บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 18 - 22 เมษายน 2022

EUR/USD: นโยบายของธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรปที่แตกต่างกัน

  • ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่คู่ EUR/USD ขยับลดลง ราคา low ของสัปดาห์อยู่ที่ 1.0757 หลังการประชุมของธนาคารกลางยุโรปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน หลังราคาปรับฐานก็ปิดตลาดที่บริเวณ 1.0808

    เราได้บอกสาเหตุสามประการที่ดอลลาร์แข็งค่าในบทวิเคราะห์ฉบับที่แล้ว เหตุผลแรกคือความแตกต่างระหว่างนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรป ในขณะนี้ ความเป็นไปได้ที่ธนาคารเฟดจะเพิ่มความเข้มงวดในนโยบายทางการเงินเพิ่มขึ้น หลังการเปิดเผยรายงานอัตราเงินเฟ้อล่าสุดในสหรัฐฯ ดัชนีราคาผู้บริโภคทำระดับสูงสุดในรอบสี่สิบปี และขยับถึง 8.5% การเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้ออาจบังคับให้ธนาคารกลางต้องมีท่าทีที่จริงจังมากขึ้น และต้องปรับแผนการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และลดงบดุลในเดือนพฤษภาคม

    นายจอห์น วิลเลียมส์ (John Williams) ประธานธนาคารเฟดสาขานิวยอร์กและรองประธานคณะกรรมการ FOMC (คณะกรรมการตลาดเสรีสหรัฐฯ) กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า ธนาคารเฟดควรปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นระดับปกติโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะได้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และควรอยู่ในช่วง 2% ถึง 2.5% ดังนั้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมเดือนพฤษภาคมดูน่าจะเกิดขึ้นจริง

    ท่าทีที่ตรงกันข้ามกับท่าทีสายเหยี่ยวของธนาคารเฟดเป็นท่าทีแนวผ่อนคลายเป็นอย่างมากของธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางยุโรปคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0% ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 เมษายน ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย นอกจากนี้ ผู้แทนของธนาคารได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า การเติบโตของอัตราดอกเบี้ยท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี

    นางคริสติน ลาการ์ด (Christine Lagarde) ประธานธนาคารกลางยุโรปได้ยืนยันในงานแถลงข่าวหลังการประชุมว่า ธนาคารกลางยุโรปดำเนินการล่าช้ากว่าธนาคารเฟด และยูโรโซนจะได้รับผลกระทบหนักกว่าจากความขัดแย้งทางการทหารในยูเครน เศรษฐกิจอเมริกาและยุโรปไม่สามารถเทียบกันได้ ไม่ต่างกับแอปเปิลและส้ม ซึ่งคำพูดที่ชัดเจนดังกล่าวส่งผลให้คู่ EUR/USD ทรุดลงมายังระดับต่ำสุดในรอบสองปี

    จริงอยู่ที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันในพื้นที่ยูโรไม่สร้างความเชื่อมั่น และผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าสถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งขึ้นในอนาคต ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี ซึ่งประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดลงถึงระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือนที่ -41.0 (จาก -39.3 หนึ่งเดือนก่อนหน้า) ดัชนีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของเยอรมนีก็ลดลงมาที่ -30.8 ในเดือนเมษายน (จาก -21.4 ในเดือนมีนาคม) ส่งผลให้การคาดการณ์การเติบโตของ GDP เยอรมนีในปี 2022 ถูกปรับลดลงจาก 4.5% เหลือ 2.7%

    สถานการณ์อาจซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เนื่องจาก นางเออร์ซูลา วอน เดอ เลเยน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะมนตรียุโรป และ นายโจเซฟ บอร์เรลล์ (Josep Borrell) ประธานคณะการทูตของอียู ได้ประกาศความประสงค์ที่จะเพิ่มการจำกัดการส่งออกไฮโดรคาร์บอนจากรัสเซียในมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ ดังนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักตัวในยุโรปอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง

    เราได้กล่าวถึงอีกหนึ่งสาเหตุที่เป็นแรงกดดันต่ออียูในบทวิเคราะห์ฉบับที่แล้ว ซึ่งก็คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีในฝรั่งเศส การเลือกตั้งรอบแรกจัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน ในขณะนี้ ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง คนปัจจุบัน มีคะแนนนำที่ 27.84% และมารีน เลอ แปง ประธานพรรคขวาจัด National Rally Party มีคะแนนที่ 23.15% คะแนนนั้นห่างกันไม่มาก และยังมีโอกาสที่พรรคฝ่ายค้านจะเป็นฝ่ายชนะในรอบที่สองในวันที่ 24 เมษายนนี้ มารีน เลอ แปง เป็นผู้ที่กังขาต่ออียู และเธอเคยเรียกร้องให้ฝรั่งเศสแยกตัวออกจากยูโรโซนในปี 2017 และหากเธอขึ้นสู่อำนาจ คู่ EUR/USD อาจขยับลงมาที่ระดับ 1.0500 หรือต่ำกว่า

    ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ราคาลงทิศใต้ ซึ่งก็คือความต้องการในความเสี่ยงที่ลดลงรอบโลก ดัชนีหุ้น S&P500 ติดลบมาเป็นเวลาสามสัปดาห์ติดต่อกัน ในขณะที่ความต้องการถือสินทรัพย์หลบภัย เช่น ดอลลาร์ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น

    ในขณะนี้ มีนักวิเคราะห์ 50% โหวตว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นต่อ ส่วนความเห็นที่ตรงกันข้ามเป็นของผู้เชี่ยวชาญ 40% และอีก 10% ที่เหลือมีท่าทีเป็นกลาง อินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์ทั้งหมดบนกรอบ D1 ให้สีแดง แต่ 15% ของออสซิลเลเตอร์ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในช่วง oversold

    แนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ระดับ 1.0800 ส่วนเป้าหมายฝั่งหมีที่ใกล้ที่สุดของ EUR/USD จะเป็นราคา low วันที่ 14 เมษายนที่ 1.0757 และหากราคาหลุดลงมายังแนวรับดังกล่าว ราคาจะมุ่งไปต่อที่ low ของปี 2020 ที่ 1.0635 และ low ของปี 2016 ที่ 1.0325 ฝั่งกระทิงจะพยายามดันราคาขึ้นมาเหนือ 1.1000 และหากเป็นไปได้ราคาจะขยับถึงโซน 1.1050 แต่ในอันดับแรกราคาจะต้องยืนเหนือแนวต้านที่ 1.0840 และ 1.0900-1.0930 ให้ได้ก่อน

    ปฏิทินกิจกรรมสำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ได้แก่ ถ้อยแถลงของ นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ และนางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป ในวันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน การประกาศสถิติอัตราการว่างงานและกิจกรรมการผลิตในสหรัฐฯ ก็จะประกาศในวันเดียวกัน ส่วนดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในเยอรมนีและยูโรโซนจะประกาศในวันศุกร์ที่ 22 เมษายน

GBP/USD: การต่อสู้ชิง 1.3000

  • ในบทวิเคราะห์ฉบับที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (65%) สนับสนุนว่าราคาคู่ GBP/USD จะปรับฐานขึ้นด้านบนและทำนายได้อย่างถูกต้อง ดูเหมือนว่าในตอนต้นของสัปดาห์ ชัยชนะจะเป็นของฝั่งตลาดหมี โดยราคาหลุดแนวรับที่โซน 1.3000 และลงไปยัง 1.2972

    ทั้งนี้ ระดับ 1.3000 เป็นแนวรับ/แนวต้านที่สำคัญ ซึ่งไม่ใช่แค่ราคา low ของวันที่ 15 มีนาคม แต่อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็น low ของปี 2021-2022 อีกด้วย แต่ฝั่งกระทิงก็สามารถฉวยโอกาสในวันพุธที่ 13 เมษายน และฝ่าแนวต้านขึ้นมายัง 1.3147 และปิดท้ายสัปดาห์เหนือระดับดังกล่าวที่บริเวณ 1.3060

    เงินปอนด์ได้รับแรงหนุนมาจากชัยชนะทางยุทธศาสตร์ของธนาคารแห่งชาติอังกฤษเหนือธนาคารเฟดในศึกการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อในอังกฤษเพิ่มขึ้นจาก 6.2% เป็น 7.0% โดยธนาคารแห่งชาติอังกฤษทำนายไว้ว่า ระดับเงินเฟ้อจะขึ้นสูงสุดในเดือนเมษายนที่ 7.2% อย่างไรก็ตาม ธนาคารหลายแห่งไม่เห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าว และเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่หยุดแค่นี้ โดยจะขึ้นถึง 9.0% ในเดือนเมษายนและจะเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้น ธนาคารอังกฤษจึงต้องดำเนินการบางอย่าง และ “บางอย่าง” ที่ว่านี้ก็คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้ง การคาดการณ์นี้เองที่เป็นแรงผลักดันให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น

    เรามองว่าศึกต่อสู้ชิงระดับ 1.3000 จะยังคงยืดเยื้อต่อไปในสัปดาห์หน้า หากชัยชนะเป็นของฝั่งตลาดหมี ราคาจะทำ low ของวันที่ 13 เมษายนที่ 1.2972 และเปิดทางไปสู่ low ของเดือนพฤศจิกายน 2020 ที่บริเวณ 1.2850 และจากนั้นจะเป็นราคา low เดือนกันยายน 2020 ที่ 1.2700 โดยแนวรับที่ใกล้ที่สุดคือ 1.3050 ส่วนนักวิเคราะห์ 30% โหวตให้กับชัยชนะของฝั่งตลาดหมี ในขณะที่เสียงข้างมาก (70%) โหวตให้ฝั่งกระทิง ระดับแนวต้าน ได้แก่ 1.3100, 1.3150 และโซน 1.3190-1.3215 จากนั้นคือ 1.3270-1.3325 และ 1.3400 ในส่วนอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ฝั่งสีแดงเป็นฝ่ายได้เปรียบ และออสซิลเลเตอร์ 75% ให้สัญญาณสีแดงเช่นกัน อีก 15% เป็นสีเขียว และ 10% เป็นสีเทากลาง ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% เป็นสีแดง

    สำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของอังกฤษ เราอาจเน้นการกล่าวถ้อยแถลงของ นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษในวันที่ 21 และ 22 เมษายน ส่วนดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในภาคการผลิตและภาคบริการของสหราชอาณาจักรจะประกาศในวันศุกร์ที่ 22 เมษายน

USD/JPY: เราจะได้เห็นสถิติสวนทางใหม่จากเงินเยนหรือไม่?

  • ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรจะสามารถหยุดการอ่อนค่าของเงินเยนและการเติบโตของคู่ USD/JPY ได้ เงินเยนญี่ปุ่นทำสถิติใหม่สูงขึ้นเรื่อย ๆ และทำราคา high อีกครั้งที่ 126.67 ครั้งสุดท้ายที่ราคาไต่ขึ้นสูงขนาดนี้คือวันที่ 1 พฤษภาคม 2020 ซึ่งเป็นเวลา 20 ปีมาแล้ว

    เราเขียนระบุไว้ในบทรีวิวครั้งที่แล้วว่า คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต่อต้านเงินเยนที่อ่อนค่า แต่ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นก็ยังปฏิเสธที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยและลดการผ่อนคลายทางการเงิน ธนาคารฯ เชื่อว่า การรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจนั้นสำคัญกว่าการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ และความลักลั่นระหว่างนโยบายของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ก็ส่งผลพาราคาคู่ USD/JPY ขึ้นไปด้านบนต่อ

    ราคาคู่นี้ปิดตลาดที่ 126.37 โดยนักวิเคราะห์ 45% โหวตว่าเทรนด์ขาขึ้นจะดำเนินต่อไปในสัปดาห์หน้า ส่วน 55% นึกถึงการปรับฐานครั้งใหญ่ลงทิศใต้ที่เกิดขึ้นหลังจากราคาทยานขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม หลายคนจึงคาดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้งในตอนนี้ ทั้งนี้ เมื่อปรับมาเป็นการคาดการณ์ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน จำนวนผู้ที่สนับสนุนการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์สหรัฐเพิ่มเป็น 80% และเราได้กล่าวถึงความเห็นของนักยุทธศาสตร์จาก Rabobank ในครั้งที่แล้วว่า การที่คู่ USD/JPY พุ่งขึ้นเหนือ 125.00 อย่างรวดเร็วจะยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นจะทบทวนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการพุ่งขึ้นดังกล่าวนี้ก็เกิดขึ้นแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา

    อินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ให้ผลลัพธ์ที่พ้องกันโดยสมบูรณ์ 100% ของอินดิเคเตอร์เทรนด์ และออสซิลเลเตอร์ชี้ไปยังทิศเหนือ แต่ 35% ของออสซิลเลเตอร์อยู่ในโซน overbought แน่นอนว่าระดับแนวรับที่สำคัญในช่วงไม่กี่วันข้างหน้านี้จะเป็นระดับที่ 126.00 และ 125.00 และหากพิจารณาความผันผวนที่สูงของคู่นี้ เราอาจสรุปได้เป็นโซน 123.65-124.05, 122.35-123.00 และ 120.60-121.30 สำหรับแผนของฝั่งกระทิงคือการทำราคา high ของวันที่ 15 เมษายน และยืนเหนือ 127.00 ความพยายามที่จะกำหนดเป้าหมายถัดไป โดยเน้นระดับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้วอาจดูเหมือนเป็นการพยากรณ์ดูดวงมากกว่า

    ทั้งนี้ ไม่คาดว่าจะมีการประกาศสถิติที่สำคัญใด ๆ จากเศรษฐกิจญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้

คริปโตเคอเรนซี: 12 เมษายน: Space Flight Day. But not for bitcoin.

  • เราไม่สามารถเรียกครึ่งแรกของเดือนเมษายนว่าเป็นเดือนที่ประสบความสำเร็จสำหรับตลาดคริปโตได้ และหากบิทคอยน์พยายามที่จะยืนเหนือเส้น SMA 200 วัน เมื่อสองสัปดาห์ก่อนในวันที่ 4 เมษายน ฝั่งกระทิงก็ถือว่าพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง และราคา low ในกรอบอยู่ที่ $39,210 เมื่อวันที่ 12 เมษายน ทั้งนี้ วันดังกล่าวเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองของนักบินอวกาศ ยูริ กาการิน บินขึ้นสู่อวกาศและโคจรรอบโลกในวันที่ 12 เมษายน 1961 เป็นครั้งแรกในโลก แต่คู่ BTC/USD ไปไม่ถึงดวงดาวใด ๆ ได้แต่ตกลงมาจากชั้นบรรยากาศเท่านั้น

    ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในวันศุกร์ที่ 15 เมษายน ราคาคู่นี้ซื้อขายอยู่ที่ $40,440 มูลค่ารวมในตลาดลดลงเล็กน้อย และขณะนี้อยู่ต่ำกว่าระดับจิตวิทยาสำคัญที่ $2 ล้านล้าน โดยอยู่ที่ $1.880 ล้านล้านดอลลาร์ ด้านดัชนี Crypto Fear & Greed Index เปลี่ยนแปลงเช่นกัน โดยลดลงจาก 37 เหลือ 22 จุด และกลับมายังโซน Extreme Fear

    เราเขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่า บิทคอยน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกและแสดงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับดัชนีหุ้น โดยเฉพาะกับกราฟ S&P500 Arcana Research ระบุว่าค่าสัมประสิทธิ์ความสัมพันธ์ระหว่าง BTC และ S&P500 อยู่ที่ 0.497 ในเดือนมีนาคม 2022 โดยบิทคอยน์ขยับขึ้นและลดลงตามหลังตลาดหุ้น ซึ่งแปลว่าขยับขึ้นและลดลงตามท่าทีของธนาคารเฟดสหรัฐฯ และไม่มีคำถามที่ต้องสงสัยใด ๆ เกี่ยวกับความเป็นอิสระของบิทคอยน์

    อย่างที่เราเคยกล่าวไว้แล้ว ตอนนี้เกิดกระแสการเก็บสะสมบิทคอยน์ขึ้นอย่างชัดเจน ปริมาณการเก็บสะสมนี้เริ่มแซงหน้าอัตราการขุดเหรียญหลายเท่า Glassnode ชี้ว่า อัตราการไหลออกของเหรียญจากแพลตฟอร์มที่มีศูนย์กลางเพิ่มขึ้นเป็น 96,200 BTC ต่อเดือน ซึ่งแทบไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต นอกเหนือจากเหล่า “วาฬ” แล้วยังมี “กุ้ง” (ที่อยู่ที่มีบิทคอยน์จำนวนน้อยกว่า 1 BTC) ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสะสมเหรียญเช่นกัน แล้วทำไมมันจึงไม่ส่งผลให้ราคาขยับสูงขึ้นไปด้วย?

    คำตอบง่าย ๆ ก็คือ: ไม่มีนักลงทุนหน้าใหม่ นักลงทุนเก่ากลายเป็นผู้ถือเหรียญระยะยาว หรือกำจัดเหรียญทิ้ง โดยเมื่อวันที่ 12 เมษายนเพียงวันเดียว มีสัญญามูลค่า $439 ล้านเหรียญถูกล้างตามรายงานของ Coinglass ในขณะเดียวกันมีคำสั่งที่ถูกปิดลง 88% เป็นสัญญาซื้อ ส่วนสัญญาฟิวเจอร์สบิทคอยน์มูลค่า $160 ล้านเหรียญก็ถูกปิดลงเช่นกัน แต่ทั้งนี้ไม่มีเงินลงทุนใหม่ที่ไหลเข้ามาอย่างจริงจังในภาคคริปโต

    นักลงทุนหมดความต้องการในความเสี่ยงตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ดัชนีดอลลาร์ DXY และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ทำระดับใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นถึง 8.5% ในสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม ตลาดจึงรอให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนพฤษภาคมนี้ และคาดว่าจะขึ้นที่ 0.5% ไม่ใช่ 0.25% ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีกระแสเงินไหลออกจากสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงเข้าสู่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า

    นักวิเคราะห์จาก Bloomberg ชี้ว่า มูลค่าของบิทคอยน์อาจลดลงไปที่ $26,000 ในเร็ว ๆ นี้ ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า หากรูปทรงการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เรียกว่า “bear flags” เป็นจริง สถานการณ์ดังกล่าวก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ พวกเขามองว่า ราคา BTC กำลังอยู่บนเส้นทางไปทดสอบระดับแนวรับสำคัญที่บริเวณ $37,500 หากราคาไม่สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าว ตลาดจะเตรียมรอหายนะ

    การคาดการณ์ของ เจฟฟรีย์ ฮาลเลย์ (Jeffrey Halley) นักวิเคราะห์ดูเป็นบวกมากกว่า เขาเชื่อว่าราคาบิทคอยน์จะยังคงซื้อขายในกรอบที่ก่อตัวขึ้น โดยกรอบด้านล่างอยู่ที่ $36,500 และหาก BTC ร่วงลงหนักกว่าเดิม นี่อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างจริงจังสำหรับนักเทรดและนักลงทุน แต่ถ้าราคาบิทคอยน์ทะยานขึ้นในอนาคตอันใกล้เหนือกรอบด้านบนที่ $47,500 นี่จะเป็นเงื่อนไขให้ราคาทำ new high ใหม่ได้

    แต่ก็มีผู้ทรงอิทธิพลที่ไม่กังวลหรือขุ่นเคืองกับสถานการณ์ตลาดในขณะนี้แต่อย่างใด เช่น ไมเคิล เซย์เลอร์ (Michael Saylor) ซีอีโอบริษัท Microstrategy ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการลงทุนในบิทคอยน์ และ เคธี วูด (Cathie Wood) ซีอีโอบริษัท Arch Invest เป็นผู้ร่วมประชุมในงาน Bitcoin 2022 ในไมอามี ผู้เข้าร่วมในการอภิปรายทั้งสองคนนี้ยังคงเชื่อในบิทคอยน์ และรอให้ราคาเติบโตต่อไป และสถานการณ์ปัจจุบันในตลาดไม่ทำให้พวกเขากังวลแต่อย่างใด พวกเขามองว่า นโยบายทางการเงินของธนาคารเฟดจะยังเน้นอัตราเงินเฟ้อ และดันให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ เคธี วูด มองว่า บิทคอยน์จะเป็นตัวค้ำประกันความเสี่ยง และมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีเยี่ยม ราคาบิทคอยน์จึงอาจขยับขึ้นถึง $1 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ “มันต้องใช้ความพยายามพอประมาณเพื่อทำสิ่งนี้” “เราไม่ต้องอาศัยอะไรมาก เราแค่ต้องการให้ 2.5% ของสินทรัพย์ทั้งหมดถูกแปลงเป็นบิทคอยน์เท่านั้น”

    โรเบิร์ต คิโยซากิ (Robert Kiyosaki) นักเขียนและนักลงทุนชื่อดังเห็นด้วยอย่างเต็มที่กับความเห็นของนักวิเคราะห์ที่เชื่อว่า ดอลลาร์สหรัฐและตลาดอื่น ๆ กำลังใกล้ถึงจุดตกต่ำเนื่องด้วยราคาสินค้า น้ำมัน และพลังงานที่สูงขึ้น รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่แพร่ขยายหนัก เจ้าของหนังสือชื่อดังเรื่อง Rich Dad Poor Dad เชื่อว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกการเงินนั้นเป็นสัญญาณของวิกฤติที่กำลังจะมาถึง และกระบวนการนี้จะทำลายประชาชนชาวอเมริกันกว่าครึ่งหนึ่ง โดยเขามองว่า คริปโตเคอเรนซีจะเป็นเครื่องมือที่ลดความเสี่ยงได้ดีในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้สินทรัพย์ประเภทนี้ได้

    คิโยซากิได้เน้นว่า ชาวอเมริกัน 40% ไม่มีแม้กระทั่งเงินออม $1,000 อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และตัวเลขนี้จะสูงเกิน 50% ในเร็ว ๆ นี้ และจากนั้นการปฏิวัติก็จะเริ่มขึ้น

    นักวิเคราะห์จาก Morningstar ได้เผยแพร่รายงานที่อ้างว่า คริปโตเคอเรนซีไม่ใช่คู่ที่เทียบได้กับตลาดหุ้นและพันธบัตรในแง่ของผลตอบแทน ในขณะเดียวกัน พวกเขากล่าวเน้นว่าบิทคอยน์ “ยังเสี่ยงเกินไปที่จะเปรียบเทียบกับทองคำ” ผู้เขียนรายงานโต้แย้งว่า แม้จะมีแนวโน้มการทำกำไรสูงที่ตลาดคริปโตนำเสนอให้กับผู้ร่วมตลาด แต่นักเทรดจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก” “การทะยานขึ้นที่น่าใจหายทุกครั้งนำไปสู่การทรุดลงของราคาที่โหดเหี้ยมไม่แพ้กันในท้ายที่สุด” ระบุโดยรายงานของ Morningstar

    มันเป็นเรื่องยากที่จะโต้เถียงว่าการเก็งกำไรหรือการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นค่อนข้างเสี่ยง แต่ก็มีบางอย่างในธุรกิจนี้ที่ให้ผลประโยชน์พลอยได้ได้เหมือนกันกับธุรกิจประเภทอื่น ๆ เราจึงมักพูดถึงเรื่องนี้ในส่วนไลฟ์แฮ็คของแวดวงคริปโต ในครั้งนี้เป็นเรื่องพลังงานความร้อนและชายที่มีชื่อว่า โจนาธาน หยวน (Jonathan Yuan) เขามีลูก ๆ ที่ชอบเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ แต่ไม่เคยได้มีโอกาสเล่นน้ำเพราะน้ำเย็นเกินไป

    เขาจึงตัดสินใจใช้ประโยชน์จากการขุดเหรียญคริปโต และให้ความสนใจจากการที่อุปกรณ์ของเขานั้นผลิตความร้อนมากเกินไป เขาซื้อเครื่องแปลงความร้อนและติดตั้งระบบทำน้ำอุ่น การคิดค้นของเขาช่วยให้อุณหภูมิในสระน้ำคงที่อยู่ที่ประมาณ 32 องศาเซลเซียส โจนาธาน หยวน กล่าวว่า กระบวนการนี้สามารถทำความร้อนให้กับเกือบทุกอย่าง ทั้งของใช้ในครัวเรือน โรงรถ ฯลฯ โดยสันนิษฐานว่าอุณหภูมิที่ถูกทำความร้อนนี้สามารถสูงขึ้นมากที่สุดถึง 60 องศาเซลเซียส

    แต่ก็ไม่ได้ดีทั้งหมด เพราะเมื่อนักลงทุนรายนี้ใช้อุปกรณ์ ASIC ที่ใช้ขุดอย่างเต็มประสิทธิภาพ อุณหภูมิในสระขึ้นสูงกว่า 43 องศา ซึ่งไม่ทำให้เด็ก ๆ ชอบเท่าไรนัก และพวกเขาก็เลิกว่ายน้ำอีกครั้ง จึงเป็นไปอย่างที่สุภาษิตของฮิปโปเครติส “บิดา” ด้านแพทยศาสตร์ของกรีกโบราณว่าไว้ว่า “ให้ทำสิ่งดี ๆ ทีละนิด ๆ” (good things in small doses)

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา