บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 10 - 14 พฤษภาคม 2021

อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD มีการพูดถึงมาอย่างยาวนานและมากมายเกี่ยวกับประเด็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและดีงามมากแค่ไหน แต่ นายเจอโรม พาวเวลวล์ ประธานธนาคารเฟด ออกมาเตือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ทุกอย่างยังคงดูเปราะบาง และภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวเป็นปัจจัยชั่วคราว แน่นอนว่าเขารู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และในตอนนี้ทุกคนก็รู้ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ทุกอย่างจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
    ดัชนีเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ จำนวนมากที่ประกาศออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้ผลลัพธ์เป็นสีแดง ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของ ISM ในภาคการผลิตอยู่ที่ 60.7 แทนที่ 65.0 จากที่คาดการณ์ รายงาน ADP ด้านอัตราการว่างงานในภาคเอกชนอยู่ที่ 742K แทนที่การคาดการณ์ที่ 800K ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในภาคบริการของ ISM ตัวเลขอยู่ที่ 62.7 จากที่คาดการณ์ 64.3 และนี่เป็นหายนะโดยสมบูรณ์ ประกอบกับดัชนีที่สำคัญอย่างจำนวนตำแหน่งงานนอกภาคการเกษตร (NFP) ที่เดิมอยู่ที่ 770K ในเดือนมีนาคม และคาดการณ์ตัวเลขที่ 978K ในเดือนเมษายน แต่ตัวเลขจริงเพียง 266K เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้กว่า 3.7 เท่า
    แน่นอนว่า นักลงทุนมีเวลามากในการฉวยโอกาสทำเงินจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตอนนี้ดูเหมือนว่าจังหวะดังกล่าวกลับมาเป็นของฝั่งภูมิภาคอื่นแทน และในอันดับแรกก็คือสหภาพยุโรป
    นอกเหนือไปจากปัจจัยการฉีดวัคซีนไวรัสโคโรนาในยุโรปที่เริ่มมีการแจกจ่ายอย่างทั่วถึงมากขึ้นแล้ว สมาชิกประเทศอียูยังค่อย ๆ ยกเลิกมาตรการกักตัว และเศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แตกต่างไปจากสหรัฐฯ ดัชนียอดขายปลีกในยูโรโซนแสดงแนวโน้มการเติบโตที่ดูดี จาก -1.5% ในเดือนมีนาคม เป็น +12.0% ในเดือนเมษายน ซึ่งต่างจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 9.6%
    ปัจจัยข้างต้นนี้ส่งผลเป็นแรงกดดันสำคัญต่อดอลลาร์และทำให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้คำทำนายของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (60%) เป็นจริง 100% โดย EUR/USD ขยับขึ้นและทำสถิติสูงสุดในรอบหกสัปดาห์ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม โดยขยับถึงระดับ 1.2170 ตามมาด้วยการรีบาวด์เล็กน้อยและปิดที่ 1.2165
  • GBP/USD การคาดการณ์ของคู่นี้ปรากฏว่าถูกต้องโดยสมบูรณ์ในกรณีนี้เช่นกัน ราคาคู่นี้ได้ขยับอยู่ในกรอบด้านข้างที่ 1.3670-1.4000 มาเป็นเวลา 10 สัปดาห์ และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากได้โหวตว่า เมื่อราคาดีดออกจากโซนตรงกลางของกรอบ ราคาจะขยับขึ้นและแตะกรอบด้านบน ซึ่งนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้วที่ 1.3810 ราคาไต่ขึ้นไปทำระดับ 1.4000 เมื่อวันศุกร์ และปิดตลาดไม่ไกลจากบริเวณดังกล่าวที่ 1.3990
  • USD/JPY เมื่อทำการวิเคราะห์คู่นี้ในสัปดาห์ที่แล้ว นักวิเคราะห์ 70% โหวตให้กับทิศใต้ พวกเขามองว่าราคาน่าจะขยับลงต่ำกว่าระดับ 109.00 และวางเป้า 108.40 เป็นแนวรับ และสถานการณ์นี้ก็เกิดขึ้นจริง จริงอยู่ที่ฝั่งตลาดกระทิงพยายามที่จะซ้ำรอยความสำเร็จที่เคยทำไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าเมื่อวันจันทร์ แต่แรงซื้อก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาขยับลงมาและถึงกรอบด้านล่างที่ 108.35 เมื่อวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม และปิดตลาดที่ 108.60
  • คริปโตเคอเรนซี “บิทคอยน์นั้นน่ารังเกียจและต่อต้านผลประโยชน์ของอารยธรรม” กล่าวโดย นายชาร์ลส์ มังเกอร์ เศรษฐีพันล้านอายุ 97 ปี เพื่อนของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ “แน่นอนว่าผมเกลียดความสำเร็จของบิทคอยน์ ผมไม่ต้อนรับสกุลเงินที่สร้างขึ้นมาจากอากาศเปล่า ๆ และเป็นประโยชน์สำหรับพวกลักพาตัวและพวกบิดเบือนต่าง ๆ” กล่าวเน้นโดยนายมังเกอร์
    นักลงทุนวัย 97 ปี รายนี้ ขณะนี้มีแนวโน้มที่จะไม่เป็นแค่ “ปลาฉลาม” แห่งวอลล์สตรีทเท่านั้น แต่ยังเป็น “ไดโนเสาร์” อีกด้วย สินทรัพย์เสมือนจริงเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจของโลกนี้ เพราะหลายคนเคุ้ยเคยกับการรับมือกับสินทรัพย์และหลักทรัพย์ที่มีฐานรองรับที่แท้จริงและไม่สมมติขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ยุคแห่งทองคำดิจิทัลเป็นสิ่งที่เราเริ่มได้ยินกันเกือบทุกศูนย์กลางทางการเงินบนโลกเราแล้ว แม้แต่ผู้ให้บริการข้อมูลทางการเงินของ S&P Dow Jones Indices ยังได้เปิดตัวดัชนีที่อ้างอิงราคา Bitcoin และ Ethereum ดัชนี S&P Bitcoin Index ได้รับชื่อย่อ SPBTC ส่วน S&P Ethereum Index คือ SPETH และ S&P Crypto Mega Cap Index ซึ่งติดตามอัตราการเคลื่อนที่ของสินทรัพย์สองตัวนี้คือ SPCMC
    การยอมรับคริปโตเคอเรนซีกำลังเป็นกระแสที่เติบโตขึ้นไม่ใช่แค่ในหมู่นักลงทุนสถาบันรายใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงในกลุ่มประชาชนทั่วไปอีกด้วย บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านบริการการเงินของอเมริกา Mastercard ได้นำเสนอผลลัพธ์งานวิจัยที่จัดทำขึ้นใน 18 ประเทศ ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภค 40% วางแผนที่จะใช้เงินคริปโตในการชำระเงินในปีหน้านี้ ในบรรดาคนยุคใหม่ สัดส่วนดังกล่าวยิ่งสูงขึ้นถึง 67%
    อาจดูเหมือนว่าเหตุผลประการข้างต้นทั้งหมดนี้น่าจะเป็นผลดีต่อสกุลเงินดิจิทัล แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป บิทคอยน์เริ่มจะมีความสัมพันธ์ที่เหมือนกับตลาดดั้งเดิม และหลังจากบิทคอยน์แล้ว อัลท์คอยน์ก็จะเดินตามรอยไปด้วย ดังนั้น ตลาดเงินคริปโต รวมถึงตลาดหุ้นนั้นในขณะนี้กำลังขึ้นอยู่กับนโยบายของทำเนียบขาวและธนาคารเฟดสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก และหากโครงการกระตุ้นทางการคลัง (QE) ถูกปรับลดลง กระแสเงินที่ไหลเข้าสู่ตลาดคริปโตอาจหมดลงอย่างรวดเร็ว
    แต่กว่าจะถึงเวลานั้น ในขณะนี้ มูลค่ารวมในตลาดคริปโตเคอเรนซีเริ่มแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตอย่างราบรื่น จาก $2.110 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น $2.375 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งขึ้นมากว่า 12.56% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน มูลค่ารวมในตลาดอัลท์คอยน์แสดงการเติบโตมากกว่า 20% บิทคอยน์ยังคงเสียส่วนแบ่งในตลาด ดัชนีการครองตลาดชี้ว่าบิทคอยน์เคยมีส่วนแบ่งที่ 72.65% เมื่อวันที่ 2 มกราคม และขยับถึงระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2018 ที่ 47.87% เมื่อวันที่ 30 เมษายน แต่ในขณะนี้ เวลาผ่านไปเพียงเจ็ดวัน ส่วนแบ่งดังกล่าวลดลงมาเหลือ 44.24% เท่านั้น
    ตัวเลขดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นว่า ความสนใจของนักลงทุนหลายคนกำลังมุ่งเน้นอยู่ไม่ใช่ที่บิทคอยน์ แต่เป็นอัลท์คอยน์ ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก
    คู่ BTC/USD พยายามทดสอบระดับ $60,000 อย่างไม่สำเร็จอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ขึ้นไป ราคาก็จะม้วนตัวลงกลับมา ทำให้ราคาตกลงมาต่ำกว่าระดับ $52,950 เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม แต่ Ethereum กำลังทำสถิติสูงสุดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากเริ่มกระแสความนิยมในแวดวง DeFi และการเปลี่ยนมาใช้ ETH 2.0
    ดังนั้น เหรียญนี้จึงมีราคาเพิ่มขึ้นมามากกว่า 89% ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำให้นายวิตาลิ บูเทอริน ผู้ก่อตั้งเหรียญอายุ 27 ปี กลายเป็นเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในโลก ซึ่งสร้างฐานะจากคริปโตเคอเรนซี จากรายงานของ Forbes ทรัพย์สินของ นายบูเทอริน เพิ่มพูนมากกว่า 25 เท่า ในช่วงต้นปี 2020
    Litecoin กำลังเร่งตาม Ethereum ให้ทัน เราเคยชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของเหรียญนี้ตั้งแต่ช่วงต้นปี ข้อโต้แย้งก็คือ เหรียญนี้แตกต่างจากบิทคอยน์ตรงที่ได้ทำนิวไฮไปแล้ว แต่ Litecoin นั้นยังคงอยู่ห่างไกลจาก $371 ที่เคยทำสถิติไว้เมื่อเดือนธันวาคมปี 2017 และท้ายที่สุด LTC/USD ก็มาแรงเป็นอับดับต้น ๆ ในสัปดาห์นี้ โดยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ราคาเหรียญพุ่งขึ้นมา 75% ในเวลาเพียง 10 วันที่ผ่านมา

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD เป็นอีกครั้งที่ตลาดกำลังถูกครอบงำโดยผู้ซื้อหุ้นและผู้ขายเงินดอลลาร์ อย่างที่เราเกริ่นไปบ้างแล้ว การอ่อนค่าลงของดอลลาร์ ซึ่งได้กลายเป็นสินทรัพย์หลบภัยหลักในช่วงภาวะการแพร่ระบาดนั้นได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังต่อภาวะเงินเฟ้อที่เกิน 2.4% และสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 การอัดฉีดทางการเงินครั้งใหญ่จะทำให้ GDP ของสหรัฐฯ เติบโตทำสถิติสูงสุด และเพิ่มระดับความเสี่ยงและดึงดูดให้นักลงทุนเข้าสู่ตลาดหุ้น  ดัชนี S&P500 และ Dow Jones ทำลายสถิติอีกครั้ง โดยดัชนีตัวแรกได้ขยับถึงระดับ 4,238 และตัวหลังที่ 34,732 ด้านยูโรแข็งค่าขึ้น โดยทำระดับสูงถึง 1.2170
    อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นที่เติบโตรวดเร็วเกินไป และดอลลาร์ที่อ่อนค่า อาจทำให้ธนาคารเฟดสหรัฐฯ ต้องจำกัดมาตรการกระตุ้นทางการคลังให้รวดเร็วขึ้น นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานธนาคารเฟดสาขาดัลลาส กล่าวว่า การขาดสมดุลในตลาดการเงินอาจจะทำให้มีการยกประเด็นเรื่อง การจำกัดมาตรการ QE เร็วกว่ากำหนด มิเช่นนั้นระบบการเงินสหรัฐฯ อาจตกอยู่ในภาวะตึงเครียด
    สำหรับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในอนาคตอันใกล้นี้ ผู้เชี่ยวชาญ 60% ประกอบกับการวิเคราะห์กราฟบน D1 คาดว่า EUR/USD จะมีการปรับฐานมายังแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1.2000 และในกรณีที่ราคาตัดทะลุสำเร็จ จะดิ่งลงต่อไปอีก 100 จุด โดยมีแนวรับใกล้ที่สุดคือ 1.2055
    ด้านนักวิเคราะห์ที่เหลือ 40% ประกอบกับการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 เชื่อว่า แนวโน้มขาขึ้นของคู่นี้จะยังดำเนินต่อไป เป้าหมายที่ใกล้ที่สุดคือระดับสูงสุดของเดือนกุมภาพันธ์ที่ 1.2245 เป้าหมายถัดไปคือการบรรลุเป้าที่ระดับสูงสุดของวันที่ 6 มกราคม คือ 1.2350
    การวิเคราะห์ทางเทคนิคให้ผลลัพธ์ดังนี้: อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ 75% บนกรอบ H4 และ D1 ให้สัญญาณสีเขียวในขณะที่กำลังเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ (คืนวันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม) ส่วนออสซิลเลเตอร์ 25% ที่เหลือให้สัญญาณว่าราคาอาจอยู่ในโซน overbought
    ในบรรดาเหตุการณ์ที่สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ (และมีไม่มากเท่าไรนัก) จะเป็นการประกาศข้อมูลตลาดผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 12 พฤษภาคม และวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม และการประกาศสถิติตลาดผู้บริโภคในเยอรมนีในวันที่ 12 พฤษภาคม เช่นกัน
  • GBP/USD การวิเคราะห์สำหรับคู่นี้ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้เป็นไปในทางตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับสัปดาห์ที่แล้ว หากในสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่โหวตว่าราคาจะขยับขึ้นจากบริเวณตรงกลางของกรอบ 1.3670-1.4000 ไปยังกรอบด้านบน ในสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์ 70% ประกอบกับการวิเคราะห์กราฟชี้ว่า ราคาจะกลับมาสู่โซนตรงกลางอีกครั้งที่ 1.3800 ซึ่งการตัดสินใจของธนาคารแห่งชาติอังกฤษในการคงอัตราดอกเบี้ยและปริมาณมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในที่ประชุมวันที่ 6 พฤษภาคม คาดว่าจะส่งผลต่อการทำนายนี้
    จริงอยู่ที่ธนาคารกลางฯ ได้ปรับลดปริมาณการซื้อคืนสินทรัพย์ และมีท่าทีในทางบวกต่ออัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ความต้องการในเงินปอนด์ถูกขัดขวางโดยการตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนกว่าจะปรากฏสัญญาณการฟื้นตัวของการส่งออกที่ชัดเจน และระดับเงินเฟ้อที่ 2% กรรมการคนเดียวที่โหวตให้ลดปริมาณ QE คือ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ นายแอนดริว ฮัลเดน แต่คะแนนเสียงของเขาไม่มีความหมายมาก เพราะเขาจะเกษียณอายุในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
    มีผู้เชี่ยวชาญเพียง 30% เท่านั้นที่เชื่อว่าคู่ GBP/USD จะสามารถตัดทะลุกรอบการซื้อขายรอบ 10 สัปดาห์ และขยับขึ้นเหนือ 1.400 ได้สำเร็จ ในกรณีนี้ ราคาจะเร่งตัวขยับไปที่ระดับสูงสุดของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ 1.4240 และระดับแนวต้านจะอยู่ที่ 1.4085 และ 1.4180
    สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค บทวิเคราะห์นั้นคล้ายกันมากกับของคู่ EUR/USD อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ 85% บนกรอบ H4 และ D1 ชี้ไปยังทิศเหนือ ส่วนออสซิลเลเตอร์ 15% ที่เหลือให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought
    เมื่อดูที่ปฏิทินเศรษฐกิจในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ทำให้เรานึกถึงภาพยนตร์เรื่อง "The King's Speech" ที่อุทิศให้กับกษัตริย์อังกฤษ พระเจ้าจอร์จที่ 6 แต่ในครั้งนี้จะเป็นถ้อยแถลงของประธานธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ซึ่งจะกล่าวในหลายโอกาสด้วยกัน คือ ในวันที่ 11, 12 และ 13 พฤษภาคม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่น่าจะได้ยินอะไรจากเขาที่น่าจะส่งผลต่อนักลงทุนได้อย่างจริงจัง เรื่องที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้จะเป็นดัชนี GDP ของสหราชอาณาจักร และดัชนีตลาดผู้บริโภค ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 12 พฤษภาคม

  • USD/JPY ผลการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์บนทั้งสองกรอบเวลาดูค่อนข้างน่าสับสน มีเพียงอินดิเคเตอร์เทรนด์บน H4 ที่ชี้ไปทางทิศใต้อย่างชัดเจน 85% ให้สัญญาณสีแดงในที่นี้ การวิเคราะห์กราฟแสดงถึงแนวโน้มขาลงในความผันผวนและการแข็งตัวของราคาในโซน 108.35-108.50 แต่นักวิเคราะห์ 70% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมีเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน แนวรับอยู่ที่ระดับ 108.40 และ 107.85 และเป้าหมายที่ 107.45
    ส่วน 30% ที่เหลือเห็นด้วยกับฝั่งกระทิง พวกเขาคาดว่า ราคาคู่นี้จะพยายามขยับขึ้นเหนือแนวต้านที่ 109.00 และจะพยายามยืนเหนือโซน 109.00-109.65
  • คริปโตเคอเรนซี  อย่างที่กล่าวไปแล้วในช่วงต้นของบทวิเคราะห์ฉบับนี้ นักวิเคราะห์หลายคนได้หันเหความสนใจออกจากบิทคอยน์ไปยังตลาดอัลท์คอยน์ คู่ BTC/USD ยังไม่ตัดทะลุเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และขยับขึ้นเหนือ $60,000 แต่นี่เป็นก้าวแรกของฤดูหนาวคริปโตรอบใหม่หรือไม่?
    หากบิทคอยน์ทรุดลงแบบโดมิโน่ เหรียญอื่น ๆ จะเดินตามรอยด้วย แต่ ณ ขณะนี้ ความหวังในการเติบโตของบิทคอยน์ดูค่อนข้างจริงจัง แม้ว่าดัชนีการครองตลาดจะลดลงจาก 72.65% เหลือ 44.24% ตั้งแต่ต้นปี ปริมาณการเทรดค่อนข้างสูง เพียง $70 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น ด้านดัชนี Crypto Fear & Greed Index แม้ว่าจะเข้าสู่โซน “โลภ” แล้วที่ 64 จุด แต่ก็ยังอยู่ห่างไกลจากโซน overbought
    ในระยะกลาง ข้อเท็จจริงที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ของสหรัฐฯ มีมติเลื่อนการตัดสินใจกองทุน Bitcoin-ETFs อาจส่งผลไม่ดีต่อบิทคอยน์ แต่นักลงทุนยังคงมีความหวัง ในตอนนี้ นายมิคาเอล วาน เดอ พอปเปอ นักเทรดคริปโตและนักยุทธศาสตร์ชื่อดัง ได้แบ่งปันคำทำนายอนาคตของบิทคอยน์อย่างทะเยอทะยาน “ผมค่อนข้างมั่นใจว่า เราอยู่ในวัฎจักรขาขึ้นและมันก็ยากมากจะอิงกับตลาดหมี โดยเฉพาะเนื่องด้วยปัจจัยภาวะเงินเฟ้อในดอลลาร์สหรัฐ” เขากล่าว
    “ด้วยเงินจากสถาบันกำลังหลั่งไหลเข้ามา บิทคอยน์จึงแพร่ขยายในวงกว้างมากขึ้น นี่หมายความว่าในขณะนี้เริ่มมีความต้องการสูง และมีปริมาณเทียบแล้วยังค่อนข้างจำกัด ซึ่งจะทำให้ราคาขยับสูงขึ้นต่อไปได้ตามความเห็นของเขา แต่บิทคอยน์จะไปถึง $300,000 หรือ $500,000 หรือไม่? ผมคิดว่ามีโอกาส หากเราคำนวณกันแบบง่าย ๆ ราคาสูงสุดของ BTC น่าจะอยู่ที่ $500,000 จากสถิติจุดสูงสุดของวัฎจักร ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าอัตราเฉลี่ยของบิทคอยน์จะสูงกว่า $250,00 และอาจไปถึง $350,000 - $450,000 ภายในหนึ่งปี” แต่เราเจอกับช่วงเทรนด์ด้านข้างเป็นระยะเวลานาน” ผู้เชี่ยวชาญกล่าวอย่างระมัดระวัง
    ผู้เชี่ยวชาญที่ JPMorgan เชื่อว่า Ethereum อาจเป็นสกุลเงินที่มีประสิทธิภาพมากกว่า Bitcoin ในอนาคต พวกเขาเน้นว่าอัลท์คอยน์เหรียญนี้มีแรงต้านทานต่อปัจจัยภายนอกได้ดีกว่า ในขณะที่บิทคอยน์นั้นจะตอบสนองต่อการผันผวนสำคัญทุกอย่างที่ปรากฏในตลาด ซึ่งทำให้เกิดการปรับฐานราคาโดยทันที ด้วยเทรนด์ลบในระยะยาวนั้น นักลงทุน BTC จะเริ่มถอนเงินออกอย่างรวดเร็ว
    ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ JPMorgan “บิทคอยน์มีการใช้งานที่คับแคบมาก ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากหลายปัจจัย โดยส่วนใหญ่แล้วมักใช้เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน ในขณะนี้มีโครงการขนาดใหญ่ใหม่ ๆ ที่กำลังพัฒนาขึ้นบนฐานของ Ethereum ซึ่งมีสภาพคล่องมากกว่า และไม่นานมานี้ ETH ได้เพิ่มตำแหน่งในตลาดสปอตมากขึ้นด้วยเช่นกัน ข้อดีอีกหนึ่งประการของ Ethereum คือมีระบบนิเวศขนาดใหญ่และได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี” พวกเขาเน้นย้ำ

 


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา