บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 17 - 21 มกราคม 2022

EUR/USD: ข่าวลือที่ขับเคลื่อนตลาด

  • บรรยากาศในตลาดมักถูกกำหนดโดยข่าวลือต่าง ๆ ซึ่งมักมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย แต่ผู้ที่เผยแพร่ข่าวลือสามารถทำเงินมหาศาลโดยการเก็งกำไรจากข่าว สิ่งที่คล้ายกันนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

    คู่ EUR/USD ได้ขยับในเทรนด์ด้านข้างมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน โดยราคาผันผวนอยู่ในกรอบ 1.1220-1.1385 และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่โหวตว่าเทรนด์ดังกล่าวจะมีความต่อเนื่องในสัปดาห์ที่แล้ว โดยฝั่งตลาดหมีปกคลุมเป็นหลัก ความตั้งใจของธนาคารเฟดในการยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉุกเฉิน ขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเริ่มปรับสมดุลงบประมาณนั้นเป็นเหตุผลที่เอื้อต่อการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์

    ทั้งนี้ ทั้ง นายเจอโรม พาวเวลล์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่างไม่เคยพูดหรือให้สัญญาณว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสี่ครั้งในช่วงปี 2022 ไม่มีความชัดเจนว่าตัวเลขนี้มาจากไหน แต่ข่าวลือเกี่ยวกับโอกาสดังกล่าวนั้นเริ่มขยายตัวมากขึ้น และนักลงทุนหลายคนก็เชื่อมัน

    เจอโรม พาวเวลล์ ได้กล่าวแถลงต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ เมื่อวันอังคารที่ 11 มกราคม โดยพูดย้ำถึงสิ่งที่เขาเคยกล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ เขาแถลงอีกครั้งว่า ธนาคารเฟดจะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยสองครั้งในปีนี้เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อในรอบสี่สิบปี และหากจำเป็นอาจจะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยสามครั้ง กล่าวคือไม่มีข่าวอะไรใหม่ ๆ แต่ตลาดก็กำลังรอคอยการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ “สี่” และกลับต้องผิดหวังเพราะไม่มีการพูดถึงแต่อย่างใด

    ดังนั้น ดัชนีดอลลาร์ DXY ก็ขยับเข้าสู่จุดต่ำสุด โดยปิดตลาดต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่รอบ 50 วัน และคู่ EUR/USD ก็ขยับลงทิศใต้แทนที่จะขึ้นทิศเหนือ

    เนื่องด้วยสถิติภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยูโรแข็งค่าขึ้นต่อในวันถัดมาเมื่อวันพุธที่ 12 มกราคม และคู่r EUR/USD ได้ตัดทะลุกรอบด้านข้างระยะกลาง และขยับขึ้นต่อ การตัดผ่านแนวต้านในโซน 1.1385 นั้นเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการปรับฐานหลังจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งเริ่มต้นเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 2021 และตามมาด้วยเทรนด์ด้านข้างเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง ทั้งนี้ ราคาทำระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 14 มกราคม ที่ระดับ 1.1482

    ดัชนียอดขายปลีกสหรัฐฯ และสถิติความเชื่อมั่นผู้บริโภคซึ่งประกาศเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเลวร้ายกว่าตัวเลขครั้งก่อนหน้า นับว่าเป็นการยืนยันผลกระทบในทางลบของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอไมครอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขณะนี้ ยังไม่สามารถทำนายได้อย่างชัดเจนว่าจะส่งผลต่อท่าทีขั้นถัดไปของธนาคารเฟดอย่างไร แต่เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของตลาด นักลงทุนตัดสินใจว่าสถิติดังกล่าวน่าจะบีบให้ธนาคารฯ ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดมากขึ้น ราคาคู่ EUR/USD จึงปิดตลาดที่ 1.1415

    แน่นอนว่าดอลลาร์อาจอ่อนค่าลงเล็กน้อยในระยะสั้น แต่ความแตกต่างระหว่างนโยบายรัดเข็มขัดของธนาคารเฟด และนโยบายแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางยุโรปนั้นยังควรจะสนับสนุนดอลลาร์ นอกจากนี้ ประธานเฟดยังได้เน้นย้ำอีกครั้งในความเห็นของเขาล่าสุดว่า การต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อนั้นเป็นวาระสำคัญอันดับต้นสำหรับธนาคารเฟด และแสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะรับมือกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้

    นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนยังมองว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งต่อไตรมาส เช่นเดียวกับในกรณีวัฎจักรครั้งก่อนหน้าของการตรึงนโยบายทางการเงิน อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่ความเห็นที่อาจก่อให้เกิดกระแสข่าวลือและความคาดหวังขึ้นอีกรอบ นักลงทุนคาดว่าจะได้คำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกความจริงหลังการประชุมของคณะกรรมการ FOMC (คณะกรรมการตลาดเสรีสหรัฐฯ) เดือนมกราคม ของธนาคารเฟด ระหว่างวันที่ 26-27 มกราคมนี้

    ณ เวลาที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ 75% ของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 ให้สัญญาณสีเขียว และ 25% ให้สัญญาณว่า EUR/USD อยู่ในโซน overbought อินดิเคเตอร์เทรนด์มีสัญญาณ 65% เป็นสีเขียว และ 35% เป็นสีแดง ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (75%) ไม่ตัดโอกาสว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้นในช่วงสัปดาห์หน้า แต่ความเห็นกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงสำหรับการคาดการณ์ของเดือนกุมภาพันธ์ ในที่นี้มีนักวิเคราะห์ 75% ที่เห็นด้วยว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น โดยระบุระดับแนวต้านอยู่ที่ 1.1450, 1.1480, 1.1525, 1.1570 และ 1.1615 ส่วนระดับและโซนแนวรับ ได้แก่ 1.1385-1.1400, 1.1300, 1.1275, 1.1220 ซึ่งตามมาด้วยระดับต่ำสุดของวันที่ 24 พฤศจิกายนเมื่อปีที่แล้วที่ 1.1185 และโซน 1.1075-1.1100

    สำหรับปฏิทินเศรษฐกิจในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราควรเน้นการประกาศสถิติตลาดผู้บริโภคของยูโรโซนในวันจันทร์ที่ 17 มกราคม และวันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม อีกทั้งคาดว่าจะมีการประกาศแถลงการณ์นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรปและการประกาศสถิติตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี และ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปจะกล่าวแถลงในวันศุกร์ที่ 21 มกราคม

GBP/USD: ธนาคารแห่งชาติอังกฤษ vs ธนาคารเฟด: มีเกมรออยู่

  • โดยทั่วไปแล้ว นอกเหนือจากการประชุมของธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรป การประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษจะมีขึ้นในเดือนมกราคม ทั้งนี้ ธนาคารอังกฤษเริ่มโจมตีราคาที่สูงขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา และสร้างความประทับใจที่แข็งแกร่งต่อตลาด หลังจากภาวะเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นเป็น 5.1% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ธนาคารกลางอังกฤษได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.1% เป็น 0.25% เป็นครั้งแรกในรอบสามปี การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เลวร้ายกว่าเดิม และความเห็นของผู้ว่าการธนาคารอังกฤษ แอนดริว ไบเลย์ ในที่นี้ก็ตรงกับของ เจอโรม พาวเวลล์ ทั้งสองคนมองว่าภารกิจอันดับแรกคือการลดแรงกดดันของราคาต่อเศรษฐกิจและสังคม แต่ท่าทีของนายแอนดริวดูมีความเด็ดขาดมากกว่า แม้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 15 จุดพื้นฐานจะไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการริเริ่มขั้นแรกแล้ว และตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สองในเดือนกุมภาพันธ์

    การคาดการณ์ดังกล่าวยังคงเป็นแรงสนับสนุนต่อค่าเงินปอนด์อย่างต่อเนื่อง คู่ GBP/USD จึงสามารถทำระดับสูงสุดใหม่ได้ในรอบ 11 สัปดาห์ ขึ้นมาที่ 1.3748 อย่างไรก็ตาม ราคาล้มเหลวที่จะตัดผ่านเส้น SMA รอบ 200 วัน และปิดตลาดรอบห้าวันทำการหลังจากดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อช่วงท้ายวันศุกร์ที่ 14 มกราคม ที่ 1.3678

    นักวิเคราะห์ 60% ชี้ว่าคู่ GBP/USD จะพยายามอีกครั้งหนึ่งที่จะขึ้นเหนือระดับ 1.3800 ในไม่กี่วันข้างหน้า สถานการณ์นี้สนับสนุนโดยอินดิเคเตอร์เทรนด์อีก 90% บนกรอบ D1 และออสซิลเลเตอร์อีก 80% ส่วน 20% ที่เหลือให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbough อย่างไรก็ดี เช่นเดียวกันกับคู่ EUR/USD เมื่อเปลี่ยนจากการคาดการณ์รายสัปดาห์เป็นรายเดือน น้ำหนักนั้นเทไปทางฝั่งตลาดหมีมากกว่าและในที่นี้ผลการวิเคราะห์ 55% ชี้ว่า ราคาจะขยับลงไปทางทิศใต้

    ระดับแนวรับ ได้แก่ 1.3659, 1.3600, 1.3525, 1.3480, 1.3430, 1.3375 ส่วนระดับแนวรับสำคัญถัดไปอยู่ต่ำลงมาอีก 100 จุด แนวต้าน ได้แก่ 1.3700, 1.3750, 1.3835 และ 1.3900

    ในสัปดาห์หน้าจะมีการประกาศสถิติมหภาคที่สำคัญจากสหราชอาณาจักร ได้แก่ อัตราการว่างงาน และค่าจ้างเฉลี่ยในประเทศ ซึ่งจะประกาศในวันอังคารที่ 18 มกราคม จากนั้นจะมีการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคในวันถัดมา นอกจากนี้ นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษจะกล่าวแถลงในวันพุธที่ 19 มกราคม และดัชนียอดขายปลีกของเดือนธันวาคมปี 2021 จะประกาศในวันศุกร์ที่ 19 มกราคม นี่คือตัวชี้วัดที่สำคัญของการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ซึ่งยังสัมพันธ์กับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และถือว่าเป็นตัวชี้วัดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ตัวเลขคาดการณ์ชี้ว่าดัชนีน่าจะลดลงจาก 1.4% เหลือ -0.6%

USD/JPY: ความแข็งแกร่งของเงินเยนคือดอลลาร์ที่อ่อนแอ

  • USD/JPY ปรับลดลงจากระดับสูงสุดที่ 116.35 (ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2017) ลงมาที่ 113.47 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจาก เจอโรม พาวเวลล์ กล่าวแถลง และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต่ำลง อย่างไรก็ดี ท่าทีนโยบายที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมากของธนาคารกลางญี่ปุ่นไม่น่าจะทำให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นมาได้ ดอลลาร์ดูจะเริ่มแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง และราคาก็ได้ขยับขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ที่ระดับ 114.18

    USD/JPY ขยับลงทิศใต้ในช่วงสัปดาห์ครึ่งที่ผ่านมา และอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ส่วนใหญ่ปรากฏเป็นสีแดง ในส่วนออสซิลเลเตอร์มี 80% เป็นสีแดง และ 10% ให้สัญญาณว่าอยู่โซน oversold และ 10% เปลี่ยนสีเป็นสีเขียวแล้ว สำหรับอินดิเคเตอร์เทรนด์มี 60% ที่แนะนำให้ขาย 40% แนะนำให้ซื้อ ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญมี 50% ที่โหวตให้กับแนวโน้มขาขึ้นของราคา 40% โหวตให้กับขาลง และ 10% มีท่าทีเป็นกลาง

    ระดับแนวรับ ได้แก่ 113.50, 113.20, 112.55 และ 112.70 ส่วนโซนแนวต้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ 114.40-114.65 จากนั้นเป็นระดับที่ 115.00, 115.45, 116.00 และ 116.35

    ผลการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะประกาศให้ทราบในวันอังคารที่ 18 มกราคม และมีแนวโน้มสูงที่จะยังคงที่ระดับติดลบ -0.1% อย่างที่เราเคยเขียนไว้แล้ว ญี่ปุ่นไม่ต้องการให้ค่าเงินแข็งแกร่ง และค่าเงินเยนที่อ่อนแอมีแนวโน้มที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ดีกว่า เพราะเป็นการช่วยส่งเสริมการส่งออกและกำไรของบริษัท

คริปโตเคอเรนซี: และที่นี่เช่นกัน ขอขอบคุณ นายเจอโรม พาวเวลล์

  • ซาโตชิ นากะโมโตะ ได้เริ่มเครือข่ายบิทคอยน์โดยการขุดบล็อกเหรียญ 50 BTC ในเดือนมกราคม 2009 เพียง 13 ปีผ่านไป คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแแห่งชาติของจีนก็ได้ประกาศให้การขุดเหรียญคริปโต “ล้าสมัย” ในเดือนมกราคม 2022 ตามมาด้วยคำแถลงอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจสูงสุดว่า ความสนใจหลักจะมุ่งไปที่อุตสาหกรรมที่สะอาดและมีความเข้มข้นทางทรัพยากรน้อยกว่า และการขุดเหรียญอยู่ในรายการเทคโนโลยีที่ “ล้าสมัย” ซึ่งจะต้องถูกสั่งห้ามไม่ให้มีการลงทุนและต้องถูกกำจัด

    วิลเลียม เชคสเปียร์ พูดไว้ถูก ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปภายใต้ดวงจันทร์ และหลังจากมีการประกาศให้สกุลเงินดิจิทัล “ไม่ได้รับการยอมรับ” อีกต่อไปในจีน ศูนย์กลางของอิทธิพลในตลาดคริปโตก็เปลี่ยนมาที่สหรัฐฯ อีกหนึ่งการยืนยันคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อคำพูดเพียงไม่กี่คำของ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด นั้นเพียงพอที่จะหยุดแนวโน้มขาลงของบิทคอยน์และกลับเทรนด์ในตลาดคริปโตเป็นขาขึ้น

    นายพาวเวลล์กล่าวต่อคณะกรรมการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่า เหรียญ stablecoins สามารถนำมาใช้กับสกุลเงินดิจิทัลทางการของธนาคารกลาง (CBDC - Central Bank Digital Currency ซึ่งเป็นเงินพันธบัตรในรูปแบบเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง) แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่อนุญาตให้เงินคริปโตขยับขึ้นทางทิศเหนือ แต่โดยรวมแล้วเป็นค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าและการกลับมาของความต้องการในความเสี่ยง

    อย่างที่ระบุไว้ข้างต้น เจอโรม พาวเวลล์ แถลงไว้อย่างชัดเจนว่า ธนาคารเฟดยังไม่ได้ตัดสินที่จะลดดุลงบประมาณเกือบ $9 ล้านล้านดอลลาร์ และจะไม่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสี่ครั้งในปี 2022 และไม่เกินสามครั้ง คำกล่าวนี้ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์ DXY ขยับลดลง ในขณะที่ดัชนีหุ้นและคริปโตเคอเรนซีขยับขึ้น

    BTC/USD ขยับลงมาที่ $39,660 เมื่อวันที่ 10 มกราคม โดยราคายังไม่เคยร่วงลงมาต่ำขนาดนี้ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2021 อย่างไรก็ตาม หลังจากราคาขยับขึ้นตามดัชนี S&P500, Dow Jones และ Nasdaq โดยขึ้นไปที่ $44,300 เมื่อวันที่ 12 มกราคม และมูลค่ารวมในตลาดคริปโตสูงกว่าระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ $2 ล้านล้านดอลลาร์ ถึง $2.091 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ยังไม่ได้ออกจากโซนความกลัวอย่างยิ่ง (Extreme Fear) แม้ว่าดัชนีจะปรับขึ้นมาจาก 15 เป็น 21 จุด

    สิ่งที่ชัดเจนก็คือ ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงการเริ่มต้นขึ้นของแนวโน้มขาขึ้นรอบใหม่ในตลาดคริปโต คู่ BTC/USD อยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ 35% และมูลค่ารวมในตลาดยังคงห่างไกลจากระดับเกือบ $3 ล้านล้านดอลลาร์ที่เคยขยับถึงเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2021 และหากดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง เราอาจได้เห็นสินทรัพย์ดิจิทัลกลับสู่แนวโน้มขาลง

    แน่นอนว่า ผู้ที่ยืนหยัดในคริปโตทำนายเหมือนเช่นเคยว่า เหรียญอันดับต้น ๆ จะขยับถึงระดับสูงสุดใหม่ในเร็ว ๆ นี้ นายฉางเพง เฉา ซีอีโอของตลาดคริปโต Binance กล่าวอ้างในบทความของ Fortune ว่า การรองรับคริปโตเคอเรนซีรอบโลกจะพุ่งขึ้นจากระดับปัจจุบันที่ 5% เป็น 20% ในปี 2022 และ นายไมค์ โนโวกราตซ์ ผู้ก่อตั้ง Galaxy Digital เรียกแนวโน้มขาลงที่ 35% ว่าเป็น “การย่อตัวที่แข็งแรง” หลังจากนั้นราคาจะกลับสู่แนวโน้มการเติบโต ด้าน นายไนเจล กรีน ซีอีโอของบริษัทที่ปรึกษา DeVere Group ยังระบุด้วยว่า ในเวลานี้คือช่วงเวลาที่สะดวกที่สุดในการซื้อบิทคอยน์ในวัฎจักรปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่าแนวโน้มดังกล่าวนั้นเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไป ENCRY Foundation ทำนายว่า บิทคอยน์อาจกลับมาเติบโตอีกครั้งได้เฉพาะเมื่อราคาลดลงมาที่ $28,000-30,000 เท่านั้น “กระแสสภาพคล่องที่เข้าสู่ตลาดจะลดลงในครึ่งหลังของปี 2022 หลังจากมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์ในสหรัฐฯ สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ จากนั้นบิทคอยน์อาจร่วงลงมาที่ $30,000” ผู้เชี่ยวชาญอธิบายต่อ

    ระดับ ณ ปัจจุบัน ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นจุดต่ำสุดในตลาด ผู้เชี่ยวชาญอีกรายที่ชื่อว่า วิคเตอร์ แพร์ชนิโคฟ นักวิเคราะห์ชั้นนำจาก 8848 Invest มองว่า ขณะนี้ยังไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่จะเกิดราคาระดับต่ำสุด ซึ่งเป็นภาวะราคานิ่งสงบระยะยาว (อย่างน้อยสองเดือนในสภาวะปัจจุบัน) โดยมีการสะสมตัวของตำแหน่งซื้อและความสนใจที่เพิ่มมากขึ้น ยอดขายใน BTC ที่ลดลงโดยผู้ร่วมตลาด รวมถึงความชัดเจนของความเร็วและระดับในการใช้นโยบายทางการเงินแบบรัดเข็มขัดโดยธนาคารกลางทั่วโลก

    “สถานการณ์ปัจจุบันในตลาดคริปโตนั้นเต็มไปด้วยการขายตามสภาพอารมณ์เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงในช่วงขาดทุน ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับสถานการณ์ที่นักลงทุนรายย่อยถูกเขย่าออกจากตลาด แนวโน้ม ณ ปัจจุบันยังไม่ถือว่าเป็นภัยต่อผู้ถือเหรียญ BTC และเป็นช่วงการปรับฐานที่ปกติในตลาดก่อนที่ราคาจะขยับขึ้นต่อไป” กล่าวโดยนายแพร์ชนิโคฟ ซึ่งในความเห็นของเขาแล้ว บิทคอยน์น่าจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในปีนี้อยู่ที่กรอบราคา $30,000-70,000

    เป็นที่น่าชัดเจนว่าแนวโน้มการเติบโตที่จริงจังของ BTC เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีแนวโน้มความสนใจที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุนรายสถาบัน แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประสบปัญหาในขณะนี้ รายงานของ Bloomberg ชี้ว่า มีลูกค้าเพียง 5% จากแบบสำรวจโดย JPMorgan เชื่อว่าราคาบิทคอยน์จะขยับถึง $100,000 ภายในสิ้นปี 2022 โดยมากกว่า 40% เชื่อว่าราคาจะกลับมาสู่ระดับ $60,000 เพียงเท่านั้น “ผมไม่ประหลาดใจกับแนวโน้มตลาดหมีของบิทคอยน์แต่อย่างใด อินดิเคเตอร์ในอนาคตของเราชี้ถึงภาวะ oversold” กล่าวโดย นิโคเลาส์ ปานิเกิร์ตโซกลู นักยุทธศาสตร์ของธนาคารผู้มองว่ามูลค่าที่เหมาะสมของบิทคอยน์น่าจะอยู่ที่ช่วงตั้งแต่ $35,000 ถึง $73,000

    สำหรับคู่แข่งหลักของบิทคอยน์ อีธีเรียม จัสติน เบ็นเน็ต นักวิเคราะห์คริปโตกล่าวถึงแนวโน้มอีธีเรียมในช่วงขาลงของตลาดโดยรวมว่า “เราจำเป็นต้องระมัดระวังตราบใดที่ ETH ยังอยู่ต่ำกว่า $4,000 หาก ETH กลับมาสู่บริเวณนี้ได้ในช่วงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า และสามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ เราจะค่อยพูดถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มกระทิงที่แข็งแกร่งที่เคยเกิดขึ้นในปี 2021” เบ็นเน็ตกล่าวว่าเขาไม่รังเกียจที่จะเติมเหรียญอัลท์คอยน์เหรียญนี้เพิ่มเติมที่บริเวณ $3,000

    นักวิเคราะห์รายนี้ยังมอง ETH เทียบกับ BTC และเชื่อว่าคู่ ETH/BTC อาจเริ่มการทะยานขึ้นในระยะยาวไปยัง 0.18 BTC ($7.388) ต่อ 1 ETH แต่จะต้องถือระดับ 0.075 BTC ($3.077) เป็นแนวรับ

    สถานการณ์ข้างต้นทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังกำกวม และคุณจะทำเงินอย่างไรกับสกุลเงินเสมือนจริง? คำตอบสำหรับคำถามนี้พบได้ในคอลัมน์ไลฟ์แฮ็คตลก ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของชาวอเมริกันคนหนึ่งชื่อว่า  สิราจ ราวาล จากซานฟรานซิสโก ผู้ใช้รถยนต์ Tesla Model 3 รุ่นปี 2018 ของเขาในการขุดเหรียญ Ethereum โดยเขาเริ่มใช้ซอฟต์แวร์ฟรีบน Apple Mac mini M1 เชื่อมต่อกับส่วนคอนโซลของรถ และใช้กระแสไฟจากแบตเตอรี Tesla เพื่อจ่ายไฟให้กับการ์ดจอทั้งห้า โดยเขาขุดเหรียญประมาณ 20 ชั่วโฒงต่อวัน และทำรายได้ได้ระหว่าง $400 ถึง $800 ต่อเดือนในช่วงปี 2021

    จำนวนดังกล่าวดูน่าดึงดูด แต่ใช้เงินเพียงแค่ $50,000 เท่านั้นเพื่อซื้อรถรุ่นดังกล่าว และต้องลองดูว่ารัฐบาลจีนจะมองว่าวิธีการนี้ก่อให้เกิดความเสียหายและเป็นวิธีที่ล้าสมัยอีกหรือไม่

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา