อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD วันสำคัญเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือ วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน โดยมีสองเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวันดังกล่าว ได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางยุโรป และการประกาศสถิติตลาดผู้บริโภคสหรัฐฯ ตอนนี้เราจะมาพูดถึงทุกเรื่องตามลำดับ
ธนาคารกลางยุโรปปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ GDP ยูโรโซน จาก 4.0% เป็น 4.6% สำหรับปี 2021 และจาก 4.1% เป็น 4.7% ในปี 2022 ระดับเงินเฟ้อคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.9% ในปีนี้ และ 1.5% ในปีหน้า (ตัวเลขคาดการณ์เดิม คือ 1.5% และ 1.2% ตามลำดับ) ในขณะเดียวกัน อัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังไม่ทำให้ นางคริสติน ลาการ์ด ประทับใจเท่าใดนัก โดยเฉพาะการฟื้นตัวยังคงตามหลังสหรัฐฯ อยู่มาก ประธานธนาคารกลางฯ ยังพิจารณาว่าภาวะเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้นนั้นเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวเท่านั้น ในขณะที่ราคาอาจสูงขึ้นในปี 2021 ไตรมาสที่ 3 และ 4 แต่ราคาน่าจะลดลงเมื่อ “ปัจจัยชั่วคราวนั้นหายไป” ดังนั้น เธอจึงเชื่อว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในยูโรโซนจะอยู่ต่ำกว่าเป้าหมาย “ตลอดช่วงการคาดการณ์”
ด้วยเหตุนี้ ผลลัพธ์การประชุมของธนาคารกลางยุโรปจึง..ไม่มีผลลัพธ์ใด ๆ แม้ว่าจะมีการถกเถียงกัน แต่บอร์ดผู้บริหารยังไม่ทำการตัดสินใจใด ๆ ในเรื่องการจำกัดมาตรการ QE และยังคงมาตรการกระตุ้นในปัจจุบันเท่าเดิม อัตราดอกเบี้ยของยูโรคงที่ที่ 0% แต่ด้วยความเฉื่อยชาเช่นนี้ นางลาการ์ดจึงประสบความสำเร็จในสิ่งที่เธอต้องการ คือ กันไม่ให้ยูโรแข็งค่าขึ้น
ตอนนี้มาถึงเหตุการณ์ที่สองเมื่อวันพฤหัสบดี คือ การประกาศสถิติตลาดผู้บริโภคของสหรัฐฯ (CP) ตามการตอบสนองของตลาด การประกาศดัชนีดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกันกับช่วงเวลาที่ประกาศอัตราดอกเบี้ยใหม่ ตัวเลข CPI ปรากฏว่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมาก แสดงถึงราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในสหรัฐฯ ในรอบกว่า 12 ปี
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้นักลงทุนต้องกังวล แต่สิ่งตรงกันข้ามกลับเกิดขึ้น ดัชนี S&P500 ทำระดับสูงสุดใหม่อีกครั้ง ขยับถึง 4250 (จาก 4244 ในเดือนที่แล้ว) และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รอบสิบปีลดลงมาต่ำสุดในรอบ 3 เดือน
และสำหรับคู่ EUR/USD ตรงนี้เองที่ฝั่งตลาดหมีได้ชัยชนะ เหตุผลมีดังนี้: ธนาคารกลางยุโรปได้เลื่อนการตัดสินใจที่จะจำกัดมาตรการ QE ในยุโรป แต่ในสหรัฐฯ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจบีบให้ธนาคารเฟดต้องดำเนินมาตรการจริงจังในทิศทางนี้ และเป้าหมายบางส่วนอาจเริ่มมีให้เห็นในการประชุมของธนาคารเฟดครั้งถัดไปในวันพุธที่ 16 มิถุนายน ความคาดหวังต่อนโยบายการเงินที่รัดกุมมากขึ้นส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แรงเสริมสำหรับฝั่งหมียังได้รับจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในสหรัฐฯ ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ทำให้ดอลลาร์ฟื้นขึ้นมา 100 จุด จากยูโร และคู่ EUR/USD ปิดท้ายต่ำกว่ากรอบด้านล่างในช่องด้านข้างรอบสี่เดือนที่ 1.2125-1.2265 ในบริเวณ 1.2108 - GBP/USD สถิติจากสหรัฐฯ กำลังกดคู่นี้ลงมาอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น สำหรับผลงานของฝั่งสหราชอาณาจักรก็ไม่เรียบง่ายเท่าไรนัก สถิติที่ประกาศออกมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน ช่วยหนุนเงินปอนด์ โดยแสดงดัชนี PMI ภาคการผลิตที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และชี้ให้เห็นถึงการผลิตทางอุตสาหกรรมและการค้าในสหราชอาณาจักรที่แข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สถิติมหภาคอีกชุดหนึ่งซึ่งประกาศในวันถัดมาส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น
ศูนย์กลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรเปลี่ยนไปจากภาคการผลิตและตลาดอสังหาฯ เป็นภาคบริการ ในที่นี้เอง เนื่องด้วยการฉีดวัคซีนและการผ่อนคลายมาตรการกักตัว กิจกรรมทางเศรษฐกิจจึงเพิ่มขึ้นและสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ตัวเลขยังคงดูไม่สวยงามในภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ
ตัวเลขการก่อสร้างลดลง 2% ในขณะที่ด้านการผลิตเชิงอุตสาหกรรมของเดือนเมษายนลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 ถือว่าเพิ่มขึ้น 27.5% ในตอนนั้น จึงดูเหมือนว่าการเติบโตค่อนข้างชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่านี่ไม่ใช่สิ่งน่ายินดี หากเราเปรียบเทียบตัวเลขสัมบูรณ์ ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าระดับเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 ถึง 3% และยังต่ำกว่าระดับสูงสุดของเดือนมีนาคม 2019 ถึง 6.5% และนี่แสดงถึงภาวะชะงักตัวในภาคเศรษฐกิจนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่จาก COVID-19 แต่รวมถึงเหตุการณ์เบร็กซิต
สถิติที่มีผลออกมาหลากหลายทิศทางเช่นนี้ทำให้คู่ GBP/USD ไม่สามารถขยับออกกรอบด้านข้างที่ 1.4075-1.4220 ได้สำเร็จ ซึ่งราคาเคลื่อนที่มาเป็นเวลาสี่สัปดาห์ติดต่อกัน และราคาปิดตลาดที่ 1.4115 - USD/JPY หลังจากราคาเริ่มสัปดาห์ห้าวันทำการที่ 109.50 ราคาปิดตลาดที่ 109.70 ในขณะเดียวกัน ราคาขยับอยู่ด้านล่างระดับเหล่านี้เป็นเวลาส่วนใหญ่ โดยเด้งขึ้นจากระดับแนวรับซ้ำ ๆ หลายครั้งที่บริเวณ 109.18-109.30 อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยสถิติที่แข็งแกร่งจากสหรัฐฯ ราคาก็ได้ขยับถึงระดับ 109.85 ภายในช่วงปลายสัปดาห์ แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มนี้ ความผันผวนในช่วงสัปดาห์อยู่ที่ 45 จุด ซึ่งดูมากกว่าปานกลางทั่วไป
- คริปโตเคอเรนซี ตลาดคริปโตนิ่งสงบ บิทคอยน์ทำราคาแข็งตัวอยู่ที่บริเวณ $36,000-37,000 เป็นเวลาสามสัปดาห์ติดต่อกัน ความพยายามของฝั่งหมีที่จะกดราคาลงเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ล้มเหลว โดยระดับต่ำสุดที่ดิ่งลงไปอยู่ที่ $31,065 แต่ราคาอยู่ที่บริเวณดังกล่าวแค่ไม่กี่นาที คู่ BTC/USD ก็กลับทิศทาง และไต่ขึ้นมายัง $38,325 ก่อนจะกลับมาโซนแข็งตัวตามเดิม
นายอีลอน มัสก์ กลับมาพร้อมข่าวประจำสัปดาห์ ซึ่งอาจส่งผลต่อสถานการณ์ในตลาด เจ้าของ Tesla และ SpaceX ได้รับคลิปวิดีโอที่อ้างว่ามาจากกลุ่มแฮ็คเกอร์ Anonymous ซึ่งระบุทวีตข้อความของเขาเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซีทำลายชีวิตของคนทำงานทั่วไป และความฝันของพวกเขาถูกย่ำยีโดยอารมณ์โกรธของนายมัสก์ที่แสดงต่อสาธารณะ
ชายในวิดีโอใส่หน้ากากที่คุ้นเคย Guy Fawkes เปลี่ยนเสียงของเขาและเรียกนายมัสก์ว่าเป็นผู้ร้ายในหนังเรื่อง Bond ที่เส้แสร้งทำเป็นว่ามีวิสัยทัศน์ แต่จริง ๆ เป็นแค่คนรวยที่หลงตนเองและเรียกร้องความสนใจคนหนึ่ง คลิปวิดีโอนี้ชี้ว่า นายมัสก์ละทิ้งบิทคอยน์เพียงเพราะเขากลัวว่า Tesla จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อ และแฮ็คเกอร์กลุ่มนี้ยังเรียกความคิดริเริ่มล่าสุดของมัสก์ที่ต้องการจัดตั้งสภานักขุดเหรียญบิทคอยน์ว่าเป็นความพยายามในการควบคุมอุตสาหกรรม
วิดีโอนี้มียอดผู้ชมแล้วกว่า 2 ล้านคน และปิดท้ายด้วยคำท้าว่า “คุณมองว่าตัวเองฉลาดที่สุด แต่ครั้งนี้คุณจะเล่นกับคู่แข่งที่สูสีกัน เราคือ Anonymous! เราคือทหารผู้กล้า! รอเรา”
อีกหนึ่งผู้สร้างข่าว คือ ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เพื่อการวิเคราะห์ MicroStrategy Inc. ประกาศออกพันธบัตรที่สามารถแปลงได้มูลค่า $400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีกำหนดครบอายุในปี 2028 ซึ่งบริษัทจะใช้เงินทุนที่ได้รับมาซื้อบิทคอยน์
ตามรายงานจาก Bitcoin Treasuries ในขณะนี้ MicroStrategy เป็นเจ้าของบิทคอยน์ 92,079 BTC มูลค่ากว่า $3.37 พันล้านดอลลาร์ และหากคุณศึกษาประวัติศาสตร์ของสินทรัพย์คริปโตนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า บริษัทกำลังเพิ่มถัวเฉลี่ยตำแหน่งในตลาด และสิ่งนี้เกิดขึ้นจากเงินที่ยืมมา
การถัวเฉลี่ยถือว่าเป็นวิธีการลงทุนที่ค่อนข้างมีความเสี่ยง สำหรับผู้ที่ยังไม่ทราบ เราจะอธิบายตัวอย่างง่าย ๆ การถัวเฉลี่ย คือ เมื่อคุณซื้อ 3 BTC: ครั้งแรกที่ราคา $5,000 จากนั้นคุณซื้อรอบที่สองที่ราคา $20,000 และรอบที่สามที่ $35,000 ค่าเฉลี่ยต่อ 1 เหรียญในกรณีนี้จะเท่ากับ $20,000 ($60,000/3) และหากราคาขยับลงต่ำกว่าระดับนี้ คุณจะขาดทุน ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงเชื่อว่า MicroStrategy ได้เริ่ม “เส้นทางบนน้ำแข็งที่เปราะบาง”
ในขณะที่กำลังเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ BTC/USD อยู่ในโซน $37,000 ดัชนี Crypto Fear & Greed Index รวมถึงเหรียญนั้นแสดงถึง “การแข็งตัว” ซึ่งดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 21 จุด เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม และที่ 27 จุด เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน และอีกครั้งที่ 21 จุด เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งตรงกับค่าเฉลี่ยที่ “หวาดกลัว” ของดัชนี
ในบรรดาคริปโตเคอเรนซีที่มีอยู่ 10,332 สกุล บิทคอยน์แม้ว่าจะอยู่ในช่วงขาลง แต่ก็มีส่วนแบ่งในมูลค่ารวมในตลาดที่ยังคงนำหน้าสูง ดัชนีการครองตลาดอยู่ที่ 44.03% ในขณะนี้ ส่วนมูลค่ารวมของตลาดสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดลดลงจาก $1.663 ล้านล้าน เหลือ $1.585 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD อย่างที่กล่าวไปข้างต้น บอร์ดบริหารของธนาคารกลางยุโรปยังไม่ได้ทำการตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับการจำกัดมาตรการ QE แต่ธนาคารเฟดอาจเริ่มพูดคุยในประเด็นนี้ในที่ประชุมวันพุธที่ 16 มิถุนายน และอาจได้ “โรดแมป” เป็นผลลัพธ์ หากไม่มีการเผยแพร่โรดแมปพร้อมรายละเอียด ก็อาจจะระบุขอบเขตเวลาเป็นอย่างน้อย หากสิ่งนี้เกิดขึ้น เราอาจได้เห็นดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และคู่ EUR/USD ขยับลงมายังระดับ 1.2000 แนวรับถัดไป คือ 1.1945 จากนั้นที่โซน 1.1880-1.1900
หากธนาคารเฟดได้แต่แถลงทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์ที่ดูดีขึ้นในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังไม่ใช่เหตุผลในการตรึงนโยบายทางเศรษฐกิจอีกครั้ง ราคาคู่นี้ก็อาจจะกลับสู่กรอบด้านบนที่กรอบ 1.2125-1.2265 โดยมีเป้าหมายถัดไปของตลาดกระทิง คือ ระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 1.2350
ดังนั้น ความสนใจของตลาดในขณะนี้อยู่ที่การประชุมดังกล่าว และนักวิเคราะห์หลีกเลี่ยงที่จะให้คำคาดการณ์ใด ๆ จนกว่าจะถึงเวลานั้น การวิเคราะห์กราฟในขณะนี้ก็น่าสับสนเช่นกัน ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์ มี 55% ให้สัญญาณสีแดงบนกรอบ D1 และ 100% บนกรอบ H4 ในหมู่ออสซิลเลเตอร์มีภาพที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย ในที่นี้ 60% กำลังชี้ไปทางทิศใต้บนทั้งสองกรอบเวลา 20% มีท่าทีเป็นกลาง และอีก 20% ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน oversold
นอกเหนือจากการประชุมของธนาคารเฟดและการแถลงความเห็นในวันที่ 16 มิถุนายนแล้ว เหตุการณ์ที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ยังรวมถึงการประกาศสถิติตลาดผู้บริโภคของเยอรมนี และยอดขายปลีกในสหรัฐฯ ทั้งสองดัชนีจะประกาศในวันอังคารที่ 15 มิถุนายน - GBP/USD ธนาคารแห่งชาติอังกฤษกำลังประสบกับตัวเลือกที่ยากต่อการตัดสินใจว่าจะไปต่อทางไหน จะสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเดินหน้ากับมาตรการกระตุ้นทางการคลังต่อไป หรือเริ่มต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อและราคาที่ขึ้นสูงกว่าระดับก่อนโควิดไปแล้ว
หากคุณดูที่ท่าทีของธนาคารกลางยุโรปและธนาคารเฟด พวกเขาชื่นชอบตัวเลือกแรกมากกว่า และเลื่อนท่าทีที่สองออกไปภายหลัง แนวโน้มการชะงักตัวของภาคการผลิตในสหราชอาณาจักรชี้ว่า ธนาคารแห่งชาติอังกฤษอาจดำเนินการตามตัวอย่างของธนาคารอื่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อเส้นโค้งผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และมีการพูดคุยเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรการกักตัวโดยสมบูรณ์ตามกำหนดในวันที่ 21 มิถุนายน
หากสิ่งนี้เกิดขึ้น เงินปอนด์จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่รุนแรง แต่วันที่ 16 จะมาก่อนวันที่ 21 มิถุนายน ซึ่งในวันแรกนี้เป็นวันกำหนดการประชุมของธนาคารเฟด เหตุการณ์สำคัญของสัปดาห์สำหรับคู่ดอลลาร์เกือบทุกคู่ และเช่นเดียวกันกับในกรณีของ EUR/USD ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญแทบจะไม่สามารถสรุปไปในทิศทางเดียวกันได้ การวิเคราะห์ก็แสดงให้เห็นว่าราคาจะขยับออกด้านข้างเช่นกันในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าในกรอบ 1.4075-1.4220 ออสซิลเลเตอร์บนทั้งสองกรอบเวลาให้สัญญาณหลายทิศทาง แม้ว่าสัญญาณสีแดงจะเป็นต่อเล็กน้อยในที่นี้ ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ D1 ให้ผลลัพธ์เท่า ๆ กัน 50% ชี้ทางทิศเหนือ และ 50% ชี้ทางทิศใต้ มีเพียงอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ H4 เท่านั้นที่ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ 85% ให้สัญญาณเป็นสีแดง
เป้าหมายของตลาด คือ 1.4075, 1.4000 จากนั้นเป็นระดับต่ำสุดในโซน 1.3900-1.3925 ส่วนเป้าหมายของตลาดกระทิง 1.4185-1.4225 และ 1.4250 หลังจากขยับถึงแล้ว จะพยายามตัดทะลุแนวต้านที่ 1.4300 และทำระดับสูงสุดใหม่ของปี 2018
ในบรรดาเหตุการณ์ที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การประกาศสถิติตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักรและถ้อยแถลงของ นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ในวันอังคารที่ 15 มิถุนายน รวมถึงสถิติตลาดผู้บริโภคของประเทศในวันพุธที่ 16 มิถุนายน - USD/JPY เมื่อให้คำทำนายรายสัปดาห์ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (60%) โหวตให้กับการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์ และราคาคู่นี้ขยับขึ้นไปยังโซน 110.00-110.30 ด้านการวิเคราะห์กราฟ และออสซิลเลเตอร์ 65% รวมถึงอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ H4 และ D1 เห็นด้วยกับแนวโน้มดังกล่าว
นักวิเคราะห์ 40% ที่เหลือ รวมถึงการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 คาดว่าราคาคู่นี้จะขยับลงมายังแนวรับที่ 108.00-108.35 แนวรับถัดไปที่สำคัญ คือ 107.50
เมื่อปรับมาเป็นการคาดการณ์รายเดือน ภาพรวมเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะกระจกสะท้อนกลับ ในที่นี้ 60% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี ส่วน 40% ที่เหลืออยู่ข้างฝั่งตลาดกระทิง แต่มีเพียงครึ่งหนึ่งจากจำนวนนี้เท่านั้นที่เชื่อว่าราคาจะสามารถขยับขึ้นเหนือระดับ 111.00 และทำระดับสูงสุดใหม่ของวันที่ 31 มีนาคมได้สำเร็จ
สำหรับเหตุการณ์ที่สำคัญในสัปดาห์นี้ เราอาจเน้นถึงการตัดสินใจของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย และการแถลงข่าวหลังจากนั้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความเป็นไปได้ที่นโยบายทางการเงินของธนาคารจะมีการเปลี่ยนแปลงจนถึงส่งผลกระทบที่สำคัญต่อตลาดนั้นแทบเป็นศูนย์
- คริปโตเคอเรนซี ผู้เชี่ยวชาญจาก Goldman Sachs ได้ปรับลดเรตติ้งบิทคอยน์จากทองคำมาเป็นทองแดง พวกเขามองว่า ยังเป็นเรื่องยากที่จะมองเหรียญนี้เทียบกับทองคำ เนื่องจากบิทคอยน์ไม่มีการสนับสนุนที่ทรงพลังเหมือนโลหะมีค่าชนิดนี้ นายเจฟ เคอร์รี ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าโภคภัณฑ์อธิบายว่า ความผันผวนของเหรียญนี้มีความใกล้เคียงกับธรรมชาติของราคาทองแดงที่แกว่งตัวในตลาดโลก
ก่อนหน้านี้ มุมมองที่คล้ายกันเป็นของผู้เชี่ยวชาญจาก JPMorgan เช่นกัน ซึ่งพวกเขามองคริปโตเคอเรนซีเป็นสินค้าโภคภัณฑ์แบบวัฎจักร ดังนั้นจึงไม่สามารถสู้กับโลหะมีค่าหรือเงินดั้งเดิมได้ บริษัทเพื่อการลงทุนต่างตระหนักถึงสิ่งนี้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ พอร์ตการลงทุนของพวกเขาจึงประกอบด้วยบิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์
มุมมองในทางตรงกันข้ามของนักธนาคารเป็นของ นายไทเลอร์ วิงเคิลโวส ซีอีโอตลาดแลกเปลี่ยนคริปโต Gemini และเศรษฐีพันล้านบิทคอยน์ เขาเชื่อว่า บิทคอยน์ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของพัฒนาการของมัน “บิทคอยน์ คือ ทองคำ 2.0” เขากล่าว “และมูลค่ารวมในตลาดอาจเกิน $10 ล้านล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับทองคำ ในขณะนี้ราคาอยู่ที่ระดับ $1 ล้านล้านดอลลาร์ กล่าวคือ การเติบโตอาจเพิ่มขึ้นอย่างน้อยอีก 10 เท่า”
ในความเห็นของเขา แม้แต่อัตราแลกเปลี่ยนที่ประมาณ $35,000 ก็เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการเข้าลงทุนในระยะยาว ด้วยมูลค่ารวมที่ $10 ล้านล้านดอลลาร์ 1 BTC จะมีมูลค่า $500,000 และสิ่งนี้อาจเกิดขึ้นภายในทศวรรษปัจจุบันหรือบางทีอาจจะเป็นในอีก 5 ปีข้างหน้า
“เราจะถือต่อไปจนถึง $500,000 เป็นอย่างน้อย และแม้กระนั้น เราจะไม่ต้องขายสินทรัพย์นี้ เพราะว่ามันอาจสามารถใช้กู้ยืม ใช้วางเป็นหลักประกัน ฯลฯ” เขากล่าวเสริม และจากนั้นเขาก็เริ่มฝันต่อไปโดยอ้างว่า บิทคอยน์อาจถูกใช้งานเป็นธุรกรรมระหว่างดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในอนาคต “บิทคอยน์คือโครงการที่มีวิวัฒนาการและสามารถบรรลุอะไรได้อีกมาก มันอาจกลายเป็นสกุลเงินดิจิทัลสำรองของโลก หรือแม้แต่ของหลายดาวเคราะห์เมื่อเราไปถึงดาวอังคาร”
การคาดการณ์ (หรือการไม่คาดการณ์) โดยเศรษฐีพันล้านอีกท่านหนึ่ง คือ นายมาร์ค ลาสรี ผู้ก่อตั้ง Avenue Capital Management ดูจะมีความพอดีมากกว่า เขามองว่าตลาดคริปโตกำเนิดขึ้นมาแล้ว และไม่มีอะไรมาข่มขู่มันได้ การเติบโตที่รวดเร็วของบิทคอยน์ในปี 2021 นั้นเกินความคาดหมายของเขา “ถ้าพูดตามตรง ผมไม่รู้หรอกว่าบิทคอยน์จะไปทางไหน” เขายอมรับ “ผมพอมองออกว่าทำไมมันจะขยับขึ้นถึง $100,000 แต่ผมก็เข้าใจได้ว่าทำไมมันถึงจะลงไปที่ $20,000 ได้เช่นกัน”
คงเป็นเรื่องยากที่จะเถียงกับเขาในเรื่องนี้ อย่างน้อยในสถานการณ์ปัจจุบัน การเคลื่อนไหวใด ๆ ของทองคำดิจิทัลนี้ล้วนเกิดขึ้นได้ จึงทำให้นึกถึงการคาดการณ์สองการคาดการณ์ดังนี้:
: ของนักวิเคราะห์บริษัท Fundstrat ของอเมริกา ซึ่งชี้ว่า แม้ราคาจะขยับลงในเดือนพฤษภาคม บิทคอยน์อาจกลับขึ้นสู่ระดับ $50,000 ในอนาคตอันใกล้
- และนายนิโคเลาส์ ปานีเกิร์ตโซกลู นักยุทธศาสตร์ของ JPMorgan ผู้มั่นใจว่าราคาปัจจัยพื้นฐานที่เหมาะสมของบิทคอยน์อยู่ในช่วง $24,000- $36,000
***
และในบทสรุป มาถึงส่วนคริปโตไลฟ์แฮ็คของเราเหมือนเช่นเคย ซึ่งในสัปดาห์นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับคริปโตเคอเรนซีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเงินพันธบัตรทั่วไปด้วย เรากำลังพูดถึงโอกาสในการเพิ่มเงินของคุณเป็นเงินจำนวนมากโดยการเข้าร่วมในกิจกรรมล็อตเตอรีที่จัดขึ้นโดยโบรกเกอร์ NordFX โดยมีรางวัลทั้งหมด 100 รางวัล มูลค่ารวมกว่า $100,000 และการจับรางวัลครั้งแรกจะมีขึ้นในสองสัปดาห์ข้างหน้า วันที่ 1 กรกฎาคม ดังนั้น คุณจึงยังพอมีเวลาที่จะเข้าร่วม โดยรายละเอียดทั้งหมดมีให้บริการบนเว็บไซต์ NordFX
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ