บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 14 - 18 มีนาคม 2022

EUR/USD: เหตุการณ์สำคัญประจำสัปดาห์: การประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ

  • เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ เหตุการณ์สำคัญของสัปดาห์ที่แล้วเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม คือการประชุมของธนาคารกลางยุโรป อัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ระดับเดิมคือ 0% ซึ่งไม่เป็นที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด แต่ถึงแม้การตัดสินใจดังกล่าวจะเป็นที่คาดการณ์ไว้โดยสมบูรณ์ คู่ EUR/USD ขยับขึ้นในตอนแรกไปที่ 1.1120 หลังจากคำแถลงของผู้ว่าการธนาคารฯ และจากนั้นก็ลดลงมาต่ำกว่า 1.1000 โดยทั้งหมดนี้เป็นเพราะความพยายามที่ล้มเหลวที่จะ “ป้อนอาหาร” ให้กับทั้งสายเหยี่ยวและสายพิราบ (สายเหยี่ยวคือผู้ที่เห็นด้วยกับนโยบายแบบคุมเข้ม และสายพิราบคือผู้ที่เห็นด้วยกับนโยบายแบบผ่อนปรนทางการเงิน)

    อีกด้านหนึ่ง ธนาคารกลางยุโรปทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจด้วยการตัดสินใจแบบสายเหยี่ยวเพื่อลดมาตรการ QE อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ปริมาณการซื้อคืนสินทรัพย์ภายใต้มาตรการ QE จะถูกลดจากเดิม €40 พันล้านยูโรในเดือนเมษายน เหลือเพียง €30 พันล้านยูโรในเดือนพฤษภาคม และเหลือ €20 พันล้านยูโรในเดือนมิถุนายน ซึ่งถือว่าเร็วกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ โดยเดิมมีการประเมินไว้ว่า ปริมาณดังกล่าวจะลดเหลือ €20 พันล้านยูโรในช่วงเดือนตุลาคมเท่านั้น

    อย่างไรก็ดี ท่าทีของธนาคารกลางยุโรปต่อประเด็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเริ่มมีลักษณะผ่อนคลายมากกว่าที่เคยเป็น ธนาคารฯ ชี้แจงก่อนหน้านี้ว่า จะมีการเว้นระยะในช่วงสั้น ๆ ที่วางแผนไว้ระหว่างการถอนมาตรการ QE และการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะนี้ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า “การปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปจะเกิดขึ้นหลังจากมาตรการซื้อพันธบัตรสิ้นสุดลงไปแล้วระยะหนึ่ง และจะเป็นไปอย่างช้า ๆ” ท่าที่สายพิราบดังกล่าวทำให้นักลงทุนผิดหวังและกดคู่ EUR/USD ให้ขยับลดลงต่อ

    ปัจจัยเสริมต่อการแห่เทขายเงินยูโรมาจากรายงานอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ซึ่งดัชนีการเติบโตของราคาผู้บริโภคทำระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี สำหรับในรอบเดือน ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจาก 0.6% เป็น 0.8% และในรอบปี อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวจาก 7.5% เป็น 7.9% สถิติเหล่านี้ยิ่งยืนยันความมั่นใจในตลาดว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของฝั่งสหรัฐฯ จะเริ่มขึ้นตั้งแต่การประชุมธนาคารเฟดครั้งถัดไป ซึ่งจะมีการประชุมจัดขึ้นในวันพุธหน้านี้ที่ 16 มีนาคม นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดยังกล่าวด้วยว่า เขาวางแผนที่จะเสนอให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้

    โดยธรรมชาติแล้ว อัตราเงินเฟ้อเติบโตขึ้นไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ แต่ในยุโรปด้วยเช่นกัน ด้านธนาคารกลางยุโรปปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเติบโตขึ้นในปี 2022 จาก 3.2% เป็น 5.1% และผู้เชี่ยวชาญจาก Goldman Sachs มองว่า ตัวเลขดังกล่าวอาจขยับขึ้นเป็น 8% แต่การไม่สอดคล้องกันระหว่างนโยบายทางการเงินและแนวโน้มเศรษฐกิจชัดเจนว่าจะไม่ส่งผลดีต่ออียู ซึ่งในที่นี้ต้องพิจารณาปัจจัยทางภูมิศาสตร์เช่นกัน โดยอียูตั้งอยู่ใกล้บริเวณพื้นที่ความขัดแย้งในยูเครน อีกทั้ง ยุโรปต้องพึ่งพาอาศัยเชื้อเพลิงพลังงานจากรัสเซีย

    ในขณะนี้ ยุโรปต้องเผชิญกับความเสียหายจากมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียด้วยเช่นกัน นักวิเคราะห์เชื่อว่า เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อแล้ว สหรัฐฯ ก็ไม่มีภูมิต้านทานต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเช่นกัน แต่สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในประเทศส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกและมีปริมาณก๊าซสำรองจำนวนมหาศาล จึงย่อมได้รับผลกระทบจากราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงน้อยกว่ามาก นอกจากนี้ เงินออมของครัวเรือนอเมริกาในช่วงวิกฤติโรคระบาด COVID-19 ขณะนี้อยู่ในระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ความปลอดภัยทางการเงินนี้จึงช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารเฟดสามารถใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดได้มากขึ้น

    คู่ EUR/USD ฟื้นตัวกลับขึ้นมาเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมาจากช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ 1.0911 อย่างไรก็ดี ในกรณีที่สถานการณ์การสู้รบกันในยูเครนรุนแรงยิ่งขึ้น และราคาเชื้อเพลิงพุ่งขึ้นต่อ เป้าหมายสำคัญที่ใกล้ที่สุดถัดไปสำหรับตลาดหมีแน่นอนว่าจะเป็นการทดสอบระดับต่ำสุดของวันที่ 7 มีนาคม อีกครั้งที่ 1.0805 ตามมาด้วยราคาต่ำสุดของปี 2020 ที่ 1.0635 และราคาต่ำสุดของ 2016 ที่ 1.0325 ในบทรีวิวครั้งที่แล้ว เราได้แสดงความเห็นไว้ว่า ราคาคู่นี้อาจลงไปที่ระดับ 1.0000 ในจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งการคาดการณ์นี้มาจากนักยุทธศาสตร์ธนาคาร ABN Amro ผู้มองว่าแนวโน้มคู่นี้สามารถลงไปขนานกับเส้นฐานได้

    ในอีกด้านหนึ่งนั้น แค่เพียงสัญญาณการไกล่เกลี่ยทางการทูตในสถานการณ์ในยูเครน ไม่ต้องถึงขนาดการยุติความขัดแย้งโดยสมบูรณ์ ก็สามารถเป็นแรงหนุนที่ดีให้กับค่าเงินยูโร และทำให้ราคาคู่นี้ขยับขึ้น ด้วยความผันผวนที่เพิ่มขึ้น เป้าหมายที่ใกล้ที่สุดของตลาดกระทิงคือการตัดทะลุลงมายังโซนแนวต้านที่บริเวณ 1.1000 จากนั้นไปที่โซน 1.1100-1.1125, 1.1280-1.1390 และระดับสูงสุดของวันที่ 13 มกราคม และ 10 กุมภาพันธ์ที่ 1.1485

    ความเห็นของนักวิเคราะห์นั้นแบ่งออกเป็นดังนี้ 50% โหวตว่าคู่ EUR/USD จะสามารถพาราคากลับมาอย่างน้อยที่ 1.1200 ภายในเดือนมีนาคม 25% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี และ 25% ที่เหลือมีท่าทีเป็นกลาง ด้านออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 มี 90% เป็นสีแดง 10% เป็นสีเทากลาง และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% อยู่ข้างแนวโน้มตลาดมี

    สำหรับปฏิทินในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ อย่างที่กล้าวไปแล้วว่าการประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันพุธที่ 16 มีนาคม คือเหตุการณ์สำคัญหลัก และสถิติยอดขายปลีกในสหรัฐฯ จะประกาศไม่กี่ชั่วโมงหลังงานแถลงข่าวของผู้บริหารธนาคารฯ ความสนใจหลักจะมุ่งไปที่ถ้อยแถลงของ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป ในวันถัดมา วันที่ 17 มีนาคม รวมถึงสถิติจากตลาดผู้บริโภคในยูโรโซนและจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ

GBP/USD: ควรคาดการณ์อะไรจากธนาคารแห่งชาติอังกฤษ?

  • การพึ่งพาของอียูต่อก๊าซจากรัสเซียอยู่ที่ 45-50% ก่อนที่จะมีการคว่ำบาตรเกิดขึ้น ด้านอังกฤษแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในสหภาพยุโรป โดยอังกฤษแทบจะเป็นอิสระจากการนำเข้าก๊าซจากรัสเซีย สัดส่วนการพึ่งพานั้นต่ำกว่า 3% และมีปริมาณการค้ากับรัสเซียก็ต่ำกว่ามากอีกเช่นกัน และโดยทางภูมิศาสตร์แล้ว อังกฤษก็ตั้งอยู่ห่างจากโซนความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนประมาณ 2,000 กิโลเมตร ปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ช่วยให้ธนาคารแห่งชาติอังกฤษตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดมากยิ่งขึ้นในการปรับสมดุลนโยบายทางการเงิน ซึ่งตรงกันข้ามกับทางธนาคารกลางยุโรป

    ธนาคารแห่งชาติอังกฤษจะจัดการประชุมขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม หนึ่งวันหลังจากการประชุมของธนาคารเฟด และค่อนข้างมีความเป็นไปได้ที่การตัดสินใจของธนาคารแห่งชาติอังกฤษนั้นจะขึ้นอยู่กับว่า ธนาคารเฟดของฝั่งสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย (หรือไม่ขึ้น) เท่าใด สิ่งนี้เป็นปัจจัยเพิ่มเติมของความไม่แน่นอนเมื่อทำการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนของเงินปอนด์อังกฤษ

    ทั้งนี้ ธนาคารแห่งชาติอังกฤษเป็นธนาคารแห่งแรกที่เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 0.5% แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าท่าทีสายเหยี่ยวดังกล่าวจะมีผลนานเท่าใด

    การคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญสำหรับคู่ GBP/USD ในสัปดาห์หน้ามีดังนี้: 35% โหวตให้กับแนวโน้มขาขึ้น 35% โหวตแนวโน้มขาลง และ 20% ที่เหลือโหวตทิศทางออกข้าง อย่างไรก็ตาม เมื่อเปลี่ยนเป็นการวิเคราะห์รายเดือน ฝั่งตลาดกระทิงเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่าอย่างชัดเจนที่คะแนนเสียง 65% และมี 15% โหวตให้กับตลาดหมี และ 20% ไม่ออกเสียงใด ๆ ด้านอินดิเคเตอร์ทั้งหมด 100% บนกรอบ D1 หันไปทางทิศใต้ ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม ออสซิลเลเตอร์ 30% ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน oversold

    เงินปอนด์ปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.3035 โดยมีระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ในโซน 1.2985-1.3025 ตามมาด้วยแนวรับของปี 2020 ส่วนระดับแนวต้าน ได้แก่ 1.3080, 1.3145, 1.3200, 1.3270-1.3325, 1.3400, 1.3485, 1.3600, 1.3640.

    นอกเหนือไปจากการประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ เหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์หน้านี้ ได้แก่ การประกาศสถิติตลาดแรงงานสหราชอาณาจักรในวันอังคารที่ 15 มีนาคม ได้แก่ ระดับค่าจ้างเฉลี่ยในประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน

USD/JPY: ตลาดเลือกดอลลาร์

  • เราตั้งคำถามว่า “เยนหรือดอลลาร์: ที่หลบภัยไหนดีกว่ากัน?” ในหัวข้อเรื่องของบทวิเคราะห์คู่ USD/JPY ในครั้งที่แล้ว โดยสื่อว่าเมื่อตลาดอยู่ในภาวะวิตก นักลงทุนจะเริ่มมองหาสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อเก็บเงินของพวกเขา

    ดอลลาร์ชนะความขัดแย้งในสัปดาห์ที่แล้ว ไม่ใช่แค่ชนะเท่านั้น แต่ยังชนะขาดลอย โดยราคาคู่นี้เริ่มต้นที่ 114.81 เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม และ USD/JPY ขึ้นทำระดับสูงสุดที่ 117.35 และปิดตลาดต่ำกว่าระดับดังกล่าวเล็กน้อยที่ 117.25 ทั้งนี้ ในครั้งที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (75%) ทำนายแนวโน้มขาขึ้นของคู่นี้ แต่แทบไม่มีใครคาดการณ์ว่า ราคาจะตัดทะลุอย่างก้าวกระโดดขนาดนั้น ผลจากสงครามสายฟ้าแลบนี้ ราคาไม่ใช่แค่ทำระดับสูงสุดในรอบเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ 116.35 เท่านั้น แต่ยังขยับขึ้นถึงโซนที่มีการซื้อขายมาเป็นเวลานาน คือช่วงระหว่างปี 2016/2017

    ผู้เชี่ยวชาญอ้างถึงข้อเท็จจริงว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงพยายามหลีกเลี่ยงการลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะมีความต้องการถือเงินเยนที่อ่อนแอ อย่างที่เราเคยเขียนไว้แล้ว ธนาคารฯ เชื่อว่า การใช้นโยบายทางการเงินที่คุมเข้มในสถานการณ์ปัจจุบันอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ประเทศญี่ปุ่นยังได้เข้าร่วมในการคว่ำบาตรประเทศรัสเซีย ซึ่งส่งผลให้บริษัทส่งออกหลายแห่งต้องสูญเสียรายได้จำนวนไม่น้อย

    ท่ามกลางการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย เราควรให้ข้อมูลด้วยว่า รัสเซียและญี่ปุ่นนั้นไม่เคยทำสนธิสัญญาณสงบศึกกันตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และในทางการแล้วถือว่าสองประเทศนี้ยังคงอยู่ในภาวะสงคราม โดยสาเหตุคือความขัดแย้งกันในการอ้างสิทธิ์เหนือซาคาลินตอนใต้และหมู่เกาะคูริล และประเด็นนี้ก็ถูกยกขึ้นมาพูดถึงกันอีกครั้งในช่วงนี้

    สถิติที่อ่อนแอก็กระทบต่อเงินเยนในสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน GDP ของญี่ปุ่นลดลงจาก 1.3% เหลือ 1.1% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 แทนที่จะเติบโตขึ้นมาที่ 1.4% ในรอบปี สถิติดังกล่าวลดลงจาก 5.4% เหลือ 4.6% ซึ่งทำให้นักลงทุนต้องผิดหวัง

    สำหรับการคาดการณ์ 80% ของนักวิเคราะห์เชื่อว่า เริ่มหมดศักยภาพที่ราคาคู่นี้จะเติบโตต่อไป แต่อีก 20% มีความเห็นในทางตรงกันข้าม ด้านอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 มีสัญญาณที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง หลังจากราคาตัดทะลุขึ้นอย่างทรงพลัง ในที่นี้ อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ 90% ชี้ไปทางทิศเหนือ แต่หนึ่งในสามของจำนวนดังกล่าวชี้ว่าราคาอยู่ในโซน overbought แล้ว และออสซิลเลเตอร์ 10% มีท่าทีเป็นกลาง

    ผู้เชี่ยวชาญจึงวางเป้าระดับแนวต้านไว้ที่ 117.35, 117.70, 118.00 และ 118.60 ด้านแนวรับตั้งอยู่ที่บริเวณระดับและโซน 117.00, 116.75, 116.35, 115.75, 115.00, 114.40-114.65, 114.15, 113.75

    การประชุมที่จัดขึ้นเป็นประจำของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม แต่หากธนาคารอังกฤษมีอะไรที่ตอบโต้ต่อธนาคารเฟดสหรัฐฯ เราไม่คาดว่าจะมีเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจใด ๆ จากทางฝั่งธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งคงอัตราดอกเบี้ยติดลบ (-0.1%) มาโดยตลอด เงินเยนในฐานะที่หลบภัยมักได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนที่หนีออกจากสินทรัพย์กลุ่มเสี่ยง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนกลุ่มนี้อาจจะชื่นชอบดอลลาร์มากกว่าในเวลานี้

คริปโตเคอเรนซี: ความลึกลับวันที่ 9 มีนาคม และความลับของการต่อสู้ระหว่างเผ่าคริปโต

  • หลายคนอาจรู้สึกประหลาดใจกับราคาบิทคอยน์ที่พุ่งกระโดดเมื่อวันพุธที่ 9 มีนาคม ซึ่งช่วงต้นสัปดาห์นั้นผ่านไปอย่างค่อนข้างสงบ ฝั่งกระทิงพยายามตัดทะลุเหนือระดับ $40,000 ฝั่งหมพยายามกดราคาลงต่ำกว่า $37,000 และอยู่ดี ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง คู่ BTC/USD ก็พุ่งขึ้นถึง 10% ไปที่ราคา $42,520

    มันเกิดขึ้นเพราะอะไร?

    เราได้พูดถึงหลายครั้งแล้วว่า ปัจจุบันและอนาคตของตลาดคริปโตนั้นอยู่ในกำมือของทำเนียบขาวและธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นหลัก และการกระโดดขึ้นของราคาเมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมาก็ช่วยยืนยันข้อเท็จจริงนี้

    บิทคอยน์และสินทรัพย์ดิจิทัลสกุลอื่น ๆ พุ่งขึ้นหลังจากมีการเปิดเผยรายละเอียดคำสั่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน เอกสารฉบับนี้สั่งให้หน่วยงานระดับรัฐต้องไปศึกษาผลกระทบของคริปโตเคอเรนีต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจแห่งชาติภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงให้ภาพรวมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในข้อกฎหมาย โดยเฉพาะ ความจำเป็นในการประสานการทำงานกับกลต. (คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ) และ CFTC (คณะกรรมการการซื้อขายฟิวเจอร์สสินค้าโภคภัณฑ์) รวมถึงให้คำนิยามของบทบาทของหน่วยงานรัฐบาลของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์)

    นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า เหตุการณ์ในยูเครนกระตุ้นให้ทำเนียบขาวเร่งเตรียมเอกสารฉบับนี้ หรือกล่าวได้ว่า ความกลัวว่าองค์กรบางแห่งหรือคนบางกลุ่มอาจใช้สินทรัพย์ดิจิทัลในการหลบหลีกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่เปลี่ยนสาระสำคัญ ในขณะที่จีนสั่งทำลายตลาดนี้โดยสิ้นเชิง สหรัฐฯ กลับอยากจะพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ในประเทศ และนี่ก็ได้รับกระแสตอบรับในเชิงบวกในหมู่นักลงทุน

    ความตั้งใจของวอชิงตันนี้ได้รับการยืนยันโดย แอนโธนี สการามัชชี (Anthony Scaramucci) ผู้ก่อตั้ง SkyBridge Capital และอดีตผู้อำนวยการด้านการสื่อสารของทำเนียบขาวสหรัฐฯ เขามั่นใจว่าสหรัฐฯ จะไม่เข้มงวดกับตลาดคริปโต “ผมไม่คิดว่าจะสหรัฐฯ จะอยากสูญเสียภาวะความเป็นผู้นำในบริการภาคการเงิน หากพวกเขาตัดสินใจสั่งห้ามหรือคุมเข้มสกุลเงินดิจิทัลมากเกินไป เราจะได้เห็นกระแสเงินไหลและมันสมองไหลออกจากประเทศนี้”

    นักธุรกิจรายนี้ให้สัมภาษณ์กับ Magnifi ด้วยว่า นักลงทุนควรซื้อ BTC แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยทำงานกับคริปโตเคอเรนซีมาก่อน ตามความเห็นของเขาแล้ว ผู้ถือเงินแบบเลือดเย็นรู้จักวิธีที่จะรอผลตอบแทนในอนาคต เขามั่นใจว่า บิทคอยน์การันตีที่จะขยับขึ้นถึง $100,000 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการรายนี้ยังเก็บเงินประมาณ $1 พันล้านเหรียญในรูปของบิทคอยน์ในเวลานี้

    กลับมาที่เรื่องการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาบิทคอยน์พุ่งทะยานขึ้น บิลล์ มิลเลอร์ (Bill Miller) นักลงทุนในตำนานและเศรษฐีพันล้านกล่าวว่า “เงินสำรองเกือบ 50% ของรัสเซียถูกเก็บไว้ในสกุลเงินที่ควบคุมโดยผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อประเทศ” ในแง่นี้ รัฐบาลรัสเซียอาจพยายามใช้ทองคำดิจิทัลเป็นสกุลเงินสำรอง และนี่อาจเป็น “สัญญาณกระทิงอย่างยิ่ง” สำหรับบิทคอยน์

    การคาดการณ์แนวกระทิงก็มจากนักวิเคราะห์คริปโตชื่อดัง Dave the Wave เช่นกัน ผู้คาดการณ์ว่า ราคาบิทคอยน์น่าจะทำระดับสูงสุดใหม่ในปี 2022 โดย Dave the Wave ได้เผยแพร่กราฟราคา BTC และอธิบายว่า แม้ว่าราคาเหรียญจะขยับลงต่ำกว่า $40,000 แต่ก็ยังอยู่ในเส้นทางไปยัง $100,000 ท่ามกลางการทรุดตัวลงของตลาดโลก เหรียญนี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์อย่างมั่นคงจากระดับ $36,000

    ไมเคิล วาน เด ปอบเปอ (Michael van de Poppe) นักวิเคราะห์คริปโตและนักเทรดชื่อดังมองสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างออกไป เขาเชื่อว่า บิทคอยน์อาจขยับลงมาต่อเนื่องที่ $30,000 ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปตะวันออก “ทำไมล่ะ?” เขาถาม และตอบว่า “เพราะภาวะวิตกระยะสั้น คุณควรเข้าใจว่า นักเทรดคือผู้คนที่ให้ความสนใจกับเรื่องในระยะสั้น และมีอารมณ์หุนหันพลันแล่น และนี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นในตลาด” ในขณะเดียวกัน เขาเน้นว่าภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในขณะนี้คือโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่ยังคงเชื่อมั่นในบิทคอยน์ให้ได้มีโอกาสเก็บเหรียญเพิ่มขึ้น

    สำหรับเหรียญอัลท์คอยน์ทางเลือกนำโดย Ethereum นั้น นักเทรดมองว่าเหรียญเหล่านี้ยังคงอยุ่ภายใต้แรงกดดัน แรงขายที่แข็งแกร่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งอาจกดราคาให้ขยับลงต่อไปจนราคา Ethereum ถึงที่ระดับ $2,000

    ไมค์ โนโวกราตซ์ (Mike Novogratz) เศรษฐีพันล้านและซีอีโอ Galaxy Digital ให้ความเห็นว่า บิทคอยน์และทองคำจะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดในอนาคต “คุณสามารถใส่เครื่องหมายเท่ากับระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองชนิดนี้ได้เลยและหยุดถกเถียงกันว่าอะไรสำคัญมากกว่ากัน BTC หรือโลหะมีค่า” กล่าวโดยโนโวกราตซ์

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความเท่าเทียมปรากฏขึ้นในขณะนี้ ในทางกลับกัน นักวิเคราะห์จาก IntoTheBlock ชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบิทคอยน์และโลหะมีค่าลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2021 โดย ความสัมพันธ์ขยับถึงระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน สำหรับความสัมพันธ์กับทองคำและเงิน ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การปฏิบัติการทางทหารที่รัสเซียรุกรานอาณาเขตประเทศยูเครน บิทคอยน์มีความสัมพันธ์อย่างสูงกับตลาดหุ้นดั้งเดิม ในขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง

    ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ตัวชี้วัดที่ประเมินการกลับมาของสินทรัพย์และระดับความเสี่ยงชี้ให้เห็นว่า โลหะมีค่าทำผลงานได้ดีมากกว่าเพียงใดในการตอบสนองต่อความผันผวนที่เกิดขึ้น เมื่อเทียบกับบิทคอยน์

    ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำด้วยว่า ผู้เป็นเจ้าของบิทคอยน์ส่วนใหญ่ (57%) ยังไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาเหรียญล่าสุด ผู้ถือเหรียญหลายคนเก็บสินทรัพย์เสมือนจริงนี้ไว้นานกว่าหนึ่งปี ซึ่งหมายความว่าพวกเขายังคงได้รับผลตอบแทนที่เป็นบวก

    ในขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ (ช่วงเย็นวันที่ 11 มีนาคม) หลังจากราคาพุ่งขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ทุกอย่างก็กลับมาสู่ปกติ: คู่ BTC/USD ซื้อขายกันอยู่ที่บริเวณ $39,000 โดยมีมูลค่ารวมในตลาดหลังจากขึ้นไปที่ $1.854 ล้านล้านดอลลาร์ ก็กลับมาที่ระดับเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าที่ $1.740 ล้านล้านดอลลาร์ และดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขยับลงมาจาก 27 เหลือ 22 จุด โดยกลับมาที่โซนเกรงกลัวอย่างยิ่ง (Extreme Fear) อีกครั้ง

    และในบทสรุป อีกหนึ่งไลฟ์แฮ็กตลก ๆ ครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงวิธีการแปลก ๆ ในการทำเงินในตลาด ในครั้งนี้ คำแนะนำของเราคือ “ลองเขียนเรื่องเขย่าขวัญแนวคริปโต” ตัวอย่างคือหนังสือขายดีที่เพิ่งเปิดตัวจากนักข่าวของนิตยสาร Forbes ชื่อว่า ลอรา ชิน (Laura Shin) ซึ่งชื่อหนังสือก็บอกได้ดีอยู่แล้ว  “The Cryptopians: Idealism, Greed, Lies, and the Making of the First Big Cryptocurrency Craze” (คริปโตเปียนส์: ความเป็นอุดมคติ ความโลภ เรื่องโกหก และการเกิดกระแสบ้าคลั่งคริปโตเคอเรนซีใหญ่ครั้งแรก) ผู้เขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ของคนรวยเพื่อแย่งชิงอิทธิพลและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม “เงินใหม่” นี้

    เธอยังแนะนำให้ผู้อ่านได้รู้จักกับบุคคลสำคัญในแวดวงดิจิทัลมากมาย เช่น  วิตาลิก บูเทอริน (Vitalik Buterin), Web3 prodigy, ชาร์ลส์ โฮสกินสัน (Charles Hoskinson) และ โจ ลาบิน (Joe Labin) หรืออดีตรองประธาน Goldman Sachs ผู้กลายเป็นหนึ่งในเศรษฐีพันล้านคริปโตที่มีชื่อเสียงมากที่สุด) “แสงเริ่มเจิดจ้าเมื่อบุคคลสำคัญเหล่านี้ต่อสู้กันเพื่อชิงตำแหน่งในสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นโลกธุรกิจแห่งใหม่ที่ไม่มีขีดจำกัด” เธอเขียนโดยอธิบายถึงการเผชิญหน้ากันระหว่าง “เผ่าคริปโต”

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา