EUR/USD: ยูโรอ่อนค่าสุดในรอบห้าปี & จับตาดูการประชุมธนาคารเฟด (FOMC)
- ดัชนี DXY ซึ่งเป็นตัวชี้วัดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐโดยเทียบกับสกุลเงินหลักหกสกุลทำระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน เหตุผลสำหรับการเติบโตนี้ยังคงเหมือนเดิมอย่างที่เราเคยเขียนไว้แล้วหลายครั้ง ธนาคารเฟดเริ่มเพิ่มความเข้มงวดในนโยบายทางการเงินล่วงหน้าก่อนธนาคารกลางอื่น ๆ โดยคาดว่าคณะกรรมการ FOMC (คณะกรรมการตลาดเสรีสหรัฐฯ) อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 4 พฤษภาคม ซึ่งเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ ในขณะที่ นายเจมส์ บูลลาร์ด (James Bullard) ประธานธนาคารเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ยังไม่ตัดโอกาสที่อาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% โดยทันที
ธนาคารกลางประเทศอื่น ๆ ยังมีท่าทีที่ล่าช้ากว่า (หรืออาจไม่ทำอะไรเลย) ท่ามกลางนโยบายสายเหยี่ยวของธนาคารเฟดสหรัฐฯ เศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ แสดงการฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 ที่อ่อนแอกว่า ธนาคารกลางจึงไม่สามารถถอนมาตรการกระตุ้นทางการเงิน (QE) ได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มต้นทุนสินเชื่อ
แน่นอนว่า สหภาพยุโรปก็ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งอียูเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียเนื่องในการโจมตีทางการทหารประเทศยูเครน ทั้งนี้ ประเทศอียูมีระดับการพึ่งพิงพลังงานเชื้อเพลิงจากรัสเซียสูง
สถานการณ์เหล่านี้ส่งผลให้ดอลลาร์กดดันยูโรต่อเนื่อง และคู่ EUR/USD ทำระดับต่ำสุดในรอบห้าปี ลงมาที่ 1.0470 เมื่อวันที่ 28 เมษายน ด้วยเหตุนี้ ยูโรจึงดิ่งลงกว่า 700 จุดในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว และมีการรีบาวด์เล็กน้อยในช่วงปลายสัปดาห์ และปิดที่ระดับ 1.0545
ระดับที่ 1.0500 มีบทบาทเป็นแนวรับ ซึ่งอาจนำไปสู่ปริมาณตำแหน่งขายที่ลดลง และทำให้ราคาปรับฐานอย่างแข็งแกร่งไปยังทิศเหนือ หากสถานการณ์นี้ไม่เกิดขึ้น เป้าหมายถัดไปสำหรับตลาดหมีจะเป็นราคา low ปี 2016 ที่ 1.0325 โดยมีความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นเงินยูโรขนานคู่กับดอลลาร์ 1:1 ในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม หลายอย่างยังขึ้นอยู่กับว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยในที่ประชุมธนาคารเฟดวันที่ 4 พฤษภาคมนี้ และคำแถลงของฝ่ายบริหารธนาคารกลางฯ ในงานแถลงข่าวหลังการประชุม
ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ คะแนนเสียงของนักวิเคราะห์เกือบจะเท่ากันทุกกลุ่ม โดย 35% มั่นใจว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นต่อ 30% มีความเห็นในทางตรงกันข้าม ส่วน 35% ที่เหลือยังรอดูสถานการณ์ สิ่งที่ไม่น่าประหลาดใจในสถานการณ์นี้ก็คือ อินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์ 100% บนกรอบ D1 ให้สีแดง แต่ 25% ของออสซิลเลเตอร์ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน oversold โดยมีแนวรับที่ใกล้ที่สุดตั้งอยู่ที่ 1.0500 ตามมาด้วยราคา low วันที่ 28 เมษายน ที่ 1.0470 และเป้าหมายถัดไปของตลาดหมีสำหรับคู่ EUR/USD เป็นไปอย่างที่อธิบายไว้ข้างต้น โซนแนวต้านที่ใกล้ที่สุดคือ 1.0550-1.0600, 1.0750-1.0800, 1.0830-1.0860, 1.0900-1.0935 และ 1.1000
สำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้ นอกเหนือจากเหตุการณ์สำคัญอันดับ 1 ซึ่งก็คือการประชุมของธนาคารเฟดแล้ว ยังมีการประกาศสถิติยอดขายปลีกในเยอรมนีและกิจกรรมทางธุรกิจในภาคการผลิตของสหรัฐฯ (ISM) ในวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม โดยคาดว่า นางคริสติน ลาการ์ด (Christine Lagarde) ประธานธนาคารกลางยุโรปจะกล่าวแถลงในวันถัดไป นอกจากนี้ เราจะได้ทราบสถิติยอดขายปลีกของสหภาพยุโรปโดยรวมในวันพุธที่ 4 พฤษภาคม รายงาน ADP เกี่ยวกับการจ้างงานในภาคเอกชนของสหรัฐฯ จะประกาศในวันนี้เช่นกัน อีกสถิติหนึ่งจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะเผยแพร่ในวันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม รวมถึงดัชนีที่สำคัญคือจำนวนตำแหน่งงานใหม่นอกภาคการเกษตรหรือดัชนีนอนฟาร์ม (NFP)
GBP/USD: เงินปอนด์อ่อนค่าสุดในรอบสองปี & เราจะจับตาดูการประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ
- เราได้เขียนไว้ในบทวิเคราะห์ฉบับก่อนหน้าว่า ศึกของฝั่งกระทิงเพื่อชิง 1.3000 นั้นพ่ายแพ้แล้ว คำถามที่ว่าจะมีการโจมตีกลับหรือไม่นั้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (65%) ให้คำตอบว่าไม่ และปอนด์จะอ่อนค่าลงต่อเนื่อง คำทำนายนี้ปรากฏว่าถูกต้องโดยสมบูรณ์ และแม้ว่าจะมีสัญญาณ oversold คู่ GBP/USD ได้ขยับถึงระดับต่ำสุดในกรอบที่ 1.2410 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน ครั้งสุดท้ายที่ราคาอยู่ที่ระดับดังกล่าวคือเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2020 ทั้งนี้ คู่นี้ปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่โซน 1.2575
ในสัปดาห์หน้า เราจะไม่ได้เห็นแค่การประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ แต่รวมถึงธนาคารแห่งชาติอังกฤษ การคาดการณ์ชี้ว่า ธนาคารกลางอังกฤษอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.75% เป็น 1.0% อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการประชุมจะจัดขึ้นในวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งเป็นหนึ่งวันหลังการประชุมของธนาคารเฟด สมาชิกในคณะกรรมการ MPC (คณะกรรมการนโยบายทางการเงิน) ทั้ง 9 ท่าน ของธนาคารกลางฯ จะมีเวลาในการปรับท่าทีโดยขึ้นอยู่กับการพิจารณาการตัดสินใจของธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ
ในระหว่างนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) ยังคงท่าทีเป็นกลางล่วงหน้าการประชุมทั้งสองดังกล่าว 15% ทำนายว่าเงินปอนด์จะอ่อนค่าลงต่อ ในขณะที่จำนวนเดียวกันนี้คาดว่าราคาจะปรับฐานไปยังทิศเหนือ ทั้งนี้ ฝั่งสีแดงเป็นฝ่ายชนะโดยสมบูรณ์สำหรับอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 คิดเป็น 100% ของทั้งอินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์ ส่วนเป้าหมายที่ใกล้ที่สุดของตลาดหมีคือการหลุดแนวรับที่ 1.25000 เป้าหมายถัดไปคือระดับ 1.2400, 1.2250, 1.2075 และ 1.2000 สำหรับฝั่งกระทิง หากสามารถฉวยโอกาสได้สำเร็จ จะพาราคาขึ้นไปเจอกับแนวต้านในโซน 1.2600, 1.2700-1.2750, 1.2800-1.2835 และ 1.2975-1.3000
การประกาศสถิติเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในสัปดาห์นี้มีดังนี้ ดัชนี PMI (ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ) ในภาคการผลิตจะเผยแพร่ในวันอังคารที่ 3 พฤษภาคม ดัชนี Composite PMI และ PMI ในภาคบริการ จะประกาศในวันถัดไปก่อนหน้าการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ ส่วนการประกาศดัชนี PMI ในภาคก่อสร้างของสหราชอาณาจักรจะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม ซึ่งจะให้ภาพรวมกิจกรรมทางธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์
USD/JPY: เงินเยนทำสถิติต่ำสุดในรอบ 20 ปี แล้วควรคาดการณ์อะไรต่อไป?
- สถิติต่ำสุดใหม่ของเงินเยนญี่ปุ่นทำไว้ที่ 131.25 เยนต่อดอลลาร์ คู่ USD/JPY ปรับฐานลงไปยังทิศใต้ในช่วงครึ่งแรกของสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 126.92 จากนั้นหลังการประชุมของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น เราก็ได้เห็นราคาทะยานขึ้นรอบใหม่ 433 จุด ซึ่งตามมาด้วยการตีกลับที่ค่อนข้างที่รุนแรงอีก 190 จุด และปิดที่ 129.75
ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจถอยหลังออกมาเล็กน้อยจากนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้มีผู้บริหารหลายคนได้พูดถึงข้อเท็จจริงว่า ครอบครัวชาวญี่ปุ่นหลายครัวเรือนไม่พึงพอใจกับภาวะเงินเฟ้อที่ไต่สูงขึ้นในขณะนี้ และประกอบกับท่าทีของธนาคารเฟดสหรัฐฯ มันควรจะถึงเวลาที่จะปรับนโยบายทางการเงิน แต่ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นยังคงยึดหลักการเดิม โดยคงอัตราดอกเบี้ยติดลบ (-0.1%) ไม่เปลี่ยนแปลง และประกาศความพร้อมที่จะซื้อพันธบัตรจำนวนไม่จำกัดตามความจำเป็น
นักวิเคราะห์หลายคนมีความเห็นว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะคงนโยบายผ่อนปรนไม่เปลี่ยนแปลงต่อไปตลอดปี 2022 และจะรักษามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ไว้อย่างน้อยจนถึงปีงบประมาณ 2023
เงินเยนได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะ 10 ปี ซึ่งขึ้นมา 48 จุดพื้นฐาน เป็น 2.83% ในเดือนเมษายน จึงยิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างหลักทรัพย์ของญี่ปุ่น และส่งผลให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ยูโรอ่อนค่าสุดในรอบ 5 ปี และเงินเยนอ่อนค่าสุดในรอบ 20 ปี!
ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 35% โหวตว่า ฝั่งกระทิงจะจู่โจมทำระดับสูงสุดใหม่ โดย 50% มีความเห็นตรงกันข้าม ในขณะที่ 15% ที่เหลือมีท่าทีเป็นกลาง และรอคอยการประชุมในเดือนพฤษภาคม ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 100% ชี้ไปยังทิศเหนือ ในส่วนออสซิลเลเตอร์มี 15% ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought
ส่วนแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ในช่วง 129.00-129.40 ตามมาด้วย 127.80-128.00, 127.45, 126.30-126.75 และระดับที่ 126.00 และ 125.00 ส่วนแนวต้านตั้งอยู่ที่ระดับ 130.00-130.35 และ 131.00-131.25 ทั้งนี้ ความพยายามที่จะกำหนดเป้าหมายถัดไปของฝั่งกระทิงนั้นเป็นเพียงแค่การทำนายดวงเท่านั้น สิ่งเดียวที่เราพอสันนิษฐานได้คืออาจทำระดับ high ของวันที่ 1 มกราคม 2002 ที่ 135.19 เป็นเป้าหมาย หากราคาคงอัตราการเติบโตในระดับนี้ ราคาอาจไปถึงระดับดังกล่าวได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน
ในสัปดาห์นี้จะไม่มีการประกาศข้อมูลที่สำคัญใด ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่น ทั้งนี้ นักเทรดจะต้องคำนึงถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ 2 วัน ในสัปดาห์นี้ คือ วันรัฐธรรมนูญในญี่ปุ่นในวันอังคารที่ 3 พฤษภาคม และวันสีเขียวในวันพุธที่ 4 พฤษภาคม
คริปโตเคอเรนซี: แนวโน้ม การคาดการณ์ และฮอลลีวูด
- บิทคอยน์ขยับตามเส้น Pivot Point ที่บริเวณ $40,000 มาตลอดปี 2022 โดยพยายามขยับขึ้นไปที่ $50,000 หรือลงมายัง $30,000 การต่อสู้ระหว่างฝั่งกระทิงและหมียังคงดุเดือดต่อเนื่องในสัปดาห์ที่แล้วเช่นกัน เมื่อดูกราฟคู่ BTC/USD จะเห็นได้ชัดเจนว่า ฝั่งหมีเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างชัดเจนในช่วงห้าสัปดาห์ที่ผ่านมา แน่นอนว่าฝั่งกระทิงก็พยายามจะโต้กลับ แต่ยังคงไม่เห็นความสำเร็จ
ณ เวลา ที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 29 เมษายน มูลค่ารวมในตลาดคริปโตยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับที่สำคัญทางจิตวิทยาที่ $2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยอยู่ที่ $1.752 ล้านล้านดอลลาร์ ($1.850 ล้านล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว) ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ปรับระดับลงเล็กน้อย จาก 26 เหลือ 23 จุด และกลับจากโซนกลัวขั้นสุด (Extreme Fear) สู่โซนความกลัว (Fear) ขณะนี้ คู่ BTC/USD ซื้อขายอยู่ที่บริเวณ $38,700
ความสัมพันธ์ระหว่างบิทคอยน์และดัชนีหุ้นที่สำคัญ เช่น S&P500 และ Nasdaq Composite ยังคงแข็งแกร่งมาก หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เริ่มปรับฐานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และหุ้นหลายตัวในอุตสาหกรรมนี้กำลังซื้อขายต่ำกว่าระดับ high ถึง 50-70% นักลงทุนหันเข้าหาดอลลาร์สหรัฐ โดยเก็งว่าธนาคารเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูง และเลิกให้ความสนใจในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง จึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและคริปโตเคอเรนซี ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อในหลายประเทศพัฒนาแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดรอบใหม่ในจีน ความขัดแย้งทางการทหารที่รุนแรงขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครน และเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกยิ่งลดความเชื่อมั่นโดยรวม ดังนั้นจึงมีโอกาสอีกมากที่บิทคอยน์จะขยับลดลงต่อไปยัง $30,000 ต่อเหรียญ
โทนี ไวส์ (Tony Weiss) นักเทรดและนักวิเคราะห์ระบุว่า บิทคอยน์ได้หลุดแนวรับแล้ว จึงมีความเสี่ยงสูงที่ราคาจะดิ่งลงครั้งใหญ่ บิทคอยน์จำเป็นต้องยืนเหนือระดับ $39,500 ให้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น
นักเทรดคริปโตภายใต้ชื่อเล่น Kaleo ก็เชื่อเช่นกันว่า บิทคอยน์ยังไปไม่ถึงระดับที่อาจถือว่าเป็นจุดที่ความเชื่อมั่นอยู่ต่ำสุด เขามองว่า บิทคอยน์เตรียมกลับมาทดสอบราคา lows ที่เคยทำไว้ในช่วงกลางปี 2021 ขณะนี้ บิทคอยน์กำลังอยู่ในรูปแบบ “รูปลิ่มขนาดใหญ่” และจะทะลุรูปแบบดังกล่าวในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยคาดว่าราคาสินทรัพย์จะดิ่งลง 28% นอกจากนี้ Kaleo ยังเตือนว่า การที่ราคาตัดทะลุระดับ $38,500 อาจกระตุ้นให้เกิดแนวโน้มขาลงอีกรอบหนึ่งของบิทคอยน์ และราคาตีกลับขึ้นมาเหนือ $41,000 จะไม่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์มากนัก
เควิน สเวนสัน (Kevin Swenson) นักวิเคราะห์กล่าวว่า เราควรติดตามปริมาณบิทคอยน์รายสัปดาห์บนตลาดคริปโต Coinbase เพื่อให้สามารถทำนายการกลับตัวของแนวโน้มได้อย่างแม่นยำ ตัวชี้วัดนี้ช่วยให้เขาประเมินระดับสูงสุดและต่ำสุดของบิทคอยน์ในปี 2017 ได้อย่างถูกต้อง “ปริมาณรายสัปดาห์บน Coinbase คือดัชนีตัวโปรดของผม และดัชนีนี้แทบจะไม่เคยทำให้ผมผิดหวังมาก่อนเลย” กล่าวโดยผู้เชี่ยวชาญรายนี้
สเวนสันระบุว่า นักลงทุนจำเป็นต้องเห็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากหลังการปรับฐานก่อน จึงจะมั่นใจได้อย่างสมบูรณ์ว่านี่คือจุดต่ำสุด “มันมีโอกาสเล็ก ๆ ที่เราจะสังเกตเห็นปริมาณสูงเมื่อราคาดีดตัวขึ้น มันจะต้องอาศัยเวลาในการก่อตัวของแนวโน้มกระทิง กระทิงจะร่วมมือกันเพื่อดันราคาให้สูงขึ้น ในขณะที่หมีมักอยู่อย่างโดดเดี่ยว”
แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นแนวโน้มตลาดหมีในปัจจุบัน ทุกอย่างก็ไม่ได้ดูเศร้าไปเสียหมด ราคาบิทคอยน์อาจขยับถึง $65,185 ภายในสิ้นปี 2022 นี่คือการคาดการณ์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่สัมภาษณ์กับ Finder โดยชี้ว่า บิทคอยน์จะมีราคา $179,280 ในวันที่ 31 ธันวาคม 2025 และ $420,240 ในช่วงปลายปี 2030 ทั้งนี้ สองในสามของผู้ที่ตอบแบบสำรวจเชื่อว่า ขณะนี้คือช่วงเวลาที่ควรซื้อบิทคอยน์ และมี 9% เท่านั้นที่เห็นด้วยกับการขจัดสินทรัพย์นี้
87% ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือก Ethereum ในขณะที่ Bitcoin มาเป็นอันดับที่สองที่ 71% และ Solana เป็นอันดับที่สามที่ 55% ผู้เชี่ยวชาญกว่าครึ่งหนึ่งเชื่อว่าบิทคอยน์จะถูกแทนที่โดยบล็อกเชนที่มีความล้ำหน้ามากกว่า ส่วน 38% มั่นใจว่าบิทคอยน์จะยังครองตำแหน่งผู้นำต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อให้การคาดการณ์ในระยะยาว เคเธอรีน วูด (Catherine Wood) ประธาน ARK Invest และ ไมเคิล เซย์เลอร์ (Michael Saylor) ซีอีโอ MicroStrategy ผู้เชื่อว่าบิทคอยน์จะขยับถึงระดับราคา $1 ล้านดอลลาร์อย่างแน่นอน พวกเขาคาดการณ์ว่ามันจะเกิดขึ้นใกล้ ๆ ปี 2030
การคาดการณ์เดียวกันที่ $1 ล้านดอลลาร์ ก็ระบุโดย เจสัน ปิซซิโน (Jason Pizzino) เช่นกัน ในสัปดาห์ที่แล้ว เขาอธิบายถึงเงื่อนไขที่ราคาเหรียญจะขยับถึงระดับดังกล่าว โดยในอันดับแรก บิทคอยน์จะต้องเลิกพึ่งพิงดัชนี Nasdaq หากความพึ่งพานี้ยังคงมีต่อไป บิทคอยน์และอีธีเรียมจะสูญเสียมูลค่าในที่สุด นอกจากนี้ บิทคอยน์จะต้องหยุดความเกี่ยวข้องกับบล็อกเชน บิทคอยน์ควรจะทำหน้าที่เหมือนกับทองคำ มากกว่าเป็นส่วนหนึ่งของภาคเทคโนโลยีเพื่อที่จะกลายเป็นสินทรัพย์เงินสำรองของโลก
ปิซซิโนยังได้กล่าวเน้นย้ำว่า การเติบโตของมูลค่าบิทคอยน์ที่ 25 เท่า นั้นดูน่าทึ่งในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 22 เท่า ในช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2018 และพฤศจิกายน 2021 จึงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในการทะยานขึ้นดังกล่าว
รายงานจาก Chainalysis ชี้ว่า นักลงทุนคริปโตรอบโลกทำเงินได้ $162.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2021 สูงขึ้น 400% จากปีก่อนหน้า ($32.5 พันล้านดอลลาร์) เพราะคริปโตเคอเรนซีสองอันดับแรก ทั้ง Bitcoin และ Ethereum ขยับถึงระดับสถิติ ในแง่ของความสามารถในการทำกำไร Ethereum แซงหน้า Bitcoin ถึง $76.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งนำเงินมาให้กับนักลงทุน $73.7 พันล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกัน นักลงทุนอเมริกันทำเงินได้มากที่สุด โดยทำกำไรได้ $47 พันล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่านักลงทุนจากสหราชอาณาจักร เยอรมนี ญี่ปุ่น และจีน เมื่อเทียบกันแล้วจะพบว่า นักลงทุนอังกฤษทำเงินได้ “เพียง” $8.2 พันล้านเท่านั้น
และส่งท้ายบทรีวิวฉบับนี้ด้วยข่าวจากโลกแห่งหนังสือและภาพยนตร์ เรื่องแรกเป็นข่าวบริษัทภาพยนตร์ Scott Free Productions ที่ตั้งใจจะทำภาพยนตร์จากหนังสือเรื่อง The Infinite Machine ซึ่งอุทิศให้กับ Ethereum และวิตาลิก บูเทอริน (Vitalik Buterin) ซึ่งเขียนโดย คามิลลา รุสโซ (Camilla Russo) นักเขียนชื่อดังในแวดวงคริปโต ภาพยนตร์เรื่องนี้จะร่วมกันผลิตขึ้นโดย ริดลีย์ สกอตต์ (Ridley Scott) ผู้มีชื่อเสียงในหนังชื่อดังเรื่อง Alien, Gladiator, Blade Runner และ The Martian
ข่าวอีกชิ้นนึงของสัปดาห์นี้มาจากอดีตโบรกเกอร์หุ้น จอร์แดน เบลฟอร์ต (Jordan Belfort) ซึ่งผู้ประกอบการชาวอเมริกันรายนี้เคยถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฉ้อโกงตลาดหุ้นและกลโกงตลาดหุ้นในปี 1999 ซึ่งเขาต้องจำคุกเป็นเวลา 22 เดือน เขาได้เปิดตัวหนังสือชีวประวัติในปี 2007 เรื่อง The Wolf of Wall Street ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาปรับเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกันในปี 2013 และขณะนี้ “หมาป่า” (wolf) ในโลกการเงินรายนี้ยอมรับว่าเขาเองถูกมิจฉาชีพปล้นเงินสินทรัพย์คริปโตคิดเป็นมูลค่าประมาณ $300,000 เขาเห็นการโอนเงิน แต่ไม่สามารถยกเลิกธุรกรรมได้สำเร็จ โชคชะตาช่างมีความย้อนแย้งอะไรเช่นนี้…
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ