อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว
- EUR/USD หากคุณดูกราฟของคู่นี้บนกรอบ D1 เราสามารถพูดถึงเทรนด์ขาขึ้นในช่วงแปดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้อย่างปลอดภัย แต่หากคุณปรับไปดูกรอบที่ต่ำลงมาอย่าง H4 หรือ H4 จะเห็นชัดเจนว่าราคาอยู่ในช่วง “ด้านข้าง” มาตลอดสองสัปดาห์ล่าสุด แต่ราคาบีบตัวอยู่ในกรอบ 1.2125-1.2265 ราคาปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่บริเวณ Pivot Point ของกรอบดังกล่าวเช่นกันที่ 1.2194 โดยไม่ให้สัญญาณสำหรับอนาคตใด ๆ
สถิติเศรษฐกิจมหภาคของสัปดาห์ที่แล้วดูมีความหลากหลาย ดังนั้นจึงไม่เป็นแรงกระตุ้นหลักสำหรับคู่นี้ให้ไปทิศเหนือหรือทิศใต้เช่นกัน จำนวนยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในสหรัฐฯ ลดลงต่อเนื่อง แต่จำนวนยอดสินทรัพย์รอปิดการขายในตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดลง คำสั่งซื้อสินค้าทุน (ไม่รวมอุปกรณ์ป้องกันและการบิน) ขยับขึ้น ในขณะที่คำสั่งซื้อสินค้าคงทนลดลง และสถิติ GDP รายปี (Q1) ยังคงที่ระดับเดิม ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่รู้ว่าควรจะมีท่าทีอย่างไร
ในฤดูใบไม้ผลิของปีที่แล้ว เมื่อธนาคารเฟดอัดฉีดตลาดด้วยเงินราคาถูก นโยบายของธนาคารฯ ตอนนั้นยังเป็นที่เข้าใจได้ง่ายอย่างชัดเจน คือ เพื่อประคองเศรษฐกิจออกจากภาวะวิกฤติและสนับสนุนกำลังซื้อของประชากร เวลาหนึ่งปีผ่านไป ภาวะถดถอยดังกล่าวจบลง ดัชนีหุ้นเติบโตอย่างเบิกบาน อัตราการว่างงานลดลง ระดับเงินเฟ้อเริ่มก่อตัว แต่ธนาคารเฟดยังคงยืนกรานว่ายังไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้ และยังเร็วเกินไปที่จะลดมาตรการกระตุ้น (QE) แล้วนักลงทุนควรทำอย่างไรกับเงินเก็บ?
เงินบางส่วนเหล่านี้เข้าไปในตลาดหุ้นที่มีแรงซื้อมากเกินไปมาอย่างยาวนาน ทำให้ดัชนี S&P500 กลับมาอยู่เหนือ 4200 และ Dow Jones เหนือระดับ 3450 และเงินอีก $485.3 พันล้านดอลลาร์ยังคงแช่แข็งไว้นิ่ง ๆ ในบัญชีธนาคารกลางที่อัตราดอกเบี้ยเป็นศูนย์ ทั้งนี้ เนื่องด้วยมาตรการ QE ซึ่งเกิดขึ้นไม่ใช่เฉพาะแค่ในสหรัฐฯ แต่ยังรวมถึงประเทศต่าง ๆ และยุโรป ทำให้ทั้งเงินดอลลาร์ ยูโร และค่าเงินอื่น ๆ อยู่ในมือของทั้งชาวอเมริกันและนักลงทุนต่างชาติ แต่ตลาดกลับตกอยู่ในภาวะเคลือบแคลงใจ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนบนกราฟ EUR/USD - GBP/USD อัตราการเคลื่อนที่ของ GBP/USD ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเดียวกันกับคู่ก่อนหน้า และเช่นเดียวกันยูโร ค่าเงินปอนด์อังกฤษเทียบกับดอลลาร์นั้นขยับอยู่ในเทรนด์ด้านข้างเป็นเวลาสองสัปดาห์ โดยราคาผันผวนอยู่ในช่วง 1.4075-1.4220 อย่างไรก็ตาม แตกต่างไปจากค่าเงินยูโร กิจกรรมของตลาดกระทิงต่อเงินปอนด์สูงกว่ามาก ซึ่งได้รับผลจากการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วก่อนกำหนดโดยธนาคารแห่งชาติอังกฤษ
เกิร์ธยาน วลีก์ฮี หนึ่งในผู้บริหารธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคมว่า อัตราดอกเบี้ยอาจมีการปรับขึ้นในครึ่งแรกของปี 2022 ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เน้นว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อตลาดแรงงานฟื้นตัวรวดเร็วกว่าการคาดการณ์
ทัศนคิตที่ดีของนักลงทุนยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากความเห็นของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ต่อสถิติ COVID-19 ล่าสุดที่จะไม่ต้องมีการปรับแผนยกเลิกมาตรการจำกัดเรื่องกักตัวในวันที่ 21 มิถุนายน หลังจากคำแถลงเหล่านี้ ราคาได้ขยับถึงระดับสูงสุดในรอบ 36 เดือนอีกครั้งและปิดตลาดที่ 1.4188 - USD/JPY มีผู้เชี่ยวชาญเพียง 25% เท่านั้นที่ได้โหวตให้กับแนวโน้มขาขึ้นของดอลลาร์สำหรับคู่นี้ในบทวิเคราะห์ที่แล้ว แต่ในการต่อสู้ระหว่างฝั่งกระทิงและหมีนั้นได้รับอิทธิพลอย่างยิ่งจากการเติบโตของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี ซึ่งขยับขึ้นจาก 1.57% เป็น 1.62% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน เมื่อเงินเยนคือค่าเงินหลบภัย การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย่อมส่งผลเป็นแรงกดดันต่อเงินเยนอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากคุณพิจารณาผลตอบแทนของพันธบัตรญี่ปุ่นรอบ 10 ปี ซึ่งอยู่ที่ 0.25% เท่านั้น
เงินเยนยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้าของญี่ปุ่น ความกลัวนี้มาจากรายงานจากสื่อต่าง ๆ ว่าทางการวางแผนที่จะขยายสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงโตเกียวและพื้นที่อื่น ๆ ออกไปอีกสามสัปดาห์ จนถึงวันที่ 20 มิถุนายน แรงสนับสนุนเพิ่มเติมต่อเงินดอลลาร์ยังมาจากการเสนองบประมาณสหรัฐฯ โดยรัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน จำนวนกว่า $6 ล้านล้านดอลลาร์
ด้วยเหตุนี้ USD/JPY จึงตัดทะลุกรอบ 108.55-109.75 และขยับขึ้นทำระดับ 110.00 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใหม่ในรอบเจ็ดสัปดาห์ล่าสุด และปิดตลาดต่ำลงมาจากระดับดังกล่าวเล็กน้อยที่ 109.83 - คริปโตเคอเรนซี ขณะนี้ คุณสามารถสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันในช่วงเริ่มต้นของฤดูหนาวคริปโตเมื่อปี 2014 และปี 2018 แต่ก็มีความแตกต่างอีกหลายประการเช่นกัน ดังนั้น เรายังไม่ควรด่วนสรุปว่าเรากำลังเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวของปี 2021 จริง ๆ แล้ว เดือนที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงตอนปลาย ซึ่งหากข้ามฤดูหนาวไปได้ ฤดูใบไม้ผลิอาจเริ่มต้นได้ทันที
ตลาดตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของการต่อสู้ระหว่างการขุดเหรียญและการเทรดเงินดิจิทัลในจีน เช่น รายงาน 8 ย่อหน้าของเอกสารที่ประกาศโดยคณะกรรมการการปฏิรูปและพัฒนาภายในมองโกเลียสามารถช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น (ตามรายงานของ University of Cambridge ภูมิภาคดังกล่าวของจีนมีกำลังในการประมวลและขุดบิทคอยน์ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ)
ในรายงานระบุว่า อุตสาหกรรมและศูนย์ข้อมูลถูกสั่งให้ลดการใช้พลังงานและบริษัทการโทรคมนาคมถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำงานร่วมกับบรรดานักขุดเหรียญมิเช่นนั้นจะถูกระงับใบอนุญาต รัฐบาลจีนยังให้สัญญาว่าจะดำเนินการทางกฎหมายกับนักขุดเหรียญที่ผิดกฎหมาย ในลักษณะเดียวกันกับความพยายามฟอกเงินและการระดมทุนอย่างผิดกฎหมายโดยใช้คริปโตเคอเรนซี นอกจากนี้ รายการดังกล่าวยังระบุถึงร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่จะถูกปิดลงหากพบว่ามีการขุดเหรียญในพื้นที่ บริษัทที่มีกิจกรรมเกี่ยวข้องกับการขุดคริปโตเคอเรนซีและพนักงานระดับอาวุโสจะมีชื่อติดในบัญชีรายชื่อบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือ และเจ้าพนักงานที่สนับสนุนนักขุดเหรียญจะมีความผิดทางวินัย
ตามรายงานของ Reuters บริษัทขุดเหรียญขนาดใหญ่ BTC.TOP และ HashCow กำลังยุติการดำเนินงานในจีนในบรรยากาศการคุมเข้มทางกฎหมายที่เกิดขึ้น HashCow ยังไม่หยุดการดำเนินการที่มีอยู่แต่ปฏิเสธที่จะซื้อฟาร์มใหม่
สำหรับ BTC.TOP บริษัทนี้ได้ประกาศยุติการทำงานในประเทศจีนโดยสมบูรณ์
ในอีกด้านหนึ่งนั้นก็มีข่าวดีเช่นกัน นายอีลอน มัสก์ ซึ่งเคยทำให้ตลาดคริปโตดิ่งลงอย่างรุนแรงสองครั้งในเดือนพฤษภาคม ขณะนี้ช่วยพยุงตลาดขึ้นมาอีกครั้ง เขาได้ร่วมประชุมกับบริษัทขุดเหรียญในภูมิภาคอเมริกาตอนเหนือหลายบริษัทด้วยกัน
ซึ่งการประชุมที่ว่านี้จัดขึ้นโดย นายไมเคิล เซย์เลอร์ ประธาน MicroStrategy และตัดสินใจที่จะจัดตั้งสภา Bitcoin Mining Council ที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอุตสาหกรรมนี้
นายมาร์ชาล ลอง หนึ่งในนักขุดเหรียญบิทคอยน์คนแรก ๆ วิพากษ์วิจารณ์ท่าทีดังกล่าว โดยกล่าวว่า นายมัสก์กำลังคุยผิดคน เพราะพวกเขาควบคุม “แฮชเรตบนเครือข่ายในขนาดเล็กมาก ๆ” นายลองมองว่า หากอีลอน มัสก์ ต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เขาควรเจรจากับ Coinmint และสมาชิกสมาคมบล็อกเชนเท็กซัสที่ไม่แสวงหากำไร ซึ่งควบคุมแฮชเรตประมาณ 15%
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจจัดตั้งสภา Bitcoin Mining Council ให้ผลลัพธ์ที่ดี: ตามข้อมูลของ CoinGecko มูลค่ารวมในตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 14% และราคาบิทคอยน์ขยับขึ้นมาเกือบ 12% จากข่าวดังกล่าว ราคาคู่ BTC/USD ซื้อขายอยู่ที่ $40,865 ในราคาสูงสุดของสัปดาห์เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม โดยไม่สามารถยืนเหนือระดับ $41,000 ได้สำเร็จ และตกลงมาที่บริเวณ $35,000 ภายในช่วงเย็นวันศุกร์อีกครั้ง
ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขยับลงมายังระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม เพียง 10 จุด ซึ่งอยู่ในระดับ “กลัวอย่างยิ่ง” ในตลาด แต่สิ่งที่มาควบคู่กับแนวโน้มขาลงของดัชนีนี้ คือ แนวโน้มการเข้าซื้อรอบใหม่ของนักลงทุนที่คาดหวังส่วนลดราคาครั้งใหญ่ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เช่นเดียวกัน เมื่อราคาดิ่งลงมาด้านล่าง ราคาก็ตีกลับขึ้นไป ดัชนีนี้กลับมาอยู่ในโซน “กลัว” ที่ประมาณ 21 จุด เมื่อช่วงกลางวันของวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม ดังนั้น โอกาสที่ราคาบิทคอนย์จะเติบโตต่อไปนั้นยังคงไม่หมดลง
มูลค่ารวมในตลาดคริปโตทำระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ $2,560 ล้านล้านดอลลาร์ แต่จากนั้นก็ตามมาด้วยภาวะทรุดตัว ทำให้ตลาดสูญเสียมูลค่ากว่า 40% ในขณะที่กำลังเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในวันที่ 28 พฤษภาคม โดยมูลค่าหดตัวลงมาที่ 1,529 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีธุรกรรมที่อัตราทดกว่า 1 ล้านธุรกรรมถูกล้างไปในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้
มูลค่าที่ต่ำสุดสำหรับดัชนีครองตลาดของบิทคอยน์ในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 39.22% ตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวปรับสูงขึ้นมาเล็กน้อยที่ 43.11% จึงมีความเป็นไปได้ที่แนวโน้มจะเติบโตต่อไป เนื่องด้วยการขายเหรียญอัลท์คอยน์คงที่ที่ลดลง
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD Goldman Sachs และ Deutsche Bank เชื่อว่าสถานการณ์ในปัจจุบันคล้ายกันกับช่วงปี 2002-2007 เมื่อดัชนีสหรัฐฯ กำลังขยับลง ตามความเห็นของนักวิเคราะห์ นักลงทุนจะเริ่มมองหาสินทรัพย์ระหว่างประเทศที่น่าดึงดูดกว่าในระยะยาว และเทรนด์ขาขึ้นของคู่ EUR/USD จะแข็งแกร่งขึ้น
แต่ผู้เชี่ยวชาญของ Morgan Stanley มีความเห็นในทางตรงกันข้าม พวกเขาเชื่อว่าเหตุการณ์ในปัจจุบันนั้นคล้ายกันกับช่วงปี 1980s และ 1990s มากกว่า เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากการขาดดุลงบประมาณครั้งใหญ่ และในขณะนี้การขาดดุลในส่วนของ GDP นั้นสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 อันเป็นผลมาจากมาตรการ QE ที่ทำให้การนำเข้าสินค้าในสหรัฐฯ เติบโตขึ้นรวดเร็วกว่าการส่งออก แต่ดัชนีดอลลาร์ DXY ยังคงหวังว่า อัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับยุโรปและรอบโลกนั้นจะช่วยกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนต่อเงินดอลลาร์และสินทรัพย์อื่น ๆ ได้
นักวิเคราะห์ 50% เห็นด้วยกับมุมมองนี้ในระยะสั้น โดยคาดการณ์ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นและคู่ EUR/USD จะขยับลงไปที่โซน 1.1985-1.2000 โดยแนวรับใกล้ที่สุด คือ 1.2130 และ 1.2060 ด้านผู้เชี่ยวชาญ 30%โหวตให้ว่าเทรนด์ด้านข้างที่ 1.2125-1.2265 จะดำเนินต่อไป ในขณะที่อีก 20% สนับสนุนว่าราคาจะตัดทะลุกรอบด้านบนของช่องดังกล่าวและขยับขึ้นไปทำระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 1.2350
ทั้งนี้ เมื่อปรับการวิเคราะห์รายสัปดาห์เป็นระยะกลาง จำนวนผู้สนับสนุนการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์และแนวโน้มขาลงของคู่นี้นั้นเพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 70%
ในส่วนออสซิลเลเตอร์ให้สัญญาณที่น่าสับสนโดยสิ้นเชิงบนกรอบ H4 ส่วนบนกรอบ D1 ยังปกคลุมไปด้วยสัญญาณสีเขียวที่ 50% อีก 25% ให้สัญญาณสีแดง และ 25% ที่เหลือให้สัญญาณเป็นสีเทากลาง ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์ส่วนใหญ่บนกรอบ D1 (75%) ชี้ไปทางทิศเหนือ
ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญหลายชุดจะประกาศออกมาในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราจะจับตาดูการประกาศดัชนีตลาดผู้บริโภคของเยอรมนีในวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม และจะตามมาด้วยการประกาศสถิติที่คล้ายกันของยูโรโซนโดยรวมในวันอังคาร นอกจากนี้ ในสหรัฐฯ จะมีการประกาศดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของ ISM ในภาคการผลิตในวันที่ 1 มิถุนายน
ในวันพุธที่ 2 มิถุนายน จะมีการประกาศดัชนียอดขายปลีกเยอรมนี ส่วนในวันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน จะเป็นรายงานระดับการจ้างงานในภาคเอกชน และดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของ ISM ในภาคบริการของสหรัฐฯ และดัชนียอดขายปลีกในยูโรโซน รวมถึงจำนวนตำแหน่งงานที่สร้างขึ้นใหม่นอกภาคการเกษตร (NFP) ในช่วงปลายสัปดาห์ทำการวันที่ 4 มิถุนายน
- GBP/USD ผู้เชี่ยวชาญบางส่วน (60%) ถือว่าคำพูดของ เกิร์ธยาน วลีก์ฮี เกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นค่อนข้างมีความพิเศษ ซึ่งคาดว่าเงินปอนด์จะทำระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 36 เดือนที่ 1.4240 ในอนาคตอันใกล้ เช่นเดียวกันการคาดการณ์ของพวกเขายังมีการเน้นเตือนว่า ธนาคารแห่งชาติอังกฤษได้ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม และเศรษฐกิจน่าจะกลับคืนสู่ระดับก่อนวิกฤติได้ทันในปลายปีนี้
ในทางตรงกันข้ามกันนั้น นักวิเคราะห์ท่านอื่น ๆ (40%) เชื่อว่า ทุกอย่างยังคงดูกำกวม ซึ่งช่วงครึ่งแรกของปี 2022 ยังคงอยู่ห่างไกล และหลายสิ่งอาจเกิดขึ้นในระหว่างนี้ โดยทั่วไปแล้ว ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนดีใจ ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญกลุ่มนี้จึงวางเดิมพันที่ฝั่งดอลลาร์ และคาดว่า GBP/USD จะขยับลดลง โดยให้แนวรับใกล้ที่สุดไว้ที่ 1.4175, 1.4135 และ 1.4100 โดยเป้าหมายอยู่ที่ 1.4000
อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคก็เข้าข้างตลาดกระทิงเช่นกัน มีออสซิลเลเตอร์ที่เห็นด้วย 75% บนกรอบ D1 และ 95%ในหมู่อินดิเคเตอร์ ด้านการวิเคราะห์กราฟก็ชี้ให้เห็นถึงการรีบาวด์ลงมาจากแนวต้านที่ระดับ 1.4240 และลงมายังแนวรับที่ 1.4000
สำหรับเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์นี้จะเป็นถ้อยแถลงสองครั้งของ นายแอนดริว ไบเลย์ ประธานธนาคารแห่งชาติอังกฤษในวันที่ 1 และ 3 มิถุนายน ซึ่งนักลงทุนจะจับตารอฟังคำสัญญาเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอีกเหตุการณ์ที่น่าสนใจ คือ รายงานระดับเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักร ซึ่งมีกำหนดจะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน - USD/JPY ผลการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับคู่นี้เรียกได้ว่าเป็นสีเขียวชอุ่ม โดยออสซิลเลเตอร์ 90% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 95% บนกรอบ H4 รวมถึงออสซิลเลเตอร์ 75% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 95% บนกรอบ D1 ให้สัญญาณเป็นสีเขียวทั้งหมด แนวโน้มกระทิงนี้ยังได้รับเสียงสนับสนุนโดยผู้เชี่ยวชาญ 60% ซึ่งให้แนวต้านใกล้ที่สุดไว้ที่ 110.00 เป้าหมายแรกคือราคาสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้วที่ 110.20 เป้าหมายที่ 2 คือ การทำระดับสูงสุดใหม่ในรอบ 21 สัปดาห์ที่ 110.95
ด้านนักวิเคราะห์ 40% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี โดยคาดการณ์ว่าราคาคู่นี้จะกลับมายังกรอบ 108.55-109.75 ในกรณีที่ทะลุกรอบด้านล่างสำเร็จ เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ 107.50 - คริปโตเคอเรนซี - ตามความเห็นของ นายเดวิด รูเบนสไตน์ เศรษฐีพันล้านและผู้ร่วมก่อตั้ง Calyle Group มองว่า บิทคอยน์แทบจะไม่มีโอกาสที่จะหายไปโดยสิ้นเชิง แม้ว่าสินทรัพย์นี้จะสูญเสียมูลค่าทั้งหมด แต่ก็ยังจะเป็นที่ต้องการในส่วนโครงสร้างพื้นฐาน หากเหรียญยังคงมีราคาขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ธนาคารกลางที่เคยแถลงคัดค้านคริปโตเคอเรนซีก็จะต้องเริ่มพิจารณามัน
“ประเภทสินทรัพย์ใหม่นี้ไม่ใช่แค่กระแสความบ้าคลั่งที่หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว เรากำลังพูดถึงเงินหลายพันล้านดอลลาร์ เหรียญที่เดิมที่เป็นสื่อกลางการชำะระเงินแบบดิจิทัลได้กลายเป็นสินทรัพย์แบบสมบูรณ์” เขาเชื่ออย่างนั้น
สถิติของ Glassnode ชี้ว่า นักลงทุนเหล่าปลาวาฬค่อย ๆ สะสมบิทคอยน์ในระยะยาว และมีนักลงทุนขนาดใหญ่ที่ไหลออกจากตลาด OTC ซึ่งยิ่งยืนยันคำพูดของนายรูบินสไตน์ สิ่งนี้อาจแปลว่าปัจจุบันคือช่วงระยะการสะสมสินทรัพย์หลังจากการขาดทุนสะสมครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นตัวปกป้องบิทคอยน์และตลาดคริปโตเคอเรนซีโดยรวมไม่ให้ทิ้งตัวลงอย่างอิสระ
ผู้มีอิทธิพลหลายคนก็มีทัศนคติที่สดใสเช่นกัน เคธี วูด ผู้อำนวยการบริหารบริษัทการลงทุน Ark Invest ยืนยันการคาดการณ์ของเธออีกครั้ง เธอมั่นใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บิทคอยน์จะขยับถึง $500,000 อย่างแน่นอน
วูดกล่าวถึงการปรับตัวครั้งล่าสุดว่ายิ่งเพิ่มโอกาสให้ SEC (คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ) อนุมัติกองทุนบิทคอยน์ ประเด็นสำคัญก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่ำกว่าน่าจะได้รับไฟเขียวมากกว่า
นอกจากนี้ เคธี วูด ยังได้พูดถึงความเห็นของนายอีลอน มัสก์ ที่ส่งผลให้ตลาดคริปโตดิ่งลง เธอชี้ว่า เขาเจอแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นอย่างเช่น BlackRock ให้ต้องดิ่งราคา BTC แต่เธอยังคาดว่า นายมัสก์ จะกลับมาเป็นนักลงทุนในชุมชนคริปโต
อนาคตของ Ethereum ยังโรยด้วยกลีบกุหลาบมากยิ่งกว่า ตามมุมมองของผู้เชี่ยวชาญบางท่าน แอสวาธ ดาโมดาราน ศาสตราจารย์จาก NYU Stern Business School เชื่อว่า Ethereum มีความเหมาะสมในการเทรดในตลาดหลักทรัพย์มากกว่าบิทคอยน์ โดยเชื่อว่าระบบนิเวศของ ETH มีความยืดหยุ่นมากกว่า ทำให้การทำงานในการเทรดง่ายขึ้น โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ความผันผวนสูงขึ้น
ศาสตราจารย์ท่านนี้ยังเน้นย้ำด้วยว่า สินทรัพย์ขนาดเล็กหลายแห่งบนตลาดหลักทรัพย์เทรดดีกว่าบิทคอยน์ เพราะธุรกรรมของสินทรัพย์เล็ก ๆ น้อยรวดเร็วกว่ามาก เครือข่าย BTC ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน แม้ว่าจะเป็นตามมาตรฐานธุรกรรมเงินพันธบัตรทั่วไป ดังนั้น บิทคอยน์จึงเหมาะจะเป็นสินทรัพย์ระดับโลกเพื่อการลงทุนมากกว่า
มาถึงช่วงสถิติในท้ายบทวิเคราะห์ของเรา คริปโตเคอเรนซีตลก ๆ อย่าง Dogecoin กลายว่าเป็นที่รู้จักมากกว่า Ethereum ในบรรดาประชาชนชาวสหรัฐฯ บางทีอาจเป็นเพราะนายอีลอน มัสก์ ซึ่งยืนยันจากผลการสำรวจร่วมกันระหว่าง Harris Poll และ Couponabin
งานวิจัยนี้สำรวจผู้ใหญ่ชาวอเมริกันมากกว่า 2000 คน คนส่วนใหญ่ (89%) เคยได้ยินคำว่าคริปโตเคอเรนซีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง 71% รู้เกี่ยวกับบิทคอยน์ 29% รู้จัก Dogecoin และ 21% รู้จัก Ethereum เหรียญ USD stablecoin มีผลลัพธ์เท่ากัน คือ 21% ในขณะที่ 18% ของผู้ตอบแบบสำรวจกล่าวว่าเขาคุ้นเคยกับ Litecoin และเพียง 10% เคยได้ยินชื่อ Stellar
สินทรัพย์ดิจิทัลในฐานะสินทรัพย์เพื่อรวยทางลัดนั้นมีผู้เห็นด้วย 23% และเกือบหนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสำรวจ (31%) มั่นใจว่า คริปโตเคอเรนซีสามารถกลายเป็นอนาคตของเงินตราได้
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ