 เหลือ 70
ทั้งนี้ ควรเน้นว่าสัดส่วนของบิทคอยน์ในมูลค่าตลาดคริปโตรวมทั้งหมดแล้วค่อย ๆ ลดลง สัดส่วนของบิทคอยน์เคยอยู่ที่ 62% เมื่อวันที่ 14 มีนาคม และเหลือเพียง 55% ในวันที่ 9 เมษายน นี่แน่นอนว่าเป็นผลมาจากการขาดแคลนแนวโน้มราคาที่เป็นบวกของ BTC/USD นักเก็งกำไรเริ่มหันไปหาสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ได้กำไรงามมากกว่าในขณะนี้ และในที่นี้เราอาจพูดถึง Ripple
ตอนที่ Ripple ลงมาถึง $0.170 ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2020 เนื่องด้วยข้อกล่าวหาของคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (SEC) หลายคนยอมแพ้กับเหรียญนี้ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 เมษายน ราคาทำระดับสูงสุดถึง $1.108 โดยเพิ่มขึ้นมาถึง 550% ตั้งแต่ต้นปี มูลค่ารวมในตลาดก็เติบโตด้วยเช่นกัน จาก 1.40% เป็น 2.42% เหตุผลที่ทำให้ราคาทะยานขึ้นโดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่แล้วก็คือข่าวว่าทนายความของ Ripple สามารถเข้าถึงเอกสารของ SEC และกำลังมีความคืบหน้าจริงจังในการต่อสู้คดีกับหน่วยงานผู้มีอิทธิพลดังกล่าว
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD อย่างที่กล่าวไปแล้วในช่วงแรกของบทวิเคราะห์ คำแถลงของผู้บริหารธนาคารเฟดชี้ว่า การเติบโตของตลาดหุ้นและผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ลดลงนั้นเป็นปัจจัยที่สำคัญ แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา การอ่อนค่าลงของดอลลาร์ก็เช่นกัน ในจุด ๆ หนึ่ง ทุกอย่างอาจหันกลับ 180 องศา ยิ่งดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น ทั้ง Nasdaq, Dow Jones, S&P500 คนก็ยิ่งพูดถึงภาวะ “ฟองสบู่” ที่ใกล้จะแตก นักลงทุนยืมเงิน $814 พันล้านดอลลาร์เป็นสถิติสูงสุดภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 และเงินจำนวนนี้ก็มากกว่าของปีที่แล้วกว่า 49% สถานการณ์เดียวกันส่งผลให้ตลาดหุ้นทรุดตัวและเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008
แต่จนกว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ความน่าดึงดูดของดอลลาร์ยังคงลดลงต่อเนื่อง จึงส่งผลดีต่อสกุลเงินของประเทศรายได้ต่ำ และอันดับแรกเลยก็คือ ยูโร ดอลลาร์ไม่ได้ประโยชน์จากการเผชิญหน้าระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิคกันในวุฒิสภาสหรัฐฯ เกี่ยวกับปริมาณการกระตุ้นทางการคลังในอนาคตด้วยเช่นกัน
แน่นอนเราจะพบกับทางออกต่อปัญหาทางการเมืองนี้ในที่สุด และเราก็จะได้เห็นความมชัดเจนเกี่ยวกับผลลัพธ์การฉีดวัคซีนและอัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซน แต่ตามการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ 65% มองว่า EUR/USD จะยังคงเติบโตต่อไปในสัปดาห์หน้านี้ แนวโน้มนี้ได้รับการสนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 75% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 85% บนกรอบ H4 ความได้เปรียบของฝั่ง “สีเขียว” อ่อนแอกว่ามากในกรอบ D1 ซึ่งในที่นี้มีอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค 65% เท่านั้นที่ชี้ว่าราคาจะขยับขึ้นไป ในขณะเดียวกัน ออสซิลเลเตอร์ 15% ให้สัญญาณเป็นสีเทากลาง และ 20% ให้สัญญาณแล้วว่าราคาอยู่ในโซน overbought
สำหรับการวิเคราะห์กราฟ เราจะได้ภาพการเคลื่อนที่ในกรอบ 1.1835-1.1950 ในกรอบเวลา H4 ในส่วน D1 จะได้กรอบที่กว้างกว่า โดยอันดับแรก ราคาจะขยับลงไปยังด้านล่างของกรอบที่โซน 1.1700 และจากนั้นจะขึ้นมายัง 1.2000 ทั้งนี้ เมื่อปรับมาเป็นการวิเคราะห์จากรายสัปดาห์เป็นรายเดือน นักวิเคราะห์ 55% โหวตให้ราคาคู่นี้ขยับลดลงไปยังแนวระดับที่ 1.1700
สำหรับเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราควรให้ความสนใจกับอินดิเคเตอร์ระดับเงินเฟ้อ และสถิติตลาดผู้บริโภคของสหรัฐฯ (จะประกาศในวันที่ 13, 15 และ 16 เมษายน) ยูโรโซน (12 เมษายน) และเยอรมนี (15 เมษายน) นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่น่าสนใจยังมีถ้อยแถลงของ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 14 เมษายน
- GBP/USD ในขณะนี้ ความได้เปรียบของคู่นี้อยู่ที่ฝั่งตลาดหมีโดยสมบูรณ์ ออสซิลเลเตอร์ 85% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ H4 ให้สัญญาณสีแดง ในกรอบ D1 มี 85% และ 80% ตามลำดับ รวมถึง 65% ของนักวิเคราะห์ที่โหวตว่าราคาคู่นี้จะปรับลดลงต่อไป แนวรับที่ใกล้ที่สุดคือ 1.3670 ส่วนเป้าหมายคือการปรับตัวไปที่โซน 1.3575-1.3610 ส่วนการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 ยังชี้ว่าราคาจะยังคงเทรนด์ขาลงต่อไป แต่การวิเคราะห์นี้ชี้ว่า ราคาอาจขยับขึ้นมายังแนวต้านที่ 1.3900 ก่อนที่จะหันลงทิศใต้
แม้ว่าการเทขายเงินปอนด์จะยังคงไม่หยุดหย่อน นักวิเคราะห์หลายคนเน้นย้ำว่า เทรนด์ขาขึ้นระยะยาวซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2020 ยังไม่ได้รับผลกระทบ และแนวโน้มขาลงในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาอาจถือว่าเป็นการปรับฐานเท่านั้น หลังจากนั้นเงินปอนด์อาจแข็งค่าขึ้นต่อไป เงินปอนด์จะกลับมาเป็นที่สนใจโดยเฉพาะหากเงินทุนขนาดใหญ่ที่ไหลออกจากประเทศเนื่องด้วยเบร็กซิตเริ่มกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง เงินปอนด์ยังได้รับแรงหนุนจากความสำเร็จของการฉีดวัคซีน COVID-19 ระยะต้น ในกรณีนี้ ผู้เชี่ยวชาญ 70% ชี้ว่า GBP/USD มีโอกาสมากที่จะเสียหลักและกลับมาสู่โซน 1.4000 ในช่วงแรก และอาจจะทดสอบระดับสูงสุดของวันที่ 24 กุมภาพันธ์อีกครั้งที่ 1.4240 ก่อนปลายฤดูใบไม้ผลินี้ - USD/JPY เดิมในช่วงต้นเดือนมีนาคม ปริมาณการซื้อสัญญาฟิวเจอร์สสำหรับเงินเยนมากกว่าคำสั่งขาย แต่อัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่รวดเร็วเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ตามรายงานของคณะกรรมการการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สสินค้าโภคภัณฑ์ (CFTC) จำนวนสัญญาณระยะสั้นของเงินเยนญี่ปุ่นเริ่มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงกลางเดือนมีนาคม โดยถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2019
ในขณะนี้ แม้ว่าจะมีความสับสนในการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (65%) เห็นด้วยกับการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 โดยคาดว่าเงินเยนจะอ่อนค่าต่อไป และทำให้คู่ USD/JPY กลับมาสู่ระดับ 111.00 ในตอนต้น และจากนั้นจะขยับขึ้นไปอีก 100 จุดที่ 112.00
นักวิเคราะห์ 35% ที่เหลือชี้ไปทางทิศใต้ โดยคาดว่าจะได้เห็นราคาทดสอบแนวรับที่ 108.40 นอกจากนี้ เมื่อปรับมาเป็นการวิเคราะห์รายเดือน จำนวนผู้สนับสนุนตลาดหมีเพิ่มขึ้นเป็น 60% และแม้แต่เป้าหมายก็เปลี่ยนมาเป็น 105.00-106.20
สำหรับเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราอาจเน้นถึงถ้อยแถลงของ นายฮารุกิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น ในวันพุธที่ 14 เมษายน จากนั้นตลาดจะรอดูสัญญาณเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางฯ ในอนาคตอันใกล้ เดิมธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นนั้นไม่สามารถตัดสินว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น และจะทำอย่างไรกับของประเทศตนเอง หากพันธบัตรรัฐบาลรอบ 10 ปี และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง และธนาคารกลางฯ ไม่ดำเนินการใด ๆ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเงินเยน ซึ่งอ่อนค่าลงมามากอยู่แล้วกว่า 700 จุด เทียบกับดอลลาร์ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา - คริปโตเคอเรนซี ข่าวเบื้องหลังในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ค่อนข้างมีรอบด้าน โดย Morgan Stanley ธนาคารเพื่อการลงทุนได้ยื่นเรื่องกับกลต. ของสหรัฐฯ (SEC) เพื่อให้กองทุน 12 กองทุนของธนาคารฯ สามารถลงทุนใน BTC ได้ แต่ละกองทุนในเอกสารคำขอนั้นจะสามารถวางเงินสูงสุด 25% ในบิทคอยน์ และนี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับนักลงทุน
ในอีกด้านหนึ่ง Peter Thiel เศรษฐีพันล้านและผู้ก่อตั้ง PayPal จู่ ๆ ก็ได้ออกมาประกาศว่า บิทคอยน์กลายเป็นเครื่องมือของนโยบายจีนและกำลังส่งผลกระทบต่อดอลลาร์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ Peter Thiel จึงเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ควรใส่ใจเรื่องการกำกับดูแลบิทคอยน์ ก่อนหน้านี้ ชายคนนี้เคยสนับสนุนบิทคอยน์ และเราต้องทำความเข้าใจว่าอะไรทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไปได้ และหากมีความเปลี่ยนแปลงในทำเนียบขาวขึ้นมา นี่จะเป็นสัญญาณในทางลบอย่างยิ่งต่อตลาดคริปโตเคอเรนซี
สำหรับการวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญของธนาคารขนาดใหญ่อีกหนึ่งแห่ง JPMorgan ตั้งเป้าหมายระยะยาวสำหรับบิทคอยน์ไว้ที่ $130.000 โดยปรับลดจากระดับที่ $146,000 เนื่องด้วยราคาทองคำที่ลดต่ำลง นักวิเคราะห์ทำนายราคาดังกล่าวจากการคำนวณมูลค่าบิทคอยน์ตามราคาตลาด ในกรณีที่มีเงินไหลเข้ามาจากตลาดโลหะมีค่า
โดยทั่วไป ประเด็นเรื่องการเปรียบเทียบบิทคอยน์กับทองคำ ซึ่งมองว่าเงินคริปโตกำลังกลายเป็นทางเลือกแบบดิจิทัลนั้น เราเริ่มได้ยินกันบ่อยครั้งมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญฝั่งตลาดกระทิงของบิทคอยน์หลายคนกล่าวว่า BTC จะสามารถแซงหน้าทองคำได้ในเรื่องมูลค่ารวมในตลาดในอนาคต ในกรณีนี้ มูลค่าของบิทคอยน์ทั้งหมดคาดว่าจะเติบโตขึ้น 10 เท่า และทำมูลค่ารวมในตลาดเกิน $11 ล้านล้านดอลลาร์ และนักวิเคราะห์ที่ Ark Invest เชื่อว่านี่จะเกิดขึ้นได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า “เราเชื่อว่าบิทคอยน์ดีกว่าทองคำและมันปลอดภัยที่จะกล่าวว่า บิทคอยน์จะกินส่วนแบ่งตลาดทองคำหรืออาจจะมากกว่านั้น”
Mike Novogratz เศรษฐีพันล้านและผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารคริปโต Galaxy Digital เห็นด้วยกับการคาดการณ์ของ Ark Invest เขาระบุไว้ในคอมเมนต์ของ CNBC ว่า เขารู้สึกประหลาดใจกับอัตราการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล นักลงทุนยังยอมรับในการคาดการณ์ครั้งก่อนของเขาด้วยว่า ตัวเลขการคาดการณ์เดิมที่ $60,000 นั้นยังน้อยเกินไป “บิทคอยน์อยู่บนเส้นทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะขยับถึงและแซงหน้าตลาดทองคำ” กล่าวโดย Novogratz
การคาดการณ์ที่ค่อนข้างพุ่งทะยานไปถึงอวกาศนั้นเป็นของนักลงทุนและเจ้าของหนังสือเรื่อง “Rich Dad, Poor Dad” นาย Robert Kiyosaki เขาชี้แนะในบทสัมภาษณ์ล่าสุดว่า บิทคอยน์อาจไปถึงมูลค่าที่ $1.2 ล้านดอลลาร์ในอีกห้าปีข้างหน้า เขาเองซื้อบิทคอยน์เมื่อปีที่แล้วหลังจากการแพร่ระบาดกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ตอนนั้นราคาซื้อขายอยู่ที่ $9,000 “ผมหวังว่าน่าจะได้ซื้อตั้งแต่ราคาอยู่ที่ 10 เซนต์เหมือนใครหลาย ๆ คน แต่ผมก็ยังดูเป็นคนอัจฉริยะ เพราะว่าวันนี้ราคามันอยู่ที่ประมาณ $55,000 ผมคิดว่าอีกห้าปีข้างหน้า ราคาจะเติบโตเป็น $1.2 ล้านดอลลาร์” เขาประกาศ
ในเวลาเดียวกัน แม้ว่านาย Kiyosaki จะคิดในทางตรงกันข้ามกับ Peter Thiel และกลายเป็นผู้ปกป้องบิทคอยน์ แต่เขายังคงชื่นชอบการลงทุนหลักในทองคำและเงินมากกว่า โดยอธิบายข้อเท็จจริงว่าคริปโตนั้นยังคงอยู่นอกการกำกับดูแลอยู่
สุดท้ายมาถึงท้ายบทวิเคราะห์ เป็นเกร็ด life hack คริปโตอีกเรื่องหนึ่ง ในครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการทำเงินโดยไม่ต้อง “ขุดเหรียญ” ไม่ต้องซื้อหรือขายคริปโต อย่างน้อยมันก็อาจจะเพียงพอที่จะคาดเดาอนาคตและลงทะเบียนที่อยู่โดเมนอินเทอร์เน็ตที่ดูมีอนาคตและเป็นเศรษฐีได้ โดยใน GoDaddy มีการวางราคาโดเมน Bitcoin.com ของ Roger Ver เป็นราคาขายไว้ที่ $100 ล้านดอลลาร์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้ อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ปรากฏว่าการขายดังกล่าวนั้นเป็น “ของปลอม 100%” เจ้าของประกาศว่าข่าวนี้เป็นข่าวปลอมและเรียกร้องให้ยกเลิกการขายโดเมนดังกล่าว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถทำเงินมหาศาลได้จากการจดทะเบียนที่อยู่โดเมนอื่น ๆ เพราะเรายังมีคริปโตที่น่าสนใจอีกมากมายบนโลกนอกเหนือไปจากบิทคอยน์
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ