EUR/USD: ยูโรโซนเปลี่ยนท่าทีกับ QE
- การประชุมของธนาคารกลางยุโรปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้โดยไม่มีข่าวน่าประหลาดใจใด ๆ อัตราดอกเบี้ยคงเดิมที่ 0% ผู้บริหารธนาคารฯ เสนอให้ลดมาตรการกระตุ้นทางการเงิน (QE) แบบ “ผ่อนคลาย” นางคริสติน ลาการ์ด ผู้ว่าการธนาคารฯ กล่าวว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของการ “จำกัด” แต่เป็นการ “เปลี่ยนการกระทำ” และแนวโน้มการซื้อสินทรัพย์ในไตรมาสที่ 4 ที่ลดลงนั้นเป็นเพียงการกลับคืนการตัดสินใจของเดือนมีนาคมที่ได้เพิ่มการซื้อสินทรัพย์เท่านั้น ดังนั้น ธนาคารกลางยุโรปยังคงยืดหยุ่นและอาจเปลี่ยนแปลงอัตราการซื้อสินทรัพย์ได้ตั้งแต่ต้นปีหน้าหากมีความจำเป็น
มีแนวโน้มที่ธนาคารกลางยุโรปจะไม่ดำเนินมาตรการที่ฉับพลันใด ๆ จนกว่าจะถึงการประชุมในเดือนธันวาคม ซึ่งจะเริ่มเห็นแผนที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับการจำกัดมาตรการ QE ในระหว่างนี้ ธนาคารฯ จะติดตามพัฒนาการของสถานการณ์ ซึ่งผลการเลือกตั้งรัฐสภาในเยอรมนี ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากนี่จะเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2005 ที่ นางอังเกลา แมร์เคิล ไม่ได้เป็นผู้นำพรรคคริสเตียนเดโมแครต
นอกเหนือไปจากการตัดสินใจที่จะ “เปลี่ยนท่าที” แล้ว ธนาคารกลางยุโรปยังได้ปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์ GDP ยูโรโซน ปี 2021 จาก 4.6% เป็น 5.0% และอัตราเงินเฟ้อจาก 1.9% เป็น 2.2% ในขณะเดียวกัน ธนาคารฯ คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของราคาผู้บริโภคจะลดลงเป็น 1.7% ในปี 2022 และ 1.5% ในปี 2023 ซึ่งชี้ให้เห็นว่านโยบายผ่อนคลายทางการเงินอย่างยิ่งนี้จะมีผลเป็นเวลาอีกยาวนาน และไม่มีความจำเป็นที่จะพูดถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนปลายปี 2023 ถึงต้นปี 2024
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นผลดีกับฝั่งกระทิงของคู่ EUR/USD ในขณะที่นโยบายทางการเงินนั้นเข้าข้างฝั่งตลาดหมี ยังไม่ปรากฏสัญญาณที่ชัดเจนใด ๆ จากธนาคารกลางยุโรป และไม่น่าจะมีสัญญาณใดจนกว่าจะถึงเดือนธันวาคม ดังนั้น ตลาดจะยังคงจับตารอดูฝั่งธนาคารเฟดของสหรัฐฯ เพื่อตัดสินใจว่าจะหันไปหาสกุลเงินไหนดีกว่ากัน
ในข้างต้นนี้เราได้พูดถึงระยะยาวอันยาวนานของมาตรการ QE ในฝั่งยุโรป ด้านธนาคารเฟดสหรัฐฯ อาจเริ่มปรับลดมาตรการ QE แล้วตั้งแต่ปีนี้ และจะยุติลงภายในปี 2022 มุมมองนี้เป็นของฝั่งล็อบบี้นโยบายคุมเข้มในหมู่ผู้บริหารธนาคารเฟดสหรัฐฯ นางมิเชล โบว์แมน กรรมการ FOMC ได้เน้นย้ำโดยเฉพาะถึงสถิติการจ้างงานที่น่าผิดหวังของเดือนสิงหาคมที่จะไม่เป็นตัวขัดขวางธนาคารเฟด
สมดุลของแรงทั้งสองด้านทำให้ฝั่งดอลลาร์ได้เปรียบ และน่าจะพาราคาคู่ EUR/USD ขยับลงทิศใต้ ในขณะนี้มีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 50% เห็นด้วยกับแนวโน้มดังกล่าว รวมถึงการวิเคราะห์กราฟ ราคาปิดตลาดสัปดาห์ที่แล้วที่ 1.1810 และขณะนี้คาดการณ์ว่าราคาจะมีแนวรับที่ระดับ 1.1800, 1.1750, 1.1705 และ 1.1665 ส่วนนักวิเคราะห์ 15% คาดว่าราคาจะแข็งตัวในโซน 1.1800 ในขณะที่ 35% ที่เหลือกำลังหันไปทางทิศเหนือ ระดับแนวต้าน ได้แก่ 1.1845, 1.1908, 1.1975, 1.2025 และ 1.2100
อินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ให้ผลลัพธ์ดังนี้ ออสซิลเลเตอร์ 50% หันไปทางทิศเหนือ ส่วน 10% ลงทิศใต้ และอีก 40% ที่เหลือให้สัญญาณเป็นกลาง ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์ 35% ให้สัญญาณสีเขียว และ 65% ให้สัญญาณสีแดง
ปฏิทินเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้านี้ดูค่อนข้างเต็มไปด้วยภารกิจ และสถิติที่สำคัญทั้งหมดจะโฟกัสที่ตลาดผู้บริโภคของสหรัฐฯ โดยจะมีการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคในวันอังคารที่ 14 กันยายน ดัชนีการค้าปลีกในวันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย University of Michigan จะประกาศในวันถัดมา
GBP/USD: การเคลื่อนที่พร้อมผลลัพธ์แทบเป็นศูนย์
- หลังจากกราฟทำรูปพาราโบลาโดยมีระดับต่ำสุดที่ 1.3725 เมื่อวันศุกร์ที่ 10 กันยายน คู่ GBP/USD ได้กลับสู่เกือบระดับเดียวกันกับที่เริ่มต้นเมื่อวันจันทร์ (1.3865) และปิดตลาดห้าวันทำการที่ 1.3830 ซึ่งราคาไม่เคยตัดทะลุออกจากกรอบตรงกลางที่ 1.3700-1.4000 ซึ่งราคาผันผวนมาตลอดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021
หากราคายังคงขยับขึ้นเหนือต่อไป (ซึ่งมีนักวิเคราะห์ 60% เห็นด้วยในขณะนี้) ระดับแนวต้านที่ใกล้ที่สุดจะอยู่ที่ 1.3909, 1.3960, 1.4000 และ 1.4100 ฝั่งตลาดกระทิงตั้งเป้าที่จะพิชิตระดับสูงสุดของวันที่ 1 มิถุนายนที่ 1.4250 และในกรณีที่เกิดสถานการณ์ในทางตรงกันข้าม (มีผู้เชี่ยวชาญ 30% โหวตให้กับแนวโน้มนี้) โซนแนวรับจะอยู่ที่ 1.3730, 1.3665 และ 1.3600 ส่วนนักวิเคราะห์ 10% ที่เหลือโหวตให้กับเทรนด์ด้านข้าง
ในส่วนออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 มี 70% ให้สัญญาณสีเขียว 15% ให้สัญญาณตรงกลาง และอีก 20% ชี้ว่าราคาอยู่ในช่วง overbought ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์ให้ผลลัพธ์ 9-1 โดยฝั่งสีเขียวเป็นต่อเช่นเดียวกันกับผลลัพธ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
เหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์หน้านี้ ได้แก่ การประกาศสถิติการว่างงานในสหราชอาณาจักรในวันอังคารที่ 14 กันยายน และสถิติตลาดผู้บริโภคในวันพุธที่ 15 กันยายยน
USD/JPY: อีกคู่หนึ่งที่ผลลัพธ์เป็นศูนย์
- ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย คู่ USD/JPY ได้ขยับตามแนว 110.00 มาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยมีความพยายามไม่กี่ครั้งในการออกนอกกรอบ 108.30-111.0 และครั้งนี้อีกครั้ง ราคาได้เริ่มต้นสัปดาห์ที่ 109.70 และปิดตลาดแทบจะบริเวณเดียวกันกับจุดเริ่มต้นที่ระดับ 109.85 นอกจากนี้ ช่วยการซื้อขายยังแคบลงอยู่ที่เพียง 85 จุด จาก 109.60 ถึง 110.45 สำหรับผู้ที่ชอบเทรดคู่นี้คงไม่ยินดีกับความผันผวนต่ำดังกล่าว แต่ในทางกลับกัน หากคุณวางคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit ได้อย่างแม่นยำ ประกอบกับค่าสเปรดขั้นต่ำและเลเวอเรจที่ 1: 1000 คุณสามารถทำกำไรได้มหาศาลกับโบรกเกอร์ NordFX แม้ในช่วงที่มีการซื้อขายแคบ ๆ เช่นนี้
คำทำนายของผู้เชี่ยวชาญสำหรับอนาคตอันใกล้มีดังนี้: 50% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี, 15% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดกระทิง และ 35% มีท่าทีเป็นกลาง ในส่วนอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ฝั่งสัญญาณสีแดงได้เปรียบ 60% ในหมู่ออสซิลเลเตอร์ และสีเขียวมีเพียง 10% และสีเทากลางที่ 30% ด้านอินดิเคเตอร์ให้ผลลัพธ์เสมอกันที่ 50-50
ระดับแนวรับอยู่ที่ 109.60, 109.10, 108.70 และ 108.30 ความฝันของตลาดหมีที่จะกลับไปทดสอบระดับต่ำสุดของเดือนเมษายนอีกครั้งที่ 107.45 โดยมีแนวต้านใกล้ที่สุด ได้แก่ 110.00, 110.25, 110.55, 110.80, 111.00 และ 111.65 ด้านเป้าหมายสูงสุดของตลาดกระทิงยังคงเหมือนเดิม คือ การพิชิตระดับ 112.00 ให้สำเร็จ
คริปโตเคอเรนซี: 7 กันยายน วันฝนกระหน่ำ
- สัปดาห์ที่ผ่านมาในตลาดคริปโตสามารถสรุปได้ในวันเดียว คือ วันอังคารที่ 7 กันยายน ซึ่งมีการบังคับใช้กฎหมายในประเทศเอลซัลวาดอลาร์ที่รองรับบิทคอยน์เป็นสื่อกลางการชำระเงินที่ถูกกฎหมายเสมือนกันกับดอลลาร์ ประธานาธิบดีวัยหนุ่ม นายิบ บูเคเล ทวีตข้อความในเรื่องนี้สามนาทีก่อนเที่ยงคืนเวลาท้องถิ่นว่า “อีกสามนาที เราจะเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์” เขาเขียน โดยประมุขประเทศรายนี้ยืนยันว่า รัฐบาลเอลซัลวาดอลาร์ได้เข้าซื้อ 200 BTC แรก ซึ่งราคาบิทคอยน์ทะยานขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม และพุ่งขึ้นเหนือ $52,000 ตั้งแต่การประกาศดังกล่าว
ประมาณ 20% ของ GDP ประเทศนี้มาจากกระแสเงินของชาวเอลซัลวาดอร์ที่ทำงานอยู่ต่างประเทศและส่งเงินกลับบ้าน ค่าธรรมเนียมจำนวนมหาศาลที่ต้องจ่ายเป็นดอลลาร์นั้นไม่คุ้มอย่างยิ่งและยิ่งทำให้โครงสร้างการเงินของสหรัฐฯ ร่ำรวยขึ้น นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักให้มีการรองรับบิทคอยน์ อย่างไรก็ตาม สำหรับชาวเอลซัลวาดอร์ส่วนใหญ่แล้ว หนึ่งในสามของประชากรยังไม่ใช้งานอินเทอร์เน็ต สินทรัพย์ดิจิทัลจึงยังคงเป็นปริศนา และจากผลสำรวจชี้ว่า ประชากรประมาณ 70% หวาดกลัวต่อนวัตกรรม คนวัยเกษียณอายุเชื่อว่ารัฐบาลต้องการจะยกเลิกเงินบำนาญที่เป็น USD ด้วยวิธีนี้ ผลจากความกังวลและความเข้าใจผิดนำไปสู่การประท้วงและชุมนุมทั่วประเทศ
ด้านธนาคารโลกปฏิเสธที่จะสนับสนุนความคิดริเริ่มของประธานาธิบดีนายิบ บูเคเล ซึ่งสร้างภัยอันตรายให้กับการรับความช่วยเหลือจากไอเอมเอฟ นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า เอลซัลวาดอลาร์ไม่มีกฎหมายเฉพาะทางในการรับมือกับการใช้งานบิทคอยน์ จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟอกเงิน และการสนับสนุนเงินให้กับผู้ก่อการร้าย หน่วยงานจัดอันดับคะแนนนิยมชั้นนำอย่าง Fitch เชื่อว่า อุตสาหกรรมประกันภัยของเอลซัลวาดอร์จะได้รับความเสียหายอย่างหนัก และขณะนี้สถานการณ์ยิ่งรุนแรงขึ้นเนื่องด้วยการถือครองเงินคริปโตที่ไม่มีความแน่นอน
วันที่ 7 กันยายน จึงแสดงให้เห็นอย่างขัดเจนว่าเหรียญคริปโตไม่แน่นอนอย่างไร ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ราคาบิทคอยน์ดิ่งลงมา 18% จาก $52,870 เหลือ $43,205 โดยฉุดตลาดคริปโตลงมาทั้งตลาด
จากนั้นบิทคอยน์ก็ฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อย และซื้อขายอยู่ที่กรอบ $45,000-46,000 ต่อเหรียญ ณ ขณะที่กำลังเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในวันศุกร์ที่ 10 กันยายน
ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ก็กลับเข้าสู่โซนหวาดกลัว โดยตกลงมาจาก 74 เหลือ 46 จุด มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตขยับลงต่ำกว่าระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ $2 เหลือ $1.975 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันที่ 8 กันยายน แต่จากนั้นก็ขยับขึ้นมาเป็น $2.100 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปลายสัปดาห์
แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังคงเชื่อในแนวโน้มและศักยภาพของบิทคอยน์และอีธีเรียม เช่น นายไมค์ แม็คโกลน นักยุทธศาสตร์อาวุโสตั้งเป้าหมายบิทคอยน์ไว้ที่ $100,000 และ $5,000 สำหรับอีธีเรียมว่าเป็น “เส้นทางที่มีแรงต้านทานน้อยที่สุด” ในเรายงาน Bloomberg Crypto Outlook เดือนกันยายน “สินทรัพย์คริปโตเข้าสู่ตลาดกระทิงในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากแนวโน้มขาลงครั้งใหญ่จากระดับสูงสุดก่อนหน้า” กล่าวเน้นโดยผู้เชี่ยวชาญจาก Bloomberg และเสริมด้วยว่าเขาเห็น “อนาคตของบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองดิจิทัลที่เพิ่มเติมไปจากดอลลาร์”
นายบิล มิลเลอร์ ผู้บริหาร Miller Opportunity Trust และเศรษฐีพันล้านก็พูดถึงศักยภาพการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของคู่ BTC/USD เช่นกัน โดยเรียกว่าบิทคอยน์เป็นทองคำฉบับดิจิทัล “มูลค่ารวมของทองคำอยู่ที่ $11 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนบิทคอยน์อยู่ที่เพียง $900 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งยังตามหลังอยู่มาก เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการยอมรับบิทคอยน์ และสินทรัพย์จะมีความผันผวนมาก แต่เราเชื่อว่าอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทนนั้นน่าดึงดูดพอ” กล่าวโดย Miller Opportunity Trust ในคำชี้แจงต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC)
เคธี วูด ซีอีโอ Ark Invest ชี้ว่าตลาดคริปโตเคอเรนซียังอยู่ห่างไกลจากการสิ้นสุดลงของแนวโน้มขาขึ้น แม้ว่าการทะยานขึ้นรอบล่าสุด ตลาดจะไม่แสดงถึงสัญญาณฟองสบู่ราคา “เราคิดว่าบิทคอยน์เป็นอะไรมากกว่าเครื่องเก็บสะสมมูลค่าหรือทองคำดิจิทัล นี่คือระบบการเงินใหม่ของโลกที่กระจายศูนย์กลางอย่างแท้จริงและไม่ขึ้นอยู่กับกระแสทางการเมืองใด ๆ” โดยเคธี วูด ยังมองว่า ช่วงเวลาห้าถึงสิบห้าปีข้างหน้าจะมีความก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก ทำให้ราคาทำเส้นโค้งเป็นรูปตัว S และดังนั้น ตลาดนี้จะสมบูรณ์ได้จะต้องมีการกำกับดูแลที่จำเป็นเพื่อให้ส่งผลต่อบิทคอยน์ในทางบวกมากที่สุด
นักวิเคราะห์ของเครือธนาคารระหว่างประเทศ Standard Chartered ก็ให้ภาพรวมการประเมินบิทคอยน์และอีธีเรียมที่เป็นบวกเช่นกัน พวกเขาเปรียบเทียบบิทคอยน์ว่าเป็นสกุลเงิน และอีธีเรียมว่าเป็นตลาดการเงินสำหรับธุรกรรมในการทำสินเชื่อ ประกันภัย และการแลกเปลี่ยน ดังนั้น เนื่องด้วยศักยภาพการใช้งานของ ETH ที่หลากหลายมากกว่า มูลค่ารวมของเหรียญนี้จึงอาจตามทันบิทคอยน์ได้ในที่สุด
Standard Chartered ทำนายราคาบิทคอยน์ไว้ที่ช่วง $50,000-$175,000 และอีธีเรียมที่ $26,000-$35,000 ดังนั้น เหรียญคริปโตเหล่านี้สามารถเติบโตได้สามเท่าหรือสิบเท่าตามลำดับ “แม้ว่าผลตอบแทนของ ETH อาจแซงหน้า BTC ในอนาคต แต่ความเสี่ยงก็สูงกว่าเช่นกัน” กล่าวโดยผู้แทนของธนาคารฯ
โดยเฉลี่ยแล้ว นักวิเคราะห์ 20% เห็นด้วยว่าคู่ BTC/USD จะตัดทะลุระดับ $50,000 ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 40% ในการคาดการณ์รายเดือน และ 80% เห็นด้วยว่าราคาจะขยับถึงได้ก่อนถึงวันปีใหม่
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ