บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 22 -26 พฤศจิกายน 2021

EUR/USD: เข้าใกล้จุดดุลยภาพ

  • ในหัวข้อของบททบทวนคู่ EUR/USD ครั้งที่แล้ว เราได้ระบุสมการแบบสั้นว่า “การเติบโตของเงินเฟ้อ = การเติบโตของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ” และเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ยืนยันถึงความเท่ากันดังกล่าว ข้อมูลภาคการค้าปลีกในสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน บ่งชี้ว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง และดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (DXY index) จะกลับมามีมูลค่าเท่ากับเมื่อ 1.5 ปีที่แล้ว และกลับมามีค่าสูงสุดในปีค.ศ. 2021  ยอดค้าปลีกในเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 1.7% จากที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 1.4% (การเติบโตในเดือนกันยายนน้อยกว่าสองเท่า อยู่ที่ 0.8%) อินดิเคเตอร์กลุ่มควบคุมการค้าปลีก (retail control group indicator) เพิ่มขึ้นเช่นกัน  โดยเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนตุลาคม (จากการคาดการณ์ที่ 0.9% และการเติบโตเมื่อเดือนที่แล้วอยู่ที่ 0.5%) ทั้งนี้ อินดิเคเตอร์ดังกล่าวแสดงถึงปริมาณการค้าปลีกในอุตสาหกรรมทั้งหมด และใช้คำนวนดัชนีราคาลูกโซ่สำหรับสินค้าส่วนใหญ่

    นักลงทุนยังพอใจกับข้อมูลของการผลิตภาคอุตสาหกรรมและตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ เป็นผลให้คู่ EUR/USD ตกลงไปที่ 1.1263 เมื่อวันพุธที่ 17 พฤศจิกายน.

    เป็นที่แน่ชัดว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ตลาดสนใจที่สุดว่าสถิติมหภาคตัวใดที่จะส่งผลต่ออัตราการลดนโยบายกระตุ้นทางการเงิน (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) และการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางต่างๆ ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้นักลงทุนต้องการสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น จอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางนิวยอร์ก ระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังฟื้นตัวอย่างสม่ำเสมอ และการจ้างงานในสหรัฐฯ เติบโตขึ้นมาก การว่างงานลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทางด้านเจมส์ บัลลาร์ด ประธานธนาคารกลางเซนต์หลุยส์ ระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรมีท่าทีเชิงรุกมากกว่านี้ ซึ่งหากธนาคารกลางสหรัฐฯ เร่งการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณให้เหลือเดือนละ $30,000 ล้าน จะเป็นการเปิดโอกาสให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยในไตรมาสที่หนึ่งของปีค.ศ. 2022 ได้ ทางด้านราฟาเอล บอสติค ประธานธนาคารกลางแอตแลนตา ผู้ถือว่าเป็น “สายรัดกุม” อีกราย เชื่อว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจเริ่มเพิ่มอัตราดอกเบี้ยได้ในกลางปีหน้า และแม้แต่ “สายผ่อนคลาย” อย่างชาร์ลส์ อีวานส์ ประธานธนาคารกลางชิคาโก ก็เห็นด้วยว่า “การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในปีค.ศ. 2022 อาจเป็นเรื่องที่เหมาะสม”

    สำหรับนักวิเคราะห์นั้น แบงค์ออฟอเมริกาเชื่อว่า การเพิ่มราคาและค่าแรงจะกดดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในฤดูร้อนของปีค.ศ. 2022 หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ผู้เชี่ยวชาญของรอยเตอร์คาดการณ์แบบอนุรักษ์นิยมว่า อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มเป็นครั้งแรกในไตรมาสทีสี่ของปีค.ศ. 2022 ตามมาด้วยการเพิ่มอัตราดอกเบี่ยอีกสองครั้งในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของปีค.ศ. 2023 และจะเป็นผลให้อัตราดอกเบี้ยแตะที่ 1.25-1.5% ในสิ้นปีดังกล่าว

    แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโต แต่เขตยูโรโซนกลับเผชิญกับวิกฤตพลังงานและสงครามเศรษฐกิจกับอังกฤษที่ใกล้เข้ามา ข้อมูลเบื้องต้นของจีดีพียูโรโซนในไตรมาสที่สาม ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน แสดงให้เห็นว่าไม่มีการเติบโตแม้แต่เล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็เศรษฐกิจก็ไม่ได้ทรุดตัวลง

    คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป กล่าวกับรัฐสภายุโรปว่า การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในปีค.ศ. 2022 ไม่เกี่ยวข้องกับแผนของธนาคารกลางยุโรป เนื่องจากจะไม่มีการใช้เงื่อนไขข้อจำกัดทางการเงินในปีที่จะถึงนี้ โดยทางธนาคารเห็นว่า การรัดกุมนโยบายทางการเงินในสถานการณ์เช่นนี้จะส่งผลเสียมากกว่าผลดี

    ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงไม่เพียงแต่เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังอ่อนลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นด้วย หลังจากลาการ์ดแสดงความเห็นดังกล่าว ค่าเงินอังกฤษช่วยค่าเงินยูโรเล็กน้อยโดยเงินเฟ้อที่สูงเป็นสถิติใหม่ของอังกฤษทำให้คู่ GBP/USD สูงขึ้น และดึงคู่ EUR/USD ขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ ยังมีอีกสองปัจจัยที่เอื้อต่อค่าเงินยูโร ปัจจัยแรกคือการอัพเดทครั้งที่ 66 ของดัชนี S&P 500 ทำให้ดัชนีมีมูลค่าสูงสุดในปีนี้ ปัจจัยที่สองคือความเป็นไปได้ที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจลาออก และอาจมีการแต่งตั้งลาเอล เบรนาร์ด ซึ่งคาดว่ามีท่าทีสนับสนุนนโยบายการเงินที่อ่อนกว่า ให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวแทน

    นักลงทุนจำนวนมากที่เล็งเห็นถึงปัจจัยดังกล่าว ตัดสินใจทำกำไรในช่วงระยะสั้นๆ นี้ แต่ก็ช่วยค่าเงินยูโรได้เพียงในระยะสั้นเท่านั้น คู่ EUR/USD เคยขึ้นไปที่ 1.1373 และกลับมาลดลงจนไปแตะที่ 1.1250 ซึ่งเป็นค่าต่ำสุดเป็นสถิติใหม่ในประเทศ และปิดตัวรอบการซื้อขายที่ 1.1288

    หากเราตีความสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนสองฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติคนี้เป็นภาษาทหาร สถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่ถึงจุดสู้รบกันเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากทั้งสองฝั่งยังไม่ขึ้นอัตราภาษี สถานการณ์ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และแถลงการณ์จาก “เสนาธิการ” หรือประธานธนาคารกลางต่างๆ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และความแตกต่างของนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางยุโรป ก็อาจฉุดค่าของคู่ EUR/USD ลงไปอีก และอาจลงไปได้มากกว่านี้ ทั้งนี้ คู่ดังกล่าวเคยอยู่ในระดับ 1.0635 เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2020 อยู่ที่ 1.0352 เมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2016 และลงไปต่ำกว่าเส้นดุลยภาพที่ 0.8225 เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2000

    อินดิเคเตอร์ที่ D1 ยืนยันการคาดการณ์แนวโน้มตลาดหมีที่มีทิศทางลง ซึ่งอยู่ที่ 100% ในบรรดาอินดิเคเตอร์เทรนด์ทั้งหลาย เช่นเดียวกับออสซิลเลเตอร์ แม้ว่าออสซิลเลเตอร์ 15% จะอยู่ในโซนที่มีแรงขายมากเกินไปก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญ 35% เห็นว่าจะมีการปรับฐานและการเติบโตของคู่นี้ในระยะสั้น อีก 50% เห็นว่าคู่นี้จะตกลงต่อไปอีก และอีก 15% เห็นว่า คู่นี้จะเคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง ระดับแนวต้านอยู่ในโซนและระดับ 1.1315, 1.1360, 1.1435-1.1465 และ 1525 ส่วนระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ 1.1250,  1.1175 และ 1.1075-1.1100 และลดลงไปอีก 100 จุด

    สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่กำลังจะเผยแพร่นั้น ข้อมูลเบื้องต้นของกิจกรรมเศรษฐกิจ (Markit) ในเยอรมนีและเขตยูโรโซนจะเผยแพร่ในวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน และจะมีการเผยแพร่ปริมาณการสั่งซื้อสินค้าทุนและสินค้าคงทนในสหรัฐฯ และข้อมูลเบื้องต้นของจีดีพีสหรัฐฯ ในไตรมาสที่สามในวันถัดมา นอกจากนี้ จะมีการเผยแพร่บันทึกการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน เพื่อให้นักลงทุนศึกษาว่า บุคคลระดับสูงในหน่วยงานดังกล่าวจะมีท่าที “รัดกุม” มากน้อยเพียงใด

GBP/USD: รออัตราค่าเงินปอนด์ขึ้น

  • ตามที่กล่าวไปข้างต้น เงินเฟ้อในอังกฤษแตะที่ 4.2% ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปีค.ศ. 2011 (เงินเฟ้อในอังกฤษเคยอยู่ที่ 3.1% ในเดือนกันยายน) เงินเฟ้อสูงขึ้นขณะที่ราคาพลังงานสูงขึ้นและปัญหาสินค้าจัดส่งที่แย่ลง อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวน มีค่าสูงขึ้น 3.4% (2.9% เมื่อเดือนที่แล้ว) นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากระบุว่า ราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นต่อไปในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

    สถิติดังกล่าวทำให้มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นว่า ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษจะตัดสินใจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของเงินปอนด์ในเดือนธันวาคมนี ซึ่งทำให้คู่ GBP/USD พุ่งขึ้นกลับมาจากค่าต่ำสุดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่อยู่ที่ 1.3352 ซึ่งคู่นี้มีมูลค่าลดลงหลังสหรัฐฯ มีแรงกดดันเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบ 30 ปี

    โดยทั่วไปแล้ว สถิติเศรษฐกิจมหภาคของอังกฤษค่อนข้างเป็นไปในทิศทางดีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และช่วยสนับสนุนค่าเงินปอนด์

    ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาระบุว่า จำนวนการจ้างงานในอังกฤษเพิ่มขึ้น 160,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ตัวเลขนี้มีความสำคัญโดยเฉพาะต่อข้อเท็จจริงที่ว่า โครงการเงินอุดหนุนช่วยเหลือค่าจ้างในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ได้ยุติไปแล้วในเดือนกันยายน ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเคยคาดการณ์ว่า นายจ้างจะเริ่มลดตำแหน่งงานลงหลังโครงการนี้สิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวกลับไม่เกิดขึ้นและตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวต่อไป อัตราการว่างงานอังกฤษลดลงเหลือ 4.3% ในไตรมาสที่สาม

    แอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ กล่าวเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนเกี่ยวกับการควบคุมเงินเฟ้อ โดยเขาไม่ตัดความเป็นไปได้ในการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด อินดิเคเตอร์ที่เผยแพร่ในขณะที่ทำให้นักลงทุนสายกระทิงเดินหน้าและเพิ่มคู่ดังกล่าวที่ 1.3513 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม คู่ดังกล่าวก็มีทิศทางกลับ และปิดตัวในช่วงห้าวันที่ 1.3444

    หากอัตราดอกเบี้ยของค่าเงินปอนด์เพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าคู่ GBP/USD จะโตไปอยู่ในโซน 1.3800-1.3900 อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้น แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (75%) คาดว่าคู่นี้จะมีมูลค่าลดลง โดยมีเพียง 25% ที่เห็นว่าคู่นี้จะมีแนวโน้มกระทิง

    สำหรับออสซิลเลเตอร์ใน D1 นั้น 80% เป็นสีแดง  10% เป็นสีเขียวและอีก 10% เป็นสีเทาอยู่ตรงกลาง อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% ยังคงเป็นสีแดง ระดับแนวรับอยู่ที่ 1.3400, 1.3350, 1.3200 เป้าหมายของตลาดหมีอยู่ที่ 1.3135 ระดับแนวต้านและเป้าหมายของตลาดกระทิงอยู่ที่ 1.3475, 1.3515, 1.3570, 1.3610, 1.3735, 1.3835

     สำหรับสถิติมหภาคที่จะเผยแพร่ในสัปดาห์หน้านั้น ควรจับตาดูดัชนีกิจกรรมภาคธุรกิจของอังกฤษ (PMI) ในวันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน อินดิเคเตอร์นี้เผยแพร่โดยสถาบัน Chartered Institute of Procurement and Supply ร่วมกับบริษัท Markit Economics โดยเป็นอินดิเคเตอร์ที่บ่งชี้สถานการณ์เศรษฐกิจในภาคการขายและการจ้างงาน แต่ก็ยังไม่สำคัญเท่าดัชนี PMI ภาคการผลิตของประเทศ

USD/JPY: ยังคงมุ่งหน้าไปทางตะวันออก

  • ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดมาตรการกระตุ้นทางการเงิน และธนาคารกลางยุโรปคงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณที่ระดับที่แล้ว  ทางฝั่งรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศใช้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 55.7 ล้านล้านเยน ($487,000 ล้าน)  เมื่อวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน ญี่ปุ่นหวังว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มจีดีพีของประเทศขึ้น 5.6% ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นระบุว่า จะใช้นโยบายทางการเงินที่เหมาะสม และติดตามทิศทางของตลาดและผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด

    “เราหวังว่าธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นจะตระหนักดีถึงความเร่งด่วนของมาตรการนี้ และจะร่วมมือกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิดต่อไปเพื่อให้ได้นโยบายทางการเงินและการคลังที่เหมาะสม” คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นระบุในแถลงการณ์

    คู่ USD/JPY มีทิศทางอย่างไรต่อข่าวนี้? คู่นี้ไม่ได้เคลื่อนไหวได้ๆ เลย ซึ่งคู่ที่ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนควรนิ่งสงบในทุกสถานการณ์

    โดยทั่วไปแล้ว ทิศทางของคู่นี้เป็นไปตามการคาดการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าคู่นี้จะเพิ่มขึ้นและทะลุขอบบนของช่อง 113.40-114.40 และอาจมีค่าสูงสุดในรอบหลายปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง โดยคู่ดังกล่าวไปอยู่ที่ 114.96 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มตลาดกระทิงก็หายไป และคู่นี้ก็กลับลงมาที่ช่วงการซื้อขายตรงกลาง และปิดตัวที่แดนตรงกลางที่ระดับ 114.00

    เมื่อพิจารณาจากนโยบายการเงินที่อ่อนมากของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น และการเพิ่มการควบคุมเส้นผลตอบแทนแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าค่าเงินเยนจะอ่อนค่าลง และคู่ USD/JPY จะเติบโตขึ้นต่อไป โดยคู่ดังกล่าวจะไม่เพียงพุ่งขึ้นไปอยู่ในช่วง 115.00-116.00 เท่านั้น แต่จะสร้างฐานที่ช่วงนั้น และมีมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่ปีค.ศ. 2017 แน่นอนว่า การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่ออัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตร จะส่งผลต่อทิศทางของคู่นี้ด้วยเช่นกัน

    ผลจากทิศทางถอยหลังของคู่นี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ออสซิลเลเตอร์ใน D1 จึงเป็นไปอย่างสับสนมาก โดย 20% ชี้ขึ้น 40% ชี้ลง และอีก 40% ชี้ไปทางตะวันออก เช่นเดียวกับอินดิเคเตอร์เทรนด์ที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดย 60% มีทิศทางขึ้น และอีก 40% มีทิศทางลง

    นักวิเคราะห์ก็มีท่าทีหลากหลายเช่นกัน โดยนักวิเคราะห์ 40% คาดว่าคู่นี้จะเติบโต อีก 40% เห็นว่าคู่นี้จะลดลง และอีก 20% มีท่าทีเป็นกลาง ระดับแนวต้านอยู่ที่ 114,40, 114.70, 115.00 และ 115.50 เป้าหมายของตลาดกระทิงในระยะยาวอยู่ที่ค่าเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2016 ที่อยู่ที่ 118.65 ส่วนระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ 113.40, 112.70, 112.00 และ 111.65

เงินคริปโต: บิทคอยน์จะลดและเพิ่มมูลค่าตรงช่วงไหน ภาคสอง

  • บิทคอยน์มีมูลค่าสูงสุดเป็นสถิติใหม่ที่ $68,917 เมื่อวันพุธที่ 10 พฤศจิกายน อีธีเรียมมีมูลค่าสูงสุดเป็นสถิติใหม่เช่นกัน โดยอยู่ที่ $4,856 มูลค่ารวมในตลาดคริปโตสูงสุดอยู่ที่ $2.972 ล้านล้าน ในขณะเดียวกัน ดัชนี Crypto Fear and Greed Index ขึ้นไปแตะที่ 84 ไปอยู่ในโซนโลภมาก (Extreme Greed zone) ซึ่งบ่งบอกว่า เงินคริปโตสกุลหลักนี้มีแรงซื้อมากเกินไปอย่างมาก และจะต้องมีการปรับฐานในอีกไม่นานนี้

    ในบททบทวนที่แล้ว เราเคยอ้างอิงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโต คราเคน (Kraken) ที่ระบุว่า หากการเติบโตปัจจุบันของบิทคอยน์หยุดที่แนวต้านราว $70,000 อาจทำให้มีการปรับฐานไม่เกิน 20% ซึ่งอาจทำให้คู่ BTC/USD ลดลงมาที่ $55,000

    อัลท์คอยน์ เชอร์พา นักวิเคราะห์เงินคริปโต คาดการณ์ดังกล่าวเช่นเดียวกัน ในขณะที่วิลลี วู ผู้สื่อข่าวและผู้เชี่ยวชาญอีกราย เห็นว่า แนวรับอาจอยู่ในช่วง $50,000-$60,000
    นอกจากนี้ วิลลี วู ยังระบุว่า ขณะนี้บิทคอยน์ยังไม่พร้อมต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วและยังไม่พร้อมมีราคาสูงสุดเป็นสถิติใหม่ เขาระบุถึงปัจจัยสามประการที่ทำให้ราคาของเงินคริปโตสกุลเงินแรกนี้ยังไม่เพิ่มขึ้น

    ปัจจัยแรกคือกิจกรรมเก็งกำไรเบ็ทคอยน์ที่อยู่ในระดับสูง วูระบุว่า แม้นักลงทุนระยะยาวจะยังคงเก็บสะสมเงินคริปโต แต่ส่วนมากยังคงเป็นไปเพื่อการเก็งกำไรในระยะสั้น

    อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ราคาบิทคอยน์ยังไม่พุ่งขึ้น ได้แก่ การเปิดตัวกองทุนรวมดัชนี ETF (exchange-traded fund) กองทุนแรกของสหรัฐฯ โดยอ้างอิงจากสัญญาซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้า วูระบุว่า ขณะนี้นักลงทุนที่เป็นสถาบันส่วนใหญ่นิยมซื้อกองทุนรวมหุ้นและสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแทนการซื้อบิทคอยน์โดยตรง

    ทั้งนี้ กองทุนรวมดัชนี ETF ที่อ้างอิงสัญญาซื้อขายบิทคอยน์ล่วงหน้านี้ เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม สินทรัพย์ของกองทุนนี้มีมูลค่าเกิน $1,000 ล้านเพียงสองวันหลังเริ่มการซื้อขาย ทำให้กองทุนนี้ทุบสถิติอัตราการเติบโตที่ $1,000 ล้านซึ่งเป็นสถิติที่อยู่มาก่อนหน้านี้ 18 ปี

    ปัจจัยที่สามได้แก่ ความคาดหวังที่เป็นบวกเกินไปของนักลงทุน ที่มั่นใจว่าบิทคอยน์และตลาดเงินคริปโตทั้งหมดจะเติบโตมากกว่านี้ “เมื่อใดก็ตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีแนวโน้มกระทิงมากเกินไป ราคาจะพุ่งขึ้นไปยากมากเนื่องจากมีแต่ผู้ต้องการเก็งกำไรในตลาด” วูอธิบาย

    นิโคลัส เมอร์เทน นักวิเคราะห์ ก็ตั้งข้อสงสัยถึงอนาคตอันใกล้ของเงินคริปโตสกุลเงินหลักนี้ด้วยเช่นกัน “เราจะไม่แตะราคา $100,000 หรือ $150,000 ภายในไตรมาสที่สี่นี้ หรือไตรมาสที่หนึ่งของปีหน้า” เขากล่าว “ผมขอโทษนะครับ แต่ผมต้องบอกว่าผู้เชี่ยวชาญหลายคนเข้าใจผิด บิทคอยน์พุ่งเป้าเติบโต แต่เราจะได้เห็นราคาราว $100,000 หรือ $150,000 ภายในฤดูใบไม้ร่วงของปีหน้า”

    ณ ขณะที่เขียนบททบทวนนี้ คู่ BTC/USD อยู่ที่ราว $58,000 โดยค่าต่ำสุดในประเทศเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนอยู่ที่ $55,638 มูลค่ารวมของตลาดคริปโตตกลงไปอยู่ที่ $2.590 ล้านล้าน ในขณะเดียวกัน ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ตกลงไปมากถึง 50 จุด อยู่ที่ 34 และไปอยู่ในโซนความกลัว (zone of Fear)

    ข่าวที่เกี่ยวข้องมีทิศทางไปในทางกลางๆ หรือหากพูดให้ถูกต้องกว่านั้นคือ มีทิศทางคลุมเครือ ยกตัวอย่างเช่น ในด้านหนึ่ง เครือข่ายบิทคอยน์ แท็ปรูท (Bitcoin Taproot) ถูกอัพเดทเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงการทำงานใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ค.ศ. 2017 เงินคริปโตสกุลเงินหลักนี้จะต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น และมีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ลงนามในกฎหมายเพื่อพัฒนาสาธารณูปโภค ทำให้นักขุดเหมืองคริปโต ผู้พัฒนากระเป๋าเงินคริปโต ผู้ให้บริการระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง และผู้เล่นอื่นๆ ในตลาดดิจิทัล อาจต้องรายงานกิจกรรมต่อหน่วยงานด้านภาษี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตีความเอกสารดังกล่าว ชุมชนคริปโตยังกังวลถึงการแก้กฎหมายแผนสาธารณูปโภคนี้ในอนาคต ซึ่งจะกำหนดให้ผู้รับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีมูลค่ามากกว่า $10,000 ต้องยืนยันข้อมูลส่วนตัวของผู้ส่งสินทรัพย์ดังกล่าว และทำให้ไม่มีความเป็นส่วนตัว!

    จะต้องมีเหตุผลที่ดีมากพอที่จะทำให้มูลค่าบิทคอยน์เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง และหากไม่มีเหตุผลดังกล่าว คู่ BTC/USD อาจมีโอกาสติดอยู่ในโซน $50,000-$60,000 เป็นเวลานาน ลดลงจากมูลค่าสูงสุด 15-30% อย่างไรก็ตาม แม้จะมีจำนวนเงินขาดทุนสะสมในขณะนี้ แต่นักลงทุนคริปโตจำนวนมากก็ยังมองทิศทางของบิทคอยน์ในแง่บวกอยู่

    แอนโธนี สการามุชชี ผู้ก่อตั้งบริษัทลงทุน สกายบริดจ์ แคปิตอล (SkyBridge Capital) คาดการณ์ว่า บิทคอยน์อาจมีมูลค่าถึง $500,000 “ได้โดยง่าย” โดยเขาอ้างอิงถึงจำนวนเหรียญบิทคอยน์ที่มีจำกัดและจำนวนนักลงทุนที่ร่ำรวยที่อาจสนใจเหรียญดังกล่าว เขาระบุว่า หากอ้างอิงจากเจพีมอร์แกนแล้ว มีเศรษฐีที่มีทรัพย์สินหนึ่งล้านดอลลาร์อย่างน้อย 49 ล้านคน แต่ทองดิจิทัลชนิดนี้มีเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น “คุณมีเหรียญบิทคอยน์ไม่พอสำหรับเศรษฐีทุกคนในสังคมของเรา เพื่อให้แต่ละคนมีบิทคอยน์อย่างน้อยหนึ่งเหรียญ” สการามุชชีกล่าว

    เขาเห็นว่า ระดับราคาบิทคอยน์ในปัจจุบันยังคงเป็นโอกาสเริ่มต้นในการเข้าถึงสินทรัพย์ชนิดนี้ได้ และราคาของเงินคริปโตสกุลเงินแรกนี้จะแตะถึง $500,000 ภายในสิ้นปีค.ศ. 2024 หรือกลางปีค.ศ. 2025 อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ดังกล่าวจะเป็นจริงหากมีกระเป๋าเงินบิทคอยน์ถึง 1,000 ล้านกระเป๋าในช่วงเวลานั้น ตามการคาดการณ์ของบริษัทจัดการการลงทุน อาร์ค อินเวสต์ (Ark Invest)

***

ลูกค้าของบริษัทโบรคเกอร์ NordFX ยังคงสะสมตั๋วล็อตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง: การจับฉลากซูเปอร์ ล็อตเตอรี ประจำปีใหม่ จะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ ยิ่งมีตั๋วล็อตเตอรี่มาก ยิ่งมีโอกาสได้รางวัลมากกว่าหนึ่งรางวัลมาก รางวัลมีมูลค่าตั้งแต่ $500-$20,000

เงินนี้จะมีประโยชน์กับคุณไม่ใช่หรือ?

วิธีการเข้าร่วมง่ายมาก รายละเอียดทั้งหมดอยู่บนเว็บไซต์ของ NordFX


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX


หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา