EUR/USD: เหตุผลสามประการที่ดอลลาร์แข็งค่า
- ในบทวิเคราะห์ฉบับที่แล้ว จำนวนผู้ที่โหวตว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเป็นฝ่ายชนะโดยมีคะแนนนำเพียงเล็กน้อย ในครั้งที่แล้ว นักวิเคราะห์ 50% โหวตให้กับแนวโน้มขาขึ้น 40% โหวตทิศทางตรงกันข้าม และ 10% มีท่าทีเป็นกลาง สาเหตุของความไม่แน่นอนและความเห็นที่ไม่ตรงกันดังกล่าวเป็นเพราะตลาดดูเหมือนจะเก็งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2022 ไว้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ก็ยังแข็งค่าขึ้นต่อไป ดัชนี DXY ขึ้นมา 2% ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และคู่ EUR/USD ขยับตามฝั่งที่สนับสนุนตลาดหมี โดยราคาได้ตัดทะลุแนวรับที่โซน 1.0950-1.1000 และมุ่งเป้าไปที่ราคาต่ำสุดของวันที่ 7 มีนาคม ที่ 1.0805 แต่ราคายังไม่สามารถขยับถึงระดับดังกล่าว และปิดตลาดที่ 1.0874
แล้วทำไมดอลลาร์จึงแข็งค่าขึ้นมา? มีเหตุผลสามประการด้วยกัน เหตุผลแรกคือนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟด ซึ่งเริ่มเข้มงวดขึ้นเป็นอย่างมาก เรากำลังพูดถึงการลดงบประมาณ ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ตั้งใจจะลดงบกว่า $1 ล้านล้านเหรียญต่อปี และนี่ถือว่าเท่ากับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่ 25 จุดพื้นฐาน 3-4 ครั้ง ในช่วงปี 2022-2023 ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์น่าดึงดูดขึ้น
สาเหตุประการที่สองและสามมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอีกฟากของมหาสมุทรแอตแลนติก ในยุโรป ซึ่งก็คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีในฝรั่งเศส และมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อรัสเซียเนื่องด้วยความขัดแย้งทางการทหารในยูเครน
การเลือกตั้งรอบแรกจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน มารีน เลอ แปง ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของฝรั่งเศสเป็นผู้ที่กังขาในความเป็นอียู อย่าลืมว่าเธอเคยเกือบเรียกร้องให้ฝรั่งเศสออกจากยูโรโซนเมื่อปี 2017 และถึงแม้ว่าพรรคฝ่ายค้านจะแพ้การเลือกตั้ง แต่ก็ยังเป็นแรงสั่นสะเทือนต่อการบูรณาการของยุโรป แต่ถ้าหากมารีน เลอ แปง ขึ้นสู่อำนาจ สกุลเงินยูโรจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า คู่ EUR/USD อาจขยับลดลงมายังระดับ 1.0500 หรืออาจต่ำกว่า
สำหรับเรื่องมาตรการคว่ำบาตร เราเคยกล่าวไว้แล้วหลายครั้งว่า มาตรการเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจรัสเซียอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงเศรษฐกิจอียูอีกด้วย เนื่องจากสหภาพยุโรปมีความพึ่งพาอาศัยแหล่งพลังงานของรัสเซียเป็นอย่งมาก นอกจากนี้ เรายังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซีย และโอกาสที่ปฏิบัติการทางทหารอาจกลายเป็นหายนะที่เลวร้ายกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เชอร์โนบิลล์ได้หลายเท่า
เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ได้แก่ การประชุมของธนาคารกลางยุโรป และการแถลงข่าวที่จะตามมาของผู้บริหารในวันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน มีโอกาสสูงที่อัตราดอกเบี้ยจะคงที่ที่ระดับศูนย์ อย่างไรก็ดี นักลงทุนหวังว่าจะได้เห็นสัญญาณเกี่ยวกับแผนการของธนาคารกลางยุโรปในการรับมือกับความท้าทายทั้งภายในและภายนอก
ในระหว่างนี้ นักวิเคราะห์ 45% โหวตว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นต่อไป อีก 35% มีความเห็นในทางตรงกันข้าม ส่วน 20% มีมุมมองที่เป็นกลาง อินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์ทั้งหมดบนกรอบ D1 ให้สัญญาณสีแดง แต่ 25% ของออสซิลเลเตอร์ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในช่วง oversold แล้ว
เป้าหมายที่ใกล้ที่สุดสำหรับฝั่งหมีของ EUR/USD คือราคาต่ำสุดของวันที่ 7 มีนาคมที่ 1.0805 และหากราคาตัดผ่านแนวรับดังกล่าวได้สำเร็จ ก็จะสามารถมุ่งเป้าไปยังระดับต่ำสุดของปี 2020 ที่ 1.0635 และราคาต่ำสุดของปี 2016 ที่ 1.0325
ฝั่งกระทิงจะพยายามที่จะดันราคาขึ้นไปเหนือระดับ 1.1000 เพื่อยืนเหนือแนวต้านที่ 1.1050 และหากทำได้สำเร็จ ราคาจะขยับขึ้นไปยังโซน 1.1120-1.1137 โดยเป้าหมายถัดไปคือราคาสูงสุดของวันที่ 31 มีนาคมที่ 1.1184
นอกจากการประชุมของธนาคารกลางยุโรปแล้ว ปฏิทินเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้ายังรวมถึงการประกาศสถิติผู้บริโภคของเยอรมนีในวันอังคารที่ 12 เมษายน และสถิติผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในวันที่ 12 และ 14 เมษายน ส่วนในวันที่ 15 เมษายน จะเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ในสหรัฐฯ และหลายประเทศในยุโรป เพราะเป็นวันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)
GBP/USD: ธนาคารเฟดสายเหยี่ยว และธนาคารอังกฤษสายพิราบ
- ระดับแนวรับที่สำคัญและแข็งแกร่งเป็นอย่างมากของคู่นี้คือระดับต่ำสุดของวันที่ 15 มีนาคม (และในเวลาเดียวกันของช่วงปี 2021-2022) ที่ 1.3000 ฝั่งตลาดหมี GBP/USD ได้ตัดผ่านระดับดังกล่าว และขยับถึง 1.2981 เมื่อวันที่ 8 เมษายน ในช่วงตลาดอเมริกัน ทั้งนี้ ดูเหมือนว่านักเทรดฝั่งยุโรป รวมถึงของอังกฤษมีความลังเล แต่ชาวอเมริกันปฏิบัติกับสกุลเงินยุโรปอย่างเหยียดหยาม หรือพูดง่าย ๆ ว่า ยังคงสร้างแรงกดดันอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากรายงานผลการประชุมของธนาคารเฟดและความเห็นของผู้บริหารที่เป็นไปในทางคุมเข้มหรือนโยบายสายเหยี่ยว ส่วนทางฝั่งธนาคารกลางอังกฤษ ความเห็นล่าสุดของผู้บริหารค่อนข้างผ่อนคลายเป็นอย่างมาก และสร้างความสงสัยในตลาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษจะสามารถทำตามความคาดหวังและเพิ่มความเข้มงวดในนโยบายทางการเงินได้จริงหรือไม่
ราคาปิดท้ายสัปดาห์หลังจากรีบาวด์ที่ 1.3031 หากราคาคู่ GBP/USD ยังคงสามารถเกาะตัวอยู่ใต้ระดับ 1.3000 นี่จะเป็นการปูทางไปสู่ราคาต่ำสุดของเดือนพฤศจิกายน 2020 ที่บริเวณ 1.2850 จากนั้นคือราคาต่ำสุดของเดือนกันยายน 2020 ที่ 1.2700 แนวโน้มนี้ได้รับการสนับสนุนโดยนักวิเคราะห์เพียง 35% เท่านั้น ส่วนอีก 65% ที่เหลือยังรอให้ราคาปรับฐานไปยังทิศเหนือ โดยให้แนวต้านในที่นี้ ได้แก่ 1.3050, 1.3100 และโซน 1.3185-1.3215 จากนั้นคือ 1.3270-1.3325 และ 1.3400 ด้านอินดิเคเตอร์ทั้งหมดบน D1 ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับคู่ EUR/USD โดยชี้ไปยังทิศใต้ ส่วนออสซิลเลเตอร์ 15% ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในช่วง oversold
สำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร เราอาจเน้นการประกาศสถิติ GDP ของสหราชอาณาจักร และดัชนีการผลิตทางอุตสาหกรรมในวันจันทร์ที่ 11 เมษายน รวมถึงดัชนียอดขายปลีกในวันอังคารที่ 12 เมษายน เราจะได้รับชุดสถิติจากตลาดแรงงานสหราชอาณาจักรในวันเดียวกัน และจากตลาดผู้บริโภคในวันพุธที่ 13 เมษายน
USD/JPY: คนญี่ปุ่นคัดค้านเงินเยนที่อ่อนค่า
- ในบทรีวิวครั้งที่แล้วเราตั้งชื่อตอนนี้ว่า “125.09: ไม่มีสถิติใหม่อีกต่อไป?” หลังผ่านมาหนึ่งสัปดาห์ เราคงต้องบอกว่าสถิติคงจะเกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าคู่ USD/JPY จะขยับขึ้นทิศเหนืออยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ทำระดับต่ำสุดไว้ที่ 124.67 ในครั้งนี้ และปิดตลาดที่ 124.36
เนื่องจากนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายเป็นอย่างมากของธนาคารกลางญี่ปุ่น เงินเยนจึงอาจจะอ่อนค่าได้ต่อไป และคู่ USD/JPY ได้ขยับถึงระดับสูงสุดในรอบหลายปีที่ 125.09 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ซึ่งไม่ไกลจากระดับสูงสุดของปี 2015 ที่ 125.86
ในสัปดาห์นี้ไม่คาดว่าจะมีการประกาศสถิติที่สำคัญใด ๆ ของเศรษฐกิจญี่ปุ่น กิจกรรมเดียวที่อาจให้ความสนใจคือ การกล่าวแถลงของ นายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น ในวันพุธที่ 13 เมษายน แต่ไม่น่าจะส่งอิทธิพลใด ๆ แต่ในที่นี้ เราอาจจะพิจารณาคำพูดของ ฮิเดโอะ ฮายากะวา อดีตผู้อำนวยการนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารฯ ว่า เนื่องด้วยเงินเยนที่อ่อนค่าในเวลานี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจปรับหลักเกณฑ์นโยบายทางการเงินในเดือนกรกฎาคม “ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นได้กล่าวซ้ำหลายครั้งว่า เงินเยนที่อ่อนค่านั้นเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ในความเป็นจริง ผลกระทบนี้นั้นไม่ไกลจาก 50/50 และความไม่สะดวกสบายในครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น เพราะภาวะเงินเฟ้อในญี่ปุ่นก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ชอบให้เงินเยนอ่อนค่า” เขากล่าวเมื่อวันที่ 8 เมษายน โดยเขามองว่า “มันไร้เดียงสาเกินไปสำหรับธนาคารกลางญี่ปุ่นที่จะพูดว่า เงินเยนที่อ่อนค่านั้นเป็นสิ่งที่ดี ในเวลาที่รัฐบาลใช้มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาราคาที่สูงขึ้นและจำกัดราคาน้ำมัน”
นักยุทธศาสตร์ที่ Rabobank ก็เชื่อเช่นกันว่า หาก USD/JPY กระโดดขึ้นเหนือระดับ 125.00 อย่างรวดเร็ว จะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะต้องทบทวนนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
ณ ขณะนี้ โอกาสที่คู่นี้จะพยายามทดสอบแนวต้านเป็นครั้งที่สองที่บริเวณ 125.00-125.09 คาดว่าอยู่ที่ 50/50 อย่างไรก็ตาม เมื่อเปลี่ยนจากการวิเคราะห์รายสัปดาห์เป็นการวิเคราะห์ช่วงครึ่งหลังของเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (85%) ทำนายว่า เงินเยนจะแข็งค่าขึ้นและคาดว่าจะได้เห็นราคาอยู่ในโซน 115.00-117.00
ในส่วนอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ให้ผลเช่นเดียวกับสองกรณีก่อนหน้าข้างต้น โดยมีเสียงเป็นเอกฉันท์โดยสมบูรณ์: อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% รวมถึงออสซิลเลเตอร์ 100% ชี้ไปทางทิศเหนือ ในขณะที่ 25% ของออสซิลเลเตอร์ให้สัญญาณด้วยว่าราคาอยู่ในโซน overbought เนื่องด้วยความผันผวนที่สูงของคู่นี้ แนวรับกำหนดไว้ที่ 123.65-124.05, 122.35-123.00 และ 121.30 จากนั้นตามมาด้วยโซน 120.60-121.30, 119.00-119.40, 118.00-118.35
คริปโตเคอเรนซี:การปรับฐานหรือการเริ่มต้นของแนมโน้มทรุดตัวรอบใหม่
- นักขุดเหรียญได้ขุดบิทคอยน์ครบจำนวน 19 ล้านบิทคอยน์เมื่อวันศุกร์ที่ 1 เมษายน จากจำนวนจำกัดทั้งสิ้น 21 ล้าน BTC ตามอัลกอริทึมที่กำหนด กล่าวคือเหลือบิทคอยน์ที่ต้องขุดอีกไม่ถึง 10% เพราะเช่นนี้ บิทคอยน์ตามที่กำหนดไว้โดยผู้สร้าง จึงอาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่หายากเป็นอย่างยิ่ง และจะช่วยดันมูลค่าของเหรียญขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนี่คือสิ่งที่ผู้ร่วมตลาดหลายคนคาเหวัง
แนวโน้มการเก็บสะสมบิทคอยน์ดูจะดำเนินต่อไปในช่วงล่าสุด นักวิเคราะห์จาก Glassnoded สังเกตเห็นว่า นอกเหนือจาก “วาฬ” ยังมี “กุ้ง” (ที่อยู่ที่มียอดเงินคงเหลือน้อยกว่า 1 BTC) ที่มีบทบาทในการสะสมเหรียญด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่ราคาต่ำสุดเมื่อวันที่ 22 มกราคม พวกเขาได้สะสมบิทคอยน์คิดเป็น 0.58% ของปริมาณในตลาด และทำให้สัดส่วนของนักลงทุนกลุ่มนี้คือ 14.26%
ในขณะนี้ นักขุดเหรียญได้ทำการขุด 19 จาก 21 ล้านเหรียญบิทคอยน์แล้ว ซึ่งอาจทำให้บิทคอยน์กลายเป็นสินทรัพย์ที่หายาก Glassnode ระบุว่า อัตราการไหลออกของเหรียญจากแพลตฟอร์มที่มีศูนย์กลางเพิ่มขึ้นเป็น 96,200 BTC ต่อเดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่พบได้ยากมากในมุมมองทางประวัติศาสตร์ ยอดคงเหลือบนตลาดซื้อขายลดลงสู่ระดับเดือนสิงหาคม 2018 โดยราคาตัดผ่านเส้นแนวราบที่สังเกตเห็นได้ตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2021 จำนวนเหรียญในที่อยู่บิทคอยน์ที่มักจะเก็บสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 217,000 BTC ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2021 ขึ้นไปยังระดับสถิติที่ 2,854,000 BTC หากอ้างอิงจากตัวเลขที่นำเสนอนี้ มีความเป็นไปได้ที่บิทคอยน์จะมีปริมาณการสะสมเหรียญต่อวันที่ 1800 BTC ซึ่งสูงกว่าอัตราการเกิดของเหรียญสองเท่า
แนวโน้มนี้ได้รับการยืนยันจากรายงานของบริษัทด้านการวิเคราะห์ IntoTheBlock ซึ่งระบุว่า ปริมาณเหรียญทั้งหมดในวอลเล็ตของผู้ร่วมตลาดเหล่านี้ขยับถึง 12 ล้าน BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ $551.37 พันล้านดอลลาร์ “นักลงทุนระยะยาวเป็นเจ้าของเหรียญในปริมาณที่เป็นสถิติ สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงระยะสะสมกำลัง ช่วยผ่อนคลายแรงกดดันในการขาย และอาจช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้กับบิทคอยน์ในฐานะเครื่องสะสมมูลค่า”
การคาดการณ์ที่เยี่ยมยอดที่สุดของอนาคตบิทคอยน์มาจากนักวิเคราะห์ของบริษัทด้านการลงทุน VanEck การคำนวณของเขาให้ผลลัพธ์ว่า ราคาบิทคอยน์อาจขยับถึง $4.8 ล้านดอลลาร์ หากคริปโตเคอเรนซีกลายเป็นสินทรัพย์สำรองของโลก การคาดการณ์ดังกล่าวมาจากการพิจารณาปริมาณเงิน M2 กล่าวคือ ปริมาณเงินสดที่หมุนเวียนและเงินทุกประเภทที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบเงินสด และมีช่วงราคาที่ต่ำลงมาด้วยเช่นกันที่ $1.3 ล้านเหรียญต่อ 1 ฺBTC โดยคำนวณจากปริมาณเงิน M0 ซึ่งไม่รวมเงินที่ไม่อยู่ในรูปแบบเงินสด
นักวิเคราะห์ของ VanEck เตือนว่า การคาดการณ์ของพวกเขานั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้จุดเริ่มต้นสำหรับนักลงทุนที่ต้องการจะประมาณการมูลค่าของบิทคอย์ในหนึ่งในสถานการณ์ที่อาจไม่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกันก็ระบุด้วยว่า จริง ๆ แล้วไม่ใช่บิทคอยน์แต่อย่างใด แต่เป็นเงินหยวนญี่ปุ่นที่เป็นคู่แข่งหลักเพื่อชิงสถานะสกุลเงินสำรองของโลก
แม้แต่แฟนตัวยงคริปโตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็เข้าใจว่า ราคาหลายล้านดอลลาร์ต่อเหรียญนั้ยยังอยู่ห่างไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ในอนาคตที่เรามองเห็นได้นี้ สถานการณ์หลายแง่มุมดูเป็นไปในทางบวก ไมค์ โนโวกราตซ์ (Mike Novogratz) ซีอีโอของ Galaxy Digital ได้ปรับมุมองต่อบิทคอยน์ เขาเชื่อว่า การมาถึงของนักลงทุนและนักนวัตกรรมหน้าใหม่ การพัฒนาในการเมือง และเศรษฐกิจ และการยอมรับในบิทคอยน์โดยทางการจะช่วยพัฒนาตัวเลขคาดการณ์ให้กับ BTC ในปี 2022 “ในตอนต้น ผมเคยบอกไว้ว่า บิทคอยน์จะมีปีที่ขาดเสถียรภาพ ราคาเหรียญจะผันผวนในช่วง $30,000 ถึง $50,000 แต่เมื่อพิจารณาการซื้อขายในตลาดในขณะนี้ ตลอดจนนักลงทุนและนวัตกรรมใหม่ ๆ การพัฒนา Web3 และ Metaverse ผมก็มีทัศนคติเชิงบวกมากขึ้น ดังนั้น ผมจะไม่ประหลาดใจหากคริปโตเคอเรนซีเติบโตเป็นอย่างมากภายในสิ้นปี 2022” กล่าวโดยเศรษฐีพันล้าน
ในความเห็นของเขา การยอมรับบิทคอยน์จะมีผลต่อไป เพราะทุกคนเข้าใจว่าเราอยู่ในโลกที่ไม่มั่นคงอย่างไร “บิทคอยน์เริ่มเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ในขณะที่ยุโรปและสหรัฐฯ ระงับกระแสการเงินของรัสเซีย การปฏิบัติทางทหารในยูเครนยิ่งสร้างแรงกดดันภาวะเงินเฟ้อเป็นอย่างมาก สร้างความเสี่ยงและความกังวลสูง แต่ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุนคริปโตและเร่งการยอมรับในสินทรัพย์ดิจิทัล” กล่าวโดยซีอีโอ Galaxy Digital
ราอูล พาล (Raoul Pal) อดีตพนักงาน Goldman Sachs และซีอีโอคนปัจจุบันของ Real Vision แบ่งปันมุมมองที่คล้ายกัน เขากล่าวในพอดแคสต์ MetaLearn ว่า โลกของเราพร้อมสำหรับคลื่นการยอมรับบิทคอยน์รอบใหม่ และการดิ่งลงต่อของตลาดจะส่งผลดีต่อการเติบโตของบิทคอยน์ “รัฐอธิปไตยโดยเฉพาะกองทุนต่าง ๆ จะเริ่มมองหาสินทรัพย์ระยะยาวที่จะให้ความมั่นคงในระดับหนึ่ง ดังนั้น พวกเขาจะศึกษาบิทคอยน์และเราจะได้เห็นการยอมรับมากขึ้น ไม่ใช่ในฐานะสกุลเงินแต่เป็นในฐานะสินทรัพย์อย่างหนึ่ง ผมคิดว่านี่เป็นทางออกที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก การใช้งานบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์หลักประกันสำรองระดับโลก"
ราอูล พาล มองว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคชี้ให้เห็นว่า โอกาสที่บิทคอยน์จะถูกเทขายครั้งใหญ่นั้นมีริบหรี่ ดังนั้น ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะยึดกลยุทธ์ระยะยาวและไม่เทรดคริปโตเคอเรนซีอย่างคึกคักมากนัก
อย่างไรก็ตาม ราคาบิทคอยน์หยุดขยับขึ้นหลังจากทำระดับที่ $48,156 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ฝั่งกระทิงยังไม่สามารถดันราคาขึ้นไปเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่รอบ 200 วันได้ และ ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในช่วงเย็นวันที่ 8 เมษายน บิทคอยน์ซื้อขายอยู่ที่บริเวณ $43,000 โดยมีมูลค่ารวมในตลาดต่ำกว่าระดับจิตวิทยาที่สำคัญที่ $2 ล้านล้านเหรียญ โดยลดลงจาก $2.140 เหลือ $1.985 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้านดัชนี Crypto Fear & Greed Index ก็เริ่มแย่ลงเช่นกัน โดยขยับลงจากโซนตรงกลางที่ 50 เหลือ 37 จุด ซึ่งถือว่าอยู่โซนความกลัว (Fear) แล้วในตอนนี้
Cheds นักวิเคราะห์และนักเทรดชื่อดังสังเกตเห็นการก่อตัวของรูปสามเหลี่ยมขาขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม ว่าเป็นสัญญาณกระทิง เขากล่าวว่า รูปสามเหลี่ยมดังกล่าวมักจะเป็นรูปแบบความต่อเนื่องของตลาดกระทิง และในกรณีที่ราคาตัดทะลุขึ้นด้านบน “การเคลื่อนที่ที่วัดค่าได้จะเป็นที่ความสูงของรูปสามเหลี่ยมนี้ ซึ่งจะพาราคาไปยัง $56,000 ถึง $58,000”
ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้นักเทรดจับตาดูเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่รอบ 200 วัน ให้ดี เพราะว่าอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคเส้นนี้กำลังทำหน้าที่เป็นแนวต้าน Chads เชื่อว่า หากฝั่งกระทิงสามารถพาราคา BTC ให้ยืนเหนือ $45,000 ได้สำเร็จ บิทคอยน์จะพร้อมบุกแนวต้านของ SMA-200 เพื่อทำราคาขึ้นอีก 26% ไม่เช่นนั้น ฝั่งตลาดกระทิงจะเจอความเสี่ยงที่จะถูกเทขายหนัก
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ขณะนี้ BTC/USD ซื้อขายอยู่ที่ $43,000 ซึ่งต่ำกว่าแนวรับที่ Cheds พูดถึง อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยความผันผวนของบิทคอยน์ ชัยชนะของฝั่งตลาดหมียังไม่ถือว่าเกิดขึ้นแล้วโดยสมบูรณ์ การตัดทะลุลงด้านล่างอาจเป็นเพียงสัญญาณเท็จ หรือบิทคอยน์อาจไม่เป็นสินทรัพย์ที่อิสระอีกต่อไป ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2010 บิทคอยน์จำนวน 10,000 BTC สามารถใช้ซื้อพิซซ่าได้สองถาดเมื่อมันมีชีวิตของมันเอง ตอนนี้มันได้โตขึ้นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก ขณะนี้ บิทคอยน์กำลังแสดงความสัมพันธ์เชิงวัฎจักรอย่างเกือบสมบูรณ์กับดัชนี S&P 500 ซึ่งล่าสุดมีอัตราที่ 0.9 และบิทคอยน์ร่วงลงตามหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งตลาดหุ้นเองก็ขึ้นอยู่กับมุมมองต่อความเสี่ยงของนักลงทุนทั่วโลก
หากความต้องการในสินทรัพย์กลุ่มเสี่ยงฟื้นตัว ตลาดคริปโตจะขยับขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า เราอาจได้เห็นคู่ BTC/USD ขยับลงมายังระดับต่ำสุดของเดือนมีนาคมบริเวณ $37,000 ต่อเหรียญ ในขณะที่ ความเป็นไปได้ที่ราคาบิทคอยน์จะดิ่งลงต่อถึง $30,000 ยังคงสูงด้วยเช่นกัน
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ