อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา:
- EUR/USD สถิติเศรษฐกิจมหภาคประกาศต่อเนื่องเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และตลาดแรงงาน ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ประกาศเมื่อวันอังคารที่ 13 กรกฎาคม สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนมิถุนายน และ 5.4% ตามการคำนวณรายปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 ดัชนีพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาสินค้าพลังงานและอาหารก็มีอัตราเติบโตขึ้นทำสถิตินับตั้งแต่ปี 1991 ที่ 4.5% ปีต่อปี
จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเบื้องต้นลดลง 26,000 จาก 360,000 ตั้งแต่วันที่ 4 ถึง 10 กรกฎาคม ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม เมื่อสถานการณ์โรคไวรัสโคโรนาเริ่มสะเทือนต่อเศรษฐกิจในรอบแรก เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ประกาศสถิติซึ่งชี้ให้เห็นว่าจำนวนตำแหน่งงานในประเทศเพิ่มขึ้นในรอบเดือนที่ผ่านมาที่ 850,000 ตำแหน่ง (จาก 583,000 ในเดือนพฤษภาคม)
ดัชนีราคาสินค้านำเข้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1% ในเดือนมิถุนายน เมื่อราคาสินค้านำเข้า ซึ่งไม่รวมน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมิถุนายน ดัชนีการผลิตของธนาคารเฟดสาขานิวยอร์กเพิ่มขึ้นจาก 17.4 เป็น 43.0 ในรอบเดือน และยังสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์มาก ด้านสถิติจากธนาคารเฟดซึ่งประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม ชี้ว่า การผลิตทางอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ โดยรวมเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมิถุนายนเทียบกับเดือนพฤษภาคม ซึ่งชี้ให้เห็นถึงอัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ดีของสหรัฐฯ เช่นกัน
เมื่อพิจารณาตามตรรกะ “ก่อนช่วงโควิด” ดัชนีทั้งหมดเหล่านี้น่าจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเทียบกับยูโรเพียง 50 จุดเท่านั้นในช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และราคาคู่นี้ก็ขยับในช่องด้านข้างโดยมีฝั่งตลาดหมีเป็นฝ่ายได้เปรียบในช่วงสองสัปดาห์ล่าสุด ราคาซื้อขายอยู่ในกรอบ 1.1780-1.1895 ระหว่างวันที่ 5-9 กรกฎาคม และในกรอบ 1.1770-1.1880 ระหว่างวันที่ 12-16 กรกฎาคม
ตัวเลขเหล่านี้ช่วยยืนยันภาพความประนีประนอมในหมู่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ด้านการวิเคราะห์กราฟนั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบ โดยได้คาดการณ์การเคลื่อนที่ด้านข้างในกรอบ 1.1780-1.1900 บน H4
แล้วทำไมดอลลาร์ถึงไม่แข็งค่าขึ้น? เหตุผลนั้นเป็นเพราะความลังเลและความสงสัยที่ยังคงหลอกหลอนธนาคารเฟดสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดได้กล่าวต่อหน้าคณะกรรมาธิการบริการทางการเงินของสภาคองเกรสสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ว่า ธนาคารเฟดจะไม่เร่งรีบตรึงนโยบายสินเชื่อและการเงิน และลดการซื้อสินทรัพย์ภายในกรอบมาตรการ QE เขากล่าวย้ำแบบเดียวกันในวันถัดมาต่อหน้าคณะกรรมาธิการธนาคารวุฒิสภาสหรัฐฯ
นายพาวเวลล์ตระหนักว่า อัตราเงินเฟ้อเติบโตขึ้นรวดเร็วกว่าความคาดหมาย และหากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวไปสูงเกินระดับที่ยอมรับได้ นโยบายทางการเงินจะต้องถูกจำกัดล่วงหน้าก่อนกำหนด แต่ ณ ขณะนี้ เศรษฐกิจยังคงอยู่ “ห่างไกล” จากเป้าหมายที่วางไว้ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับปัจจัยอื่น ๆ อาจเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น แต่หลังจากปัญหานี้หายไป อาจจะตามมาด้วยปัญหาอื่น ๆ ในขณะนี้ การแพร่ระบาดของภาวะ COVID-19 รอบใหม่กดดันแรงสนับสนุนต่อดอลลาร์เทียบกับค่าเงินสินค้าโภคภัณฑ์ แต่ไม่มีอะไรบอกได้ว่าตลาดจะมีพฤติกรรมอย่างไรในอนาคต ไม่มีความชัดเจนว่าการจำกัดมาตรการกระตุ้นทางการคลังล่วงหน้าจะส่งผลต่ออารมณ์ตลาดอย่างไรเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อสมาชิกในสภาคองเกรสต่างเต็มไปด้วยข้อกังขาหลายประการ นายพาวเวลล์จึงได้รับประกันกับพวกเขาว่า ธนาคารเฟดฯ จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของนักลงทุนได้ไม่ว่าในทางใด ๆ (หรือเพราะเขาอาจจะไม่อยากเอง) ทำให้คู่ EUR/USD คงตัวอยู่ในกรอบแคบ ๆ และปิดตลาดห้าวันทำการที่ 1.1805 - GBP/USD ราคาคู่นี้ล้มเหลวในการยืนเหนือแนวต้านที่ 1.3900 ตลอดช่วงสัปดาหืที่ผ่านมา เช่นเดียวกันกับคู่ EUR/USD ฝั่งตลาดหมีเป็นฝ่ายได้เปรียบเล็กน้อย โดยได้รับแรงสนับสนุนจากสถิติทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกจาสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรก็ไม่สามารถสร้างความน่าประทับใจในลักษณะเดียวกัน และแม้ว่ายอดผู้ขอใช้สวัสดิการว่างงานประจำเดือนจะลดลง 24% จาก 151,400 เหลือ 114,800 อัตราการว่างงานยังคงที่ที่ระดับเดิมคือ 4.8%(แทนที่ตัวเลขคาดการณ์ว่าจะลดลง 4.7%) นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับคลื่นการระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ ซึ่งจำนวนยอดผู้ติดเชื้อขยับขึ้นกว่า 50,000 รายต่อวัน ทำให้แม้ว่าฝั่งกระทิงจะพาราคาอยู่ในกรอบ 1.3800-1.3900 ตลอดทั้งสัปดาห์ แต่กรอบด้านล่างถูกตัดทะลุเมื่อวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม และปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.3760
- USD/JPY การทำความเข้าใจอารมณ์ของนักลงทุนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ รวมถึงอินดิเคเตอร์ด้วยเช่นกัน ในสัปดาห์ที่แล้ว ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มเกือบเท่า ๆ กัน 30% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดกระทิง 40% กับตลาดหมี และ 40% มีท่าทีเป็นกลาง ความไม่แน่นอนของผลการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทำให้ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบอย่างชัดเจน และตามที่ราคาแสดงให้เห็นในรอบห้าวันที่ผ่านมา ราคา USD/JPY ก็ขยับอย่างโกลาหลเหมือนกันกับผลการวิเคราะห์ทั้งหลาย
และเป็นไปตามที่คาดการณ์ ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นไม่มีข่าวน่าประหลาดใจใด ๆ เมื่อวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม และท่าทีที่นิ่งเฉยนี้ก็เป็นไปตามคาด เป็นอีกครั้งที่เน้นย้ำถึงชื่อเสียงของญี่ปุ่นในฐานะที่หลบภัยที่ปลอดภัยอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุน และเป็นอีกครั้งที่นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นไม่เอ่ยคำพูดที่น่าตื่นเต้นใด ๆ ในช่วงการแถลงข่าว นักลงทุนทราบดีว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ระดับกิจกรรมจะเริ่มเพิ่มขึ้นหลังจากมีคนได้รับวัคซีนมากขึ้น
สมดุลแห่งอำนาจระหว่างดอลลาร์และเงินเยนไม่ได้รับผลกระทบจากความแตกต่างของดัชนีเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ส่งผลให้ราคาคู่นี้ปิดท้ายสัปดาห์แทบจะบริเวณเดียวกันกับที่เริ่มต้นที่ 110.05 - คริปโตเคอเรนซี บิทคอยน์เริ่มเร่งตัวในช่วงปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม โดยพยายามที่จะตัดทะลุแนวต้านที่ $36,000 อย่างไรก็ตาม ความพยายามของฝั่งกระทิงไม่เป็นผลแต่อย่างใด ในขณะนี้ ความพยายามกลับมาเป็นของฝั่งตลาดหมี และเราได้เห็นภาพในทางตรงกันข้ามเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ราคา BTC/USD พยายามดิ่งลงต่ำกว่าระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ $30,000 หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยคลื่นการเทขายรอบใหญ่
ปริมาณการเทรดบนตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Coinbase, Kraken, Binance และ Bitstamp ลดลงมากกว่า 40% ในเดือนมิถุนายนตามรายงานของ CryptoCompare ปริมาณที่ลดลงมีสาเหตุมาจากราคาและความผันผวนที่ต่ำลง นอกจากนี้ การขาดหายไปของนักลงทุนรายใหญ่ที่ตอนนี้ล้วนเทรดในตลาดทั่วไป โดยพยายามที่จะทำความเข้าใจสถานการณ์ไวรัสโคโรนาและมาตรการขั้นถัดไปของหน่วยงานรัฐบาลต่าง ๆ ก็ส่งผลกระทบด้วยเช่นกัน
ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ ราคาบิทคอยน์คงอยู่ในช่วง $31,000-32,000 และตามความเห็นของ นายไมค์ โนโวกราตซ์ ผู้ก่อตั้งธนาคารคริปโต Galaxy Digital ชี้ว่านี่เป็นเพราะสหรัฐฯ เขากล่าวในความเห็นต่อ CNBC ว่า ชุมชนคริปโตของสหรัฐฯ มีท่าทีเชิงรับในตลาดจากการกำเนิดของแนวโน้มตลาดหมีในเอเชีย “เราเห็นฝั่งเอเชียขายบิทคอยน์และฝั่งสหรัฐฯ ซื้อคืน จีนประกาศสงครามกับอุตสาหกรรมคริปโตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเย็นที่กำลังมาถึง”
จริง ๆ แล้ว นี่ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่กันแน่ที่อุตสาหกรรมคริปโตได้เติบโตเป็นส่วนสำคัญของนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจในโลก เวลาจะให้คำตอบกับเรา แน่นอนว่า นายไมค์ โนโวกราตซ์ อาจถือว่าการกำจัดนักขุดเหรียญจากจีนจะเป็น “ข้อดีอย่างยิ่ง” และกล่าวว่า นโยบายทางกดขี่ของปักกิ่งจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรม แต่เมื่อพิจารณาดูจากกราฟแล้วจะเห็นว่าฝั่งที่เป็นต่อคือจีน นักลงทุนและนักเทรดหลายคนพยายามอยู่ให้ห่างจากตลาดเพราะกลัวว่าราคาจะดิ่งลงต่อ ปริมาณการเทรดเฉลี่ยต่อวันขณะนี้อยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุด 76% เมื่อขณะที่ราคาเคยอยู่เหนือ $60,000 มูลค่ารวมในตลาดคริปโตลดลงเกือบ $100 พันล้านดอลลาร์ในรอบเจ็ดวัน จาก $1,370 เหลือ $1,275 ล้านล้านดอลลาร์ และดัชนี Crypto Fear & Greed Index ไม่สามารถออกจากโซน Extreme Fear (กลัวอย่างยิ่ง) ได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน โดยผันผวนอยู่ที่ระดับ 20-22 จุด (ก่อนหน้านี้ ตลาดดูมีความสดใสมากกว่าเมื่อช่วงเดือนที่แล้ว และค่าเฉลี่ยของดัชนีดังกล่าวอยู่ที่ 33 จุด)
สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:
- EUR/USD เราได้พูดถึงข้อกังขาที่กดดันธนาคารเฟดในส่วนแรกของบทวิเคราะห์นี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจที่จะเห็นความเห็นพ้องกันในหมู่นักวิเคราะห์ ทั้งนี้ 75% ของผู้เชี่ยวชาญโหวตว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น และ EUR/USD ปรับลดลง ส่วน 25% เห็นด้วยกับเทรนด์ด้านข้าง และ 0% มองว่ายูโรจะแข็งค่ามากกว่าดอลลาร์ บางทีหลักการที่ว่า “ถ้าไม่มั่นใจก็ให้ซื้อดอลลาร์ไว้ก่อน” อาจจะเป็นจริงก็ได้
ผู้เชี่ยวชาญ Reuters 39 คน จาก 41 คน ชี้ว่า ธนาคารเฟดฯ จะจำกัดมาตรการซื้อสินทรัพย์รายเดือนที่ $120 พันล้านดอลลาร์ภายในปลายปี 2022 มีสามคนเชื่อว่าท่าทีนี้จะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ตั้งแต่ปีนี้ และมีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ว่าธนาคารฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2022 ไม่ใช่ในปี 2023 ดังนั้น การคาดการณ์ที่พ้องกันว่ามาตรการ QE จะยุติลงในปีหน้าจึงเป็นแรงสนับสนุนต่อดอลลาร์ ด้านคลื่นการแพร่ระบาด COVID-19 รอบใหม่ก็เป็นผลดีต่อดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน อย่าลืมว่าในช่วงการแพร่ระบาดนี้เอง ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมากในฐานะสกุลเงินสำรอง
ทั้งนี้ เมื่อปรับมาเป็นการวิเคราะห์ในช่วงปลายฤดูร้อน จำนวนผู้สนับสนุนว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลง และยูโรแข็งค่าขึ้นในหมู่ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นจาก 0% เป็น 50%
ด้านการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 ยังคงชี้ถึงเทรนด์ด้านข้างในกรอบ 1.1780-1.1900 โดยมีผลวิเคราะห์ที่ผสมกันบนกรอบ H4 แต่สถานการณ์นั้นเปลี่ยนไปบนกรอบ D1 ซึ่งในที่นี้ อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ 85% ชี้ไปยังทิศใต้
เป้าหมายที่ใกล้ที่สุดของฝั่งกระทิง คือ 1.1880-1.1900 และถัดไปคือ 1.1975-1.2000, 1.2050 และ 1.2150 ความท้าทายก่อนปิดท้ายฤดูร้อนคือการทำระดับสูงสุดของวันที่ 25 พฤษภาคมที่ 1.2265 ภารกิจของตลาดหมีคือการทดสอบระดับต่ำสุดของเดือนมีนาคมที่ 1.1700 โดยมีแนวรับใกล้ที่สุดก่อนถึงเป้าหมายดังกล่าวที่ 1.1780
ในส่วนปฏิทินเศรษฐกิจสำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เหตุการณ์ที่น่าสนใจคือผลการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 0% ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการแถลงข่าวของผู้บริหารธนาคารฯ และความเห็นเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน สำนักข่าว Reuters มองว่า ธนาคารกลางยุโรปจะต้องตัดสินใจในที่ประชุมวันพฤหัสบดีว่าเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อใหม่จะเป็นอย่างไรในอนาคต หากธนาคารกลางฯ จริงจังกับการปรับระดับเงินเฟ้อให้ขึ้นเป็น 2% จริง (เทียบกับเป้าหมายเดิม คือ ใกล้แต่ไม่ถึง 2%) มาตรการซื้อสินทรัพย์ขนานใหญ่ก็จะมีแนวโน้มที่จะบังคับใช้ต่อไป แต่หากฝั่ง “คุมเข้มนโยบาย” ยืนกรานให้ลดมาตรการต่าง ๆ นักลงทุนก็จะสนใจว่า นางคริสติน ลาการ์ด จะสามารถหาข้อสรุปที่ประนีประนอมได้หรือไม่
นอกจากนี้จะมีการประกาศดัชนี Markit PMI ในเยอรมนีและยูโรโซนหนึ่งวันหลังจากการประชุม คือ วันที่ 23 กรกฎาคม ซึ่งเราจะได้ทราบถึงอัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรป - GBP/USD ผู้เชี่ยวชาญค่อนข้างมีทัศนคติที่ดีต่ออนาคตของเงินปอนด์มากกว่ายูโร 25% ของผู้เชี่ยวชาญโหวตว่า GBP/USD จะขยับขึ้นในอนาคตอันใกล้ (ตรงกันข้ามกับ 0% สำหรับ EUR/USD) เช่นเดียวกันกับการคาดการณ์ในรอบหนึ่งเดือนครึ่งเช่นกัน 65% เห็นด้วยกับแนวโน้มกระทิง (ด้านยูโรมีเพียง 50%)
ในส่วนการวิเคราะห์ทางเทคนิค มีสัญญาณเล็กน้อยว่าราคาคู่นี้อาจขยับขึ้น อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ 75% ให้สัญญาณสีแดงบนกรอบ H4 (ส่วน 25% ที่เหลืออยู่ในโซน oversold) ด้านอินดิเคเตอร์ 85% และออสซิลเลเตอร์ 75% ชี้ไปทางทิศใต้ในกรอบ D1
ระดับแนวรับ ได้แก่ 1.3740, 1.3700, 1.3670 และ 1.3600 ส่วนระดับแนวต้าน คือ 1.3800, 1.3840 และ 1.3900 เป้าหมายถัดไปของฝั่งกระทิงคือกรอบด้านบนของช่องระยะกลางที่ 1.3700-1.4000 - USD/JPY เช่นเดียวกับในกรณีของสองคู่ก่อนหน้านี้ ในกรณีคู่นี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) คาดว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น และมีความพยายามรอบใหม่ของราคาที่จะยืนเหนือระดับ 111.00 การคาดการณ์ดังกล่าวกลับขัดแย้งกับสัญญาณจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคบนกรอบ D1 ซึ่งในส่วนนี้ออสซิลเลเตอร์ 65% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 80% ให้สัญญาณสีแดง
สำหรับการวิเคราะห์กราฟให้ภาพการเคลื่อนที่ของคู่นี้ในกรอบ 109.70-110.40 บน H4 ตามมาด้วยราคาจะขยับลงมายังแนวรับที่ 109.30 ช่วงของความผันผวนมากกว่าเล็กน้อยบน D1 ซึ่งในตอนแรกราคาอาจขยับลงมายังโซน 108.65-109.30 และจากนั้นจะขยับขึ้นไปยังแนวรับที่ 111.00 และขึ้นต่อไปยังระดับสูงสุดของวันที่ 2 กรกฎาคมที่ 111.65 - คริปโตเคอเรนซี เราได้ให้ตัวเลขประมาณการที่สำคัญของตลาดดิจิทัลในส่วนแรกของบทวิเคราะห์ฉบับนี้ และตัวเลขต่าง ๆ นั้นดูไม่สวยงามเท่าใดนัก ทั้งนี้ มันอาจจะเร็วเกินไปที่จะพูดถึง “ฤดูหนาวเงินคริปโต” แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเรียกสถานการณ์ในปัจจุบันว่าเป็น “ภาวะแช่แข็งของคริปโต” กราฟ BTC/USD ยังคงก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีแนวต้านขาลงและแนวรับแนวนอนที่บริเวณ $31,000 ส่วนนักวิเคราะห์ 65% โหวตว่าราคาจะตัดทะลุในช่วงเดือนที่จะถึงนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า หากราคาล้มเหลวที่จะยืนเหนือแนวดังกล่าว เราอาจมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นราคาดิ่งลงไปยัง $10,000 ภายในสิ้นปีนี้
แต่ก็เช่นเคยที่ปรากฏมุมมองในทางตรงกันข้ามเช่นกัน เช่น นายวิล เคลเมนต์ นักวิเคราะห์ชั้นนำเชื่อว่า บิทคอยน์พร้อมแล้วสำหรับการเคลื่อนที่ราคารอบใหญ่ เขาเผยแพร่กราฟของเขาบนทวิตเตอร์ (มีผู้ติดตาม 136,000 คน) พร้อมอินดิเคเตอร์ที่ชี้ว่าราคากำลังออกจากช่องแคบ ๆ นี้ และเขาก็มีทัศคติที่ดีต่อทิศทางที่บิทคอยน์จะขยับต่อจากนี้ นายเคลเมนต์ชี้ว่า ตลาดกำลังอยู่ในช่วงสะสมกำลัง และนักลงทุนรายใหญ่กำลังเข้าซื้อบิทคอยน์อย่างคึกคัก ปริมาณเหรียญของเหล่า “ปลาวาฬ” เพิ่มขึ้น 65,429 BTC ในสัปดาห์ที่แล้ว และอาจมีภาวะขาดแคลนเหรียญบิทคอยน์ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากผู้เล่นรายใหญ่มักจะถือสินทรัพย์ไว้เพื่อวัตถุประสงค์ระยะยาวเป็นหลัก
ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ยังเน้นย้ำด้วยว่า บิทคอยน์มีจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้นด้วยเช่นกัน ในขณะที่ตัวเลขดังกล่าวมักจะลดลงหลังจากราคาแตะถึงระดับสูงสุด แต่ขณะนี้ตัวเลขนี้ไม่ลดลงแต่อย่างใด และยังเป็นอีกหนึ่งข้อสนับสนุนของแนวโน้มการเติบโตของ BTC ที่ใกล้จะมาถึง
นายไมค์ แม็คโกลน อีกหนึ่งผู้เชี่ยวชาญจาก Bloomberg เห็นด้วยกับความเห็นของนายเคลเมนต์ เขามองว่าบิทคอยน์ได้ขยับถึงระดับที่มันสามารถทะยานขึ้นไปยัง $100,000 ได้ “บิทคอยน์เตรียมจะกลับสู่เทรนด์กระทิงอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และราคาน้ำมันดิบก็เตรียมที่จะเข้าสู่เทรนด์ขาลง” เขาเขียนบนทวิตเตอร์ของเขา ผู้เชี่ยวชาญรายนี้มั่นใจว่า การเติบโตของบิทคอยน์จะ “ส่งผลที่ตามมาต่อเศรษฐกิจขนานใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ” ในครั้งนี้ ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายแม็คโกลนทำนายการทะยานขึ้นอย่างสุดโต่งของสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เขาเคยทำนายว่าความผันผวนของบิทคอยน์สามารถเพิ่มช่องว่างระหว่างราคาเหรียญและทองคำได้ “หลายร้อยเท่า”
ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบว่าคำทำนายใดจะถูกต้องแม่นยำ แต่มีหลายวิธีด้วยกันในการทำเงินกับคริปโตเคอเรนซีโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อเหรียญแต่อย่างใด แต่ทั้งสองวิธีนี้อาจถือว่าเป็นธุรกิจที่ “สกปรก” และนี่ก็เป็นเรื่องราวไลฟ์แฮ็คคริปโตของเราในครั้งนี้
เรื่องแรกคือ คุณอาจลองพยายามช่วย นายเจมส์ ฮาวเวลส์ นักวิศวกรไอทีชาวอังกฤษค้นกองขยะ เพราะเขาเคยโยนฮาร์ดไดรฟ์ที่บรรจุเหรียญ 7,500 BTC ทิ้งไปเมื่อแปดปีที่แล้วเพราะสับสนกับอุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่ง เขาได้ร้องขออนุญาตหน่วยงานทางการเพื่อค้นดูกองขยะในพื้นที่เพื่อหาทรัพย์สินของเขาแต่ถูกปฏิเสธ และขณะนี้ เขาได้พัฒนาแผนการค้นหาใหม่โดยใช้สุดยอดระบบ ทั้งเครื่องแสกนเอ็กซเรย์ และระบบปัญญาประดิษฐ์ อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการเหล่านี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก และหากมีใครก็ตามมาช่วยหนุ่มวิศวกรรายนี้หาฮาร์ดไดรฟ์ให้เจอ หรืออาจจะแค่ขุดเจอก็ตาม เขาจะให้ส่วนแบ่งกับคุณด้วยอย่างแน่นอน ในขณะนี้ เหรียญของเขามีมูลค่ามากกว่า $230 ล้านดอลลาร์ และคุณอาจต้องคุ้ยขยะ “แค่” 300,000-400,000 ตันเท่านั้นเอง
อีกหนึ่งช่องทางหารายได้ “สกปรก” มาจาก Reuters ซึ่งรายงานว่า นักศึกษาที่ Ulsan National Institute of Science and Technology (เกาหลีใต้) ทำรายได้มาจาก...การไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งทุกครั้งที่พวกเขาไปเข้าห้องน้ำ เขาจะได้รับเงินดิจิทัลที่เรียกว่า Ggoo
หนึ่งในศาสตราจารย์ของสถาบันนี้ได้พัฒนาพืชชนิดหนึ่งที่ใช้ของเสียจากนักศึกษาในการผลิตก๊าซชีวภาพ ซึ่งสามารถแปลงสภาพเป็นก๊าซมีเธนได้ถึง 50 ลิตร ปริมาณนี้สามารถสร้างกระแสไฟได้ 0.5 kW ซึ่งเท่ากับต้นทุนที่ทำให้รถขับเคลื่อนไปได้ 1.2 กิโลเมตร
โครงการริเริ่มทางวิทยาศาสตร์นี้ทำให้นักศึกษาได้รับเงิน 10 Ggool ต่อวัน เหรียญได้รับการยอมรับในการซื้อของในมหาวิทยาลัย และพลังงานที่ผลิตขึ้นมาจากความช่วยเหลือของนักศึกษาก็ถูกนำมาใช้กับหลากหลายอุปกรณ์ไฟฟ้าในเขตมหาวิทยาลัย
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ