อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:
- EUR/USD เมื่อทำการวิเคราะห์ในสัปดาห์ที่แล้ว นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (60%) สนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 85% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ ได้โหวตให้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น และ EUR/USD จะขยับลดลงไปยังระดับต่ำสุดของวันที่ 18 มิถุนายนที่ 1.1845 การคาดการณ์ดังกล่าวปรากฏว่าถูกต้องโดยสมบูรณ์ และราคาคู่นี้ได้ขยับถึงเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่วันพุธที่ 30 มิถุนายน แต่ดอลลาร์ไม่หยุดแค่นั้น และดัชนี DXY ทำระดับสูงสุดใหม่ในรอบสามเดือนเมื่อวันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม ที่ 92.699
การแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์มาจากความคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะต้องบังคับให้ธนาคารเฟดเร่งแผนลดมาตรการช่วยเหลือทางการเงินและกระตุ้นสินเชื่อ (มาตรการ QE) และตลาดก็ได้คาดการณ์สถิติตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีกำหนดประกาศเมื่อวันศุกร์ และส่งผลผลักดันให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอีก
จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ชี้ว่า จำนวนตำแหน่งงานใหม่ที่สร้างขึ้นนอกภาคการเกษตรในสหรัฐฯ (Nonfarm Payrolls) ปรากฏว่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 150,000 ตำแหน่ง โดยอยู่ที่ 850,000 แทนที่เดิมคาดการณ์คือ 700,000 คู่ EUR/USD ขยับลดลงต่อ แต่เมื่อราคาขยับลงมาถึง 1.1805 ก็กลับตัวอย่างไม่คาดคิด และปรับตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เหตุผลเบื้องหลังคือการประกาศดัชนีตัวที่สอง อัตราว่างงานที่ควรจะลดลงจาก 5.8% เป็น 5.7% แต่ในทางกลับกัน กลับเพิ่มขึ้นเป็น 5.9%
ผลลัพธ์นี้แสดงถึงการฟื้นตัวที่อ่อนแอในตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ความคาดหวังของนักลงทุนเกี่ยวกับการตรึงนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟดจึงเริ่มซบเซาลง และสิ่งนี้ยิ่งช่วยเพิ่มความต้องการในความเสี่ง ดัชนี Dow Jones ขยับขึ้นมา รวมถึง S&P500 และ Nasdaq Composite ทำระดับสูงสุดอีกครั้ง ด้านดัชนี DXY ลดลงมา 92.24 และ EUR/USD ปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.1863 - GBP/USD ความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์เดลตากำลังส่งผลเป็นแรงกดดันต่อเงินปอนด์ นักลงทุนไม่พอใจกับสถิติ GDP สหราชอาณาจักรในไตรมาสที่ 1 เท่าไรนัก ซึ่งปรากฏว่าแย่กว่าการคาดการณ์ (-1.6% จาก -1.5%)
ในส่วนภาวะเงินเฟ้อ คำแถลงของ นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม ได้เน้นย้ำว่าภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้นเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น เพราะเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรกำลังกลับมาสู่ระดับเฉลี่ยและมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว การประกาศนี้ส่งผลเป็นแรงกดดันเพิ่มขึ้นต่อเงินปอนด์ และถ้าไม่ใช่เพราะสถิติการว่างงานของฝั่งสหรัฐฯ ที่น่าผิดหวังเช่นกัน คู่ GBP/USD อาจจะได้ทดสอบแนวรับที่ 1.3670 ไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง แนวโน้มขาลงหยุดอยู่ที่ระดับ 1.3730 และตลาดปิดที่ 100 จุดด้านบนที่ 1.3830 - USD/JPY ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นประกาศดัชนี Tankan ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ดัชนีนี้สะท้อนถึงสภาพธุรกิจโดยรวมสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศ ผลลัพธ์ที่มากกว่า 0 จะถือว่าเป็นปัจจัยในทางบวกต่อ JPY ในขณะที่ผลดัชนีที่ต่ำกว่า 0 จะถือว่าเป็นผลลบ ดัชนีนี้คาดการณ์ว่าจะขึ้นมาที่ 15 จาก 5 ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2021 ทั้งนี้ ดัชนี Tenkan เพิ่มขึ้นจริง แต่ไม่ถึง 15 และเพิ่มขึ้นมาที่ 14 แต่การเติบโตหรือตัวเลขดังกล่าวไม่ส่งผลต่อคู่ USD/JPY แต่อย่างใด เพราะไม่ได้รับอิทธิพลสำคัญจากแนวโน้มผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดลง โดยทั่วไปแล้ว ราคาคู่นี้ได้คัดลอกตามรอยสิ่งที่เกิดขึ้นกับดัชนี DXY ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และราคาก็ขยับขึ้น โดยราคาตัดผ่านแนวต้านสำคัญที่ 111.00 และขึ้นมาถึง 111.65 ใกล้กับระดับสูงสุดของวันที่ 24 มีนาคม 2020 ที่ 111.70 จากนั้นดอลลาร์ก็อ่อนค่าลง และตามมาด้วยคู่นี้เช่นกัน ทั้งนี้ราคาปิดตลาดเหนือระดับสำคัญที่ 111.00 โดยปิดที่ 111.05
- คริปโตเคอเรนซี บทวิเคราะห์ซึ่งเดิมให้ไว้เมื่อเจ็ดวันที่แล้วระบุว่า “มีความเป็นไปได้สูงที่การต่อสู้กันระหว่างฝั่งตลาดกระทิงและหมีในบริเวณ $30,000 จะดำเนินต่อไป” นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ราคาลงมาต่ำสุดที่ระดับ $30,200 จากนั้นฝั่งกระทิงก็ดันคู่ BTC/USD ขึ้นไปยัง $36,590 แต่พวกเขาไม่สามารถรักษาราคาได้เหนือระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ $36,000 และราคาบิทคอยน์ก็ปรับลดลงมาที่ $32,700 เมื่อวันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม
การขาดชัยชนะที่ชัดเจนจากทั้งสองฝั่งเป็นผลมาจากภูมิหลังข่าวที่ค่อนข้างเงียบสงบ เราจะนำเสนอข่าวเรื่องราวที่พอสังเกตได้ ดังนี้:
- มีข่าวลือว่าประเทศปารากวัยอาจเป็นประเทศถัดไปจาก เอล ซาวาดอร์ ที่รองรับบิทคอยน์ในฐานะเงินตราที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม จากนั้นมคำชี้แจงว่า วัตถุประสงค์ของร่างกฎหมายที่จะเข้าสภาในวันที่ 14 กรกฎาคม นั้นแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง และเป็นไปเพื่อควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ใช่การเปลี่ยนบิทคอยน์ให้เป็นสกุลเงินของชาติแต่อย่างใด
- ความหวาดวิตกหลังจากการสั่งห้ามขุดเหรียญในจีนค่อน ๆ คลี่คลายลง ในจีนนั้น รัฐบาลได้สั่งห้ามบริษัทพลังงานไม่ให้ส่งกระแสไฟฟ้าให้กับนักขุดเหรียญ ในทางทฤษฎี เหตุการณ์นี้น่าจะส่งผลให้แฮชเรตลดลงเป็นศูนย์ในจีน แต่นักขุดเหรียญบางส่วนพยายามที่จะประคองกิจการต่อไปโดยใช้โรงงานไฟฟ้าพลังน้ำของเอกชนขนาดเล็ก ในขณะที่บริษัทขุดเหรียญอีกกลุ่มหนึ่งย้ายฐานการขุดเหรียญไปที่สหรัฐฯ และบางแห่งก็ย้ายไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น คาซัคสถาน เป็นต้น ข่าวนี้ส่งผลให้ ประธานาธิบดีคาซัคสถานลงนามในกฎหมายที่จะบังคับให้มีการชำระเงินเพิ่มเติมสำหรับกระแสไฟฟ้าที่นำไปใช้ในการขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี ซึ่งอาจส่งผลลบต่อความน่าดึงดูดของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมนี้
- Ark Invest ซึ่งบริหารงาน โดยเคธี วูดส์ คือบริษัทลำดับที่เก้าที่ยื่นใบสมัครต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เพื่อจะขอเปิดกองทุนการซื้อขายบิทคอยน์ (ETF)
- อ้างอิงจาก Chainalysis จำนวนนักลงทุนในเงินคริปโตในประเทศอินเดียเพิ่มขึ้นเป็น 15 ล้านคน และการลงทุนในคริปโตเคอเรนซีในช่วงปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจาก $200 ล้านดอลลาร์ เป็น $40 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นการเติบโต 20,000%
- Mircea Popescu กูรูตลาดคริปโตและหนึ่งในผู้ถือ BTC จำนวนมากที่สุด ชายวัย 41 ปีคนนี้จมน้ำเสียชีวิตในคอสตาริกา เขาเป็นที่รู้จักในฐานะบล็อกเกอร์และอ้างตัวว่าเป็น “นักเขียนนิยายอีโรติกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ชุมชนคริปโตขนานนามให้เขาเป็น “อัจฉริยะผู้ชั่วรายของผู้ทุ่มสุดตัวกับบิทคอยน์” “บิดาแห่งความเป็นพิษต่อบิทคอยน์” และ “ยักษ์ใหญ่ผู้นอนหลับ ผู้สามารถพาราคาบิทคอยน์เป็นศูนย์ และคงราคาได้ระยะหนึ่ง” จำนวนเหรียญที่แท้จริงที่เขาเป็นเจ้าของอาจจะอยู่ที่ 50,000-300,000 BTC ทำให้เขาเป็นผู้ถือคริปโตเคอเรนซีรายใหญ่มากที่สุดคนหนึ่งในโลก ขณะนี้ บิทคอยน์จำนวนมหาศาลดังกล่าวน่าจะหายไปแล้วตลอดกาล
และมาถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ นายอีลอน มัสก์ (เราไม่พูดถึงเขาไม่ได้!) บางที เศรษฐีพันล้านรายนี้อาจเล่นตลกกับบิทคอยน์ และ Dogecoin พอแล้ว เขาจึงมีงานอดิเรกใหม่ คือ BabyDoge หลังจากเขาทวีตโดยมีข้อความซ้ำ ๆ กันว่า "Baby Doge, doo, doo, doo, doo, doo, ..." มูลค่าของเหรียญนี้ได้เพิ่มขึ้นเป็น 500% ในเวลาสองสัปดาห์ และปริมาณการซื้อขายก็ขึ้นเป็นสามเท่า ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า นายมัสก์ เองได้ทำกำไรช่วง “ปั่นราคา” นั้นหรือไม่
สำหรับตลาดคริปโตโดยรวมแตกต่างไปจาก BabyDoge มูลค่ารวมในตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นตลอดสัปดาห์:: จาก $1.336 ล้านล้าน เป็น $1.381 ล้านล้านดอลลาร์ ด้านดัชนี Bitcoin Dominance Index ลดลงจาก 47.05% เหลือ 45.52%, และดัชนี BTC Crypto Fear & Greed ปรับลดลงมาในโซนความกลัวอย่างยิ่งอีกครั้งที่ประมาณ 21 จุด
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD สถิติเงินเฟ้อและตลาดผู้บริโภคในเยอรมนีและยูโรโซนดูไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก รายได้จากการท่องเที่ยวยังลดลง เนื่องด้วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา และการแยกตัวออกจากสหราชอาณาจักร โดยทั่วไปแล้ว ทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปกำลังลดลง
สำหรับฝั่งสหรัฐฯ สภาคองเกรสได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ทั้งอัตราเงินเฟ้อ จาก 1.7% เป็น 2.8% และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศในปี 2021 จาก 3.7% เป็น 7.4% IMF คาดว่า GDP สหรัฐฯ จะเติบโตขึ้น 7% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตรวดเร็วที่สุดนับตั้้งแต่ปี 1984 ในส่วนอัตราดอกเบี้ย ผู้เชี่ยวชาญ IMF มองว่า ธนาคารเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2022 หรือต้นปี 2023 นายแพทริก ฮารค์เกอร์ ประธานธนาคารเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียชี้ว่า ธนาคารฯ อาจเริ่มลดปริมาณการซื้อสินทรัพย์ (QE) ตั้งแต่ปีนี้ และยิ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นเร็วเท่าใด อัตราดอกเบี้ยจะยิ่งถูกปรับขึ้นเร็วเท่านั้นในปี 2022
ธนาคารเฟดกล่าวเสมอว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อมีการจ้างงานเต็มจำนวนเท่านั้น และหากสถิติตลาดแรงงานที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม เป็นบวก ก็จะทำให้ EUR/USD ขยับลงมายังราคาต่ำสุดของวันที่ 31 มีนาคม ที่ 1.1700 อย่างไรก็ตาม แทนที่จะลดลง อัตราว่างงานกลับเพิ่มขึ้นจาก 5.8% เป็น 5.9% ในเดือนมิถุนายน จึงเป็นข้อกังขาต่อความต่อเนื่องของเทรนด์ขาลงในคู่นี้
ก่อนที่จะมีการประกาศสถิติการว่างงาน ผู้เชี่ยวชาญ 70% โหวตเห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี ในขณะนี้สถานการณ์ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป และ 65% คาดว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม เช่นเดียวกับอินดิเคเตอร์ 100% ของอินดิเคเตอร์และออสซิลเลเตอร์ในกรอบ H4 และ D1 ให้สัญญาณสีแดงไปจนถึงกลางวันวันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม แต่เมื่อตลาดปิดลง สัญญาณบนกรอบ H4 เริ่มมีการเปลี่ยนสีบางส่วน อินดิเคเตอร์บางตัวกลับมาเป็นสีเทากลาง และบางตัวเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ในส่วนเป้าหมายที่ใกล้ที่สุดของตลาดกระทิง คือ 1.1975 จากนั้นไปที่ 1.2000, 1.2050 และ 1.2150 ความท้าทายของเดือนกรกฎาคม คือ การทำระดับราคาสูงสุดของวันที่ 25 พฤษภาคมที่ 1.2265 ภารกิจของตลาดหมีคือการทดสอบระดับต่ำสุดที่ 1.1700 แนวรับระหว่างนี้อยู่ที่ 1.1845, 1.1800 และ 1.1765
ในส่วนปฏิทินเศรษฐกิจสำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้ดูค่อนข้างไม่มีอะไรมากนัก ในวันอังคารที่ 6 กรกฎาคม ยูโรโซนจะมีการประกาศดัชนียอดขายปลีก และในสหรัฐฯ จะมีการประกาศดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของ ISM ในภาคบริการ
- GBP/USD ไม่มีการคาดการณ์ที่เห็นพ้องกันในเรื่องอัตราเงินเฟ้อในหมู่ผู้บริหารอาวุโสของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ เห็นได้จากถ้อยแถลงที่ดูน่าเบาใจจาก นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารฯ และท่าทีในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงของ นายแอนดี ฮัลเดน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ที่เตือนภัยความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้น เราได้เขียนไว้แล้วในส่วนแรกของบทวิเคราะห์ว่า คำแถลงของนายไบเลย์นั้นส่งผลให้เงินปอนด์ตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน และราคานั้นถูก “ช่วยให้รอด” ไม่ให้ดิ่งลงหนักจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นในสหรัฐฯ ไม่เช่นนั้น เงินปอนด์น่าจะดิ่งลงตามคู่ยูโร
สำหรับคำทำนาย GBP/USD เช่นเดียวกันกับ EUR/USD มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นกัน ก่อนมีการประกาศอัตราว่างงานในสหรัฐฯ นั้น นักวิเคราะห์ 60% คาดว่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงต่อไป โดย 75% โหวตว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้นในช่วงเดือนนี้ ในส่วนการวิเคราะห์ทางเทคนิคบนกรอบ H4 ก็ให้ภาพรวมที่ผสมกันเช่นกัน แต่ด้านออสซิลเลเตอร์ 90% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บน D1 ยังคงชี้ไปยังทิศใต้ ในส่วนการวิเคราะห์กราฟบน H4 ชี้ว่า ราคาจะเติบโตขึ้นไปที่ 1.3900 และ D1 ชี้การเคลื่อนที่ในกรอบ 1.3730-1.3870
ระดับแนวรับ ได้แก่ 1.3800, 1.3730 และ 1.3670 ส่วนแนวต้าน คือ - 1.3900, 1.4000 จากนั้นเป็นโซน 1.4100-1.4165 - USD/JPY อินดิเคเตอร์สำหรับคู่นี้แทบจะไม่แตกต่างไปจากของคู่ EUR/USD และ GBP/USD แต่อย่างใด (เฉพาะในกรณีนี้ที่สีเปลี่ยนไปจากสีแดงเป็นสีเขียว) แต่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีความคงที่มากกว่า จากเดิมที่มีผู้เชี่ยวชาญ 55% โหวตว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้น และราคาคู่นี้จะขยับลง จำนวนดังกล่าวเพิ่มเป็น 75% ในส่วนการวิเคราะห์กราฟบน H4 ชี้กรอบด้านข้างที่เส้นแนวรับ/แนวต้าน 111.00 และสำหรับกรอบ D1 คาดว่าราคาจะขยับลดลงในตอนแรกไปยัง 110.40 และจากนั้นจะขึ้นมายังระดับสูงสุดของวันที่ 24 มีนาคม 2020 ที่ 111.70
เป้าหมายของตลาดหมี คือ โซน 109.75-110.100 และ 108.00-108.55 ส่วนฝั่งตลาดกระทิงจะวางเป้าขึ้นไปถึงระดับ 111.70 และจะพยายามพาราคาขึ้นไปยังระดับสูงสุดของวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2020 ที่ 112.25 - คริปโตเคอเรนซี ตามรายงานโดย Glassnode บริษัทด้านการวิเคราะห์คริปโต ความต้องการของรายสถาบันต่อบิทคอยน์กำลังลดลง หนึ่งในปัจจัยหลักที่สนับสนุนเทรนด์ขาขึ้นของ BTC คือการไหลเข้ามาของนักลงทุนรายสถาบันในกองทุน GBTC Grayscale นักวิเคราะห์ของ Glassnode เน้นย้ำว่า การลดลงของพรีเมียม GBTC และการไหลออกสุทธิจากกองทุน ETFs และงบดุล Coinbase ที่ชะงักตัวชี้ว่า ความต้องการของบิทคอยน์จากนักลงทุนรายสถาบันนั้นกำลังอ่อนแอลง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจบัน นักวิเคราะห์จาก JPMorgan ชี้ว่า “ตลาดคริปโตยังไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไรนัก แต่กระบวนการฟื้นตัวเริ่มขึ้นแล้ว” แม้ว่าบิทคอยน์จะยังคงอยู่ห่างไกลจากระดับสูงสุด คริปโตเคอเรนซีค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการทรุดตัว เช่น การขาดกิจกรรมในตลาดฟิวเจอร์สบิทคอยน์นั้นถูกอธิบายไว้โดยนักยุทธศาสตร์ JPMorgan ว่าเป็น “ปัจจัยในทางบวก” แต่ในภาพรวมระยะสั้นนั้น “ยังยากลำบากมาก”
แซม ทราบูกโค นักเทรดจาก Alameda Research ก็เชื่อว่า ตลาดบิทคอยน์เตรียมที่จะสวิงตัวขึ้นไปอีกครั้ง ในความเห็นของเขา จำนวนข่าวลบที่ประกาศออกมาล่าสุดนี้ไม่ส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐาน และมีเป้าหมายเพื่อสร้างกระแสในทางลบระยะสั้นเท่านั้น
เขาเขียนว่า ข่าวในทางลบจากจีน ความกังวลของ นายอีลอน มัสก์ เกี่ยวกับความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความเกี่ยวข้องของ MicroStrategy กับแนวโน้มขาลงของ BTC กำลังส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาในทางลบที่เกินจริง ก่อนหน้านี้ ราคาจะตอบสนองในลักษณะเดียวกันต่อการใช้ BTC ซื้อรถ Tesla และข้อความในทางบวกของนายมัสก์ “แต่ไม่มีข่าวใด ๆ เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อบิทคอยน์ ตลอดจนวิธีที่คนควรจะประเมินมันในระยะกลาง” เขาอธิบายและกล่าวเสริมว่า ราคาที่ $30,000 ควรถือว่าเป็นสัญญาณให้เข้าซื้อ
เจสัน เออร์แบน ประธานร่วมที่ Galaxy Digital กำลังรอให้ตลาดกลับขึ้นทิศเหนือเช่นกัน เขาเน้นย้ำว่าข่าวด้านลบน่าจะเหนื่อยล้าไปเองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และบิทคอยน์จะกลับมาราคาขึ้นอีกครั้ง นายเออร์แบนเชื่อว่า นักลงทุนรายสถาบันหลายรายยังไม่ได้เข้าสู่ตลาดคริปโตเนื่องด้วยความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะเป็นผู้สร้างความต้องการที่เพิ่มขึ้นให้กับ BTC ผู้เชี่ยวชาญรายนี้มองว่า “เราจะได้เห็นราคาสูงสุดใหม่ในประวัติศาสตร์ในเร็ว ๆ นี้” และอ้างว่าราคาอาจขยับถึง $70,000 ภายในสิ้นปีนี้
วินนี ลิงก์แฮม อดีตซีอีโอ Gyft และผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ Civi ก็ออกมาพูดเช่นกัน เขาเคยถูกตั้งชื่อเล่นให้เป็น “เทพแห่งการพยากรณ์” เพราะเขาเคยทำนายราคาในอนาคตของบิทคอยน์ไว้ได้อย่างถูกต้อง
คำทำนายของนายลิงก์แฮมไม่ได้ดูสดใสเสมอไป และเป้าหมายของเขามักจะดูต่ำกว่าหลายคนที่มักมีไอเดียบรรเจิด อย่างไรก็ตาม เขาก็เชื่อเหมือนกันกับใครหลาย ๆ คน ว่า บิทคอยน์มีโอกาสที่จะทำราคาขึ้นหกหลักได้ตั้งแต่ปีนี้ Oracle เขียนในบัญชีทวิตเตอร์ของเขาว่า หากราคายังคงยืนอยู่ที่ $30,000 จากนั้นเราอาจจะได้เห็นบิทคอยน์ที่ $100,000 ภายในสิ้นปีนี้
นายริคาร์โด ซาลีนาส์ ปลีเอโก เศรษฐีพันล้านซึ่งเป็นหนึ่งในสามของคนที่ร่ำรวยที่สุดในเม็กซิโกตามรายงานของ Forbes กล่าวว่า ถ้าต้องเลือกสินทรัพย์สำหรับ 30 ปีข้างหน้า “ผมจะไม่มีวันเลือกเงินสดเหม็น ๆ หรอก” และจะเลือกบิทคอยน์มากกว่า เขาเชื่อว่า บิทคอยน์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตของนักลงทุนทุกคน “นี่คือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าระหว่างประเทศ และมีการซื้อขายรอบโลกด้วยสภาพคล่องที่ยอดเยี่ยม นั่นก็เพียงพอที่จะเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตของทุกคนแล้ว”
ข้อดีหลักของบิทคอยน์ในมุมมองของเขาคือ จำนวนที่ออกมาอย่างจำกัด ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ เขาจึงไม่เชื่อใน Ethereum และอธิบายว่า การออกเหรียญได้อย่างไม่จำกัดจะนำไปสู่การลดลงของมูลค่าสินทรัพย์ที่มีอยู่
นายจิม คราเมอร์ อดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Cramer & Co และพิธีกรรายการ Mad Money ของช่อง NBC มีความเห็นในทางตรงกันข้าม เขาได้เพิ่มเงินออมในคริปโตที่มีมูลค่ารวมในตลาดเป็นอันดับสอง สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ แนวโน้มที่ดีของบิทคอยน์นั่นเองที่เป็นแรงผลักดันให้เขาซื้อ Ethereum “ผมกลับไปซื้อ Ethereum เพราะว่าบิทคอยน์นั้นยืนเหนือ $30,000” เขากล่าวอ้าง และอธิบายว่าเขาชอบเหรียญนี้มากกว่า เนื่องจาก Ethereum มีประโยชน์ต่อคนมากกว่าบิทคอยน์
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ