บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 6 - 10 กุมภาพันธ์ 2023

EUR/USD: สามสัปดาห์แห่งความไม่แน่นอน

  • การประชุมของธนาคารกลางจัดขึ้นตามกำหนดตารางเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นมา 25 จุดพื้นฐาน (bps) ตามการคาดการณ์โดยธนาคารเฟดสหรัฐฯ ขึ้นมาเป็น 4.75% และในการประชุมของธนาคารกลางยุโรปได้มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นมา 50 bps เป็น 3.0% เนื่องจากการตัดสินใจเหล่านี้ไม่เป็นที่น่าประหลาดใจใด ๆ ตลาดจึงให้ความสำคัญกับแผนการของธนาคารทั้งสองแห่งในอนาคต

    การประชุมครั้งถัดไปของ FOMC (คณะกรรมการกำกับนโยบายทางการเงิน) ของธนาคารเฟดจะไม่จัดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยมีกำหนดจัดขึ้นวันที่ 22 มีนาคม ซึ่งต้องรออีกเกือบสองเดือน ตลาดจึงน่าจะประกาศการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งที่ 25 bps เป็น 5.0% หลังจากนั้นดอกเบี้ยน่าจะคงที่

    ดัชนี DXY ลดลงมายังระดับต่ำสุดใหม่ในรอบ 9 เดือนที่ 100.80 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากธนาคารเฟดประกาศชัดเจนว่า เราใกล้ถึงช่วงสุดท้ายของคลื่นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว สถิติแสดงให้เห็นถึงความพยายามของธนาคารกลางฯ ในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจว่ากำลังส่งผลดี อัตราเงินเฟ้อเดิมอยู่ที่ 9.1% (สูงสุดในรอบ 40 ปี) เมื่อเดือนมิถุนายน และลดลงมาเป็น 6.5% ในเดือนธันวาคม ซึ่งทำให้ธนาคารฯ สามารถหยุดพักมาตรการถอนสภาพคล่องจากระบบ (QT) ได้ นักลงทุนเข้าใจสัญญาณเชิงพิราบจาก Jerome Powell ประธานธนาคารเฟด ผู้กล่าวยอมรับในการแถลงข่าวเป็นครั้งแรกว่า “กระบวนการเพิ่มเงินฝืดเริ่มขึ้นแล้ว” เขายังสันนิษฐานด้วยว่า อัตราสูงสุดของดอกเบี้ยจะไม่เกิน 5.00% และกล่าวย้ำว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ สามารถประสบความสำเร็จในการชะลอภาวะเงินเฟ้อได้โดยไม่สร้างความเสียหายที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ

    ในส่วนของเงินเฟ้อในยูโรโซน สถิติในเดือนมกราคมลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน แต่ดัชนีราคาพื้นฐานเพิ่มขึ้นในระดับเดิม ถึงแม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง การคาดการณ์ชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนจะขยับถึง 5.9% ในปี 2023 และลดลงมาที่ 2.7% ในปี 2024 และจะลดลงต่ำลงมายิ่งกว่าเหลือ 2.1% ในปี 2025 แนวโน้มเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงานยังคาดว่าจะลดลงต่อไป ในขณะที่อัตราการเติบโตของ GDP ยังคงที่ที่ระดับเดิม สถิติเบื้องต้นที่ประกาศเมื่อวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ ชี้ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปจะคงอยู่ที่ 1.9% ในปี 2022 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขก่อนหน้าที่ (2.3%) แต่สูงกว่าการคาดการณ์ (1.8%)

    หลังจากการประชุมครั้งล่าสุด Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่า ความเสี่ยงของทั้งด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อในยูโรโซนเริ่มมีความสมดุลมากขึ้น และ ECB จะประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจหลังจากขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไปในเดือนมีนาคม (ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 50 bps เช่นกัน) เมื่อถูกถามถึงโอกาสการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปหลังวันที่ 16 มีนาคม เธอหลีกเลี่ยงในการให้ความคิดเห็นใด ๆ สิ่งนี้ยิ่งส่งแรงกดดันต่อยูโร และคู่ EUR/USD ก็กลับทิศทางและขยับลงโดยอยู่ต่ำกว่า 1.1031

    ค่าเงินดอลลาร์ได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมหลังการประกาศสถิติที่น่าประทับใจจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติสหรัฐฯ (BLS) สถิติชี้ว่าอัตราว่างงานของสหรัฐฯ ลดลงจาก 3.5% เหลือ 3.4% จากการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.6% และจำนวนตำแหน่งงานนอกภาคการเกษตร (NFP) ในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น 517K ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 185K กว่า 2.8 เท่า และสูงกว่าตัวเลขการเติบโตเดือนธันวาคมที่ 260K เกือบสองเท่า

    ด้วยเหตุนี้ EUR/USD จึงปิดท้ายสัปดาห์ที่ 1.0794 ทั้งนี้ ราคาได้ปิดตลาดท้ายสัปดาห์วันที่ 13 มกราคมที่ 1.0833 เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ 1.0855 และที่ 1.0875 เมื่อวันที่ 27 มกราคม ระดับเหล่านี้ (ภายใน 100 จุด) บ่งชี้ว่าตลาดยังไม่ได้สัญญาณที่ชัดเจนว่ามันจะมุ่งเป้าไปยังทิศทางใดในอนาคตอันใกล้ แต่ ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ (ช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์) ค่าเงินดอลลาร์ยังมีความได้เปรียบกว่าในระดับหนึ่ง

    นักเศรษฐศาสตร์จาก UOB Group บริษัทการเงินจากสิงคโปร์ชี้ว่า ยูโรยังไม่พร้อมที่จะเคลื่อนที่ไปยังแนวต้านที่ 1.1120 และราคาคู่นี้อาจซื้อขายอยู่ในกรอบ 1.0820-1.1020 ในช่วง 1-3 สัปดาห์ข้างหน้า ในส่วนของการวิเคราะห์ระยะกลางมีนักวิเคราะห์ 45% ที่คาดการณ์ว่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตัวเลขเท่ากันที่ 45% คาดว่าดอลลาร์จะแข็งค่า และ 10% มีความเห็นเป็นกลาง สำหรับภาพรวมในหมู่อินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 มีความแตกต่างออกไป โดยออสซิลเลเตอร์ 35% ให้สัญญาณสีแดง (หนึ่งในสามอยู่ในโซน oversold) 25% ชี้ไปยังทิศเหนือ และ 40% ชี้ไปยังสีเทากลาง ในส่วนของอินดิเคเตอร์เทรนด์มี 50% แนะนำให้เข้าซื้อ และ 50% ให้ขาย ด้านแนวรับที่ใกล้ที่สุดของคู่นี้อยู่ในโซน 1.0740-1.0775 จากนั้นเป็นระดับและโซนที่ 1.0700-1.0710, 1.0620-1.0680, 1.0560 และ 1.0480-1.0500 ทางฝั่งตลาดกระทิงจะต้องเจอกับแนวต้านที่ระดับ ได้แก่ 1.0800, 1.0835-1.0850, 1.0895-1.0925, 1.0985-1.1030, 1.1120 ซึ่งหลังจากนั้นราคาจะพยายามจะยืนในกรอบ 1.1260-1.1360 ให้สำเร็จอีกครั้ง

    ในส่วนของปฏิทินในสัปดาห์หน้านี้อาจเน้นวันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะมีการประกาศสถิติเบื้องต้นของดัชนีราคาผู้บริโภคในเยอรมนีและสถิติสุดท้ายของดัชนีค้าปลีกเดือนมกราคมในยูโรโซน Jerome Powell มีกำหนดจะกล่าวแถลงในวันอังคาร นอกจากนี้ สถิติสุดท้ายของอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ในเยอรมนีและอัตราว่างงานในสหรัฐฯ จะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ และตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจาก University of Michigan จะประกาศให้ทราบในวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์

GBP/USD: ปริศนาจากธนาคารแห่งชาติอังกฤษ (BoE)

  • หมอกลอนดอนที่โด่งดังยังคงปกคลุมนโยบายทางการเงินของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ (BoE) โดย BoE ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50 bps เช่นเดียวกันกับ ECB อัตราดอกเบี้ยจึงขึ้นมาเป็น 4.0% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ แต่ในขณะเดียวกันนั้น สารที่ส่งออกมากลับดูอ่อนโยนกว่ามาก สิ่งนี้จึงกดดันค่าเงินปอนด์จากระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2022 (1.2450) ลงมายังระดับ 1.2100 และหลังจากราคาต่ำสุดในรอบสัปดาห์ เมื่อมีการประกาศดัชนี NFP ของสหรัฐฯ คู่ GBP/USD ขยับต่ำลงมาอีกที่ 1.2046 และปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่บริเวณ 1.2050.

    อย่างที่เคยกล่าวไว้แล้ว อนาคตทางการเงินของสหราชอาณาจักรยังคงมีความกำกวมและไม่แน่นอน เราได้พยายามที่จะทำความเข้าใจคำพูดของ Hugh Pill หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก BoE เมื่อเขาให้สัมภาษณ์กับ Times Radio เมื่อวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ซึ่งเขากล่าวเล็กน้อยว่า “เราต้องยอมรับว่าเราทำสำเร็จมากแล้ว” “ยังมีอีกหลายขั้นตอนในกระบวนการนี้ “มีเรื่องราวข่าวจำนวนมากที่มีสถานการณ์ดีขึ้นในช่วงล่าสุด” “เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องไม่คาดคิด” “เรายังคงมีความเชื่อมั่นในระดับสูงว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงในปีนี้” “สิ่งที่ต้องโฟกัสในตอนนี้คือจับตาดูว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงต่อไปหรือไม่” และก็กล่าวตบท้ายว่าสิ่งสำคัญสำหรับธนาคารกลางอังกฤษในเวลานี้คือจะต้องไม่ทำ “มากเกินไป” ในนโยบายทางการเงิน

    ถ้าให้กล่าวตามตรง เราไม่สามารถตัดสินจากคำพูดดังกล่าวได้ว่าควรจะขีดเส้นตรงไหนระหว่าง “เล็กน้อย” “มาก” และ “มากเกินไป” ดังนั้น ถ้าเราดูความเห็นของนักยุทธศาสตร์จาก Commerzbank “มันเห็นได้ชัดเจนว่าธนาคารกลางอังกฤษเข้าใกล้ช่วงสิ้นสุดของวัฎจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ย” และกล่าวต่อว่า “ในขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษได้เปิดประตูทิ้งไว้ให้สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ต่อ แนวทางเชิงรุกมากขึ้นจะเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการเห็นเนื่องด้วยความไม่แน่นอนที่สูงมาก ในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่น่าประหลาดใจหากเงินปอนด์จะอ่อนค่า และจะอ่อนค่าต่อไปในความเห็นของเรา”

    มุมมองนี้ของนักเศรษฐศาสตร์จาก Commerzbank ได้รับการสนับสนุนโดยนักวิเคราะห์ 55% ผู้ที่ “มองว่ามีความน่าจะเป็น” ที่ GBP/USD จะขยับลงต่อไป ผู้เชี่ยวชาญ 45% มีความเห็นในทางตรงกันข้าม ในส่วนของอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ D1 ให้ผลลัพธ์ที่ 75% ต่อ 25% โดยฝั่งสีแดงได้เปรียบมากกว่า ในส่วนของออสซิลเลเตอร์ สีแดงเป็นฝ่ายได้เปรียบเช่นกันที่สัดส่วน 75% ต่อ 25% ด้านออสซิลเลเตอร์สีแดงก็มาเหนือกว่าที่ 85% ต่อ 15% อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสีแดงมีสัญญาณ 20% ที่ชี้ว่าราคาอยู่ในโซน oversold

    ทั้งนี้ ระดับและโซนแนวรับของคู่นี้อยู่ที่ 1.2025, 1.1960, 1.1900, 1.1800-1.1840 และในกรณีที่ราคาขยับขึ้นไปยังทิศเหนือ จะต้องเจอกับแนวต้านที่ระดับ 1.2085, 1.2145, 1.2185-1.2210, 1.2270, 1.2335, 1.2390-1.2400, 1.2430-1.2450, 1.2510, 1.2575-1.2610, 1.2700, 1.2750 และ 1.2940

    สำหรับพัฒนาการของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ในวันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์เราจะได้เห็นความสนใจอยู่ที่การประกาศสถิติ GDP สหราชอาณาจักรของปี 2022 ซึ่งการคาดการณ์ชี้ว่าถึงแม้จะมีการเติบโตใน Q4 (จาก -0.3% ขึ้นมาที่ 0.0%) อัตรา GDP รายปีคาดว่าจะลดลงจาก 1.9% เหลือ 0.4%

USD/JPY: ดัชนี Non-Farm Payrolls กดดันเงินเยน

  • โดยรวมแล้ว เงินเยนญี่ปุ่นเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันกับทั้งยูโรและปอนด์อังกฤษเทียบกับดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของมันไม่ได้รับผลกระทบโดยการตัดสินใจของธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษ ในกรณีนี้ ปัจจัยที่ส่งผลคือความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์ (+4.75%) และของเงินเยน (-0.1%) ดังนั้น หลังจากราคาทำระดับต่ำสุดในกรอบที่ 128.08 USD/JPY ก็ขยับออกด้านข้างหลังการประชุมของธนาคารเฟด และสถิติจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ (NFP) ก็พาราคาพุ่งขึ้นติดจรวจเมื่อวันศุกร์เกือบ 300 จุด ขึ้นมาที่ 131.18 การไหลออกของนักลงทุนจากดอลลาร์ไปยังค่าเงินหลบภัยของญี่ปุ่นก็หยุดลง และพวกเขาเริ่มตัดสินใจที่จะเลือกดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลบภัยอีกครั้ง USD/JPY จึงปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ระดับ 131.12

    ตอนนี้ ตลาดจะต้องรอจนกว่าจะถึงวันที่ 10 มีนาคมให้ Haruhiko Kuroda ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่นคนปัจุบันจัดการประชุมครั้งสุดท้ายของเขา อำนาจหน้าที่ของเขาจะหมดวาระลงในวันที่ 8 เมษายน และการประชุมของธนาคารฯ ในวันที่ 28 เมษายนจะจัดขึ้นโดยผู้ว่าการคนใหม่ เหตุการณ์นี้เองที่ตลาดมองว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น แต่กว่าจะถึงตอนนั้น การแทรกแซงจากธนาคารฯ อย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2022 ก็ยังอาจเกิดขึ้นได้เพื่อยับยั้งไม่ให้เงินเยนอ่อนค่า

    ณ ขณะนี้ การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ยังไม่ให้แนวทางที่ชัดเจนใด ๆ 40% ยังคงเข้าข้างฝั่งกระทิง 40% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี และ 20% ยังไม่ตัดสินใจใด ๆ ทั้งสิ้น

    ในส่วนของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 มี 75% ที่ชี้ไปยังทิศเหนือ (15% อยู่ในโซน oversold) ส่วน 15% ชี้ไปยังทิศใต้ และ 10% ชี้ไปยังทิศตะวันออก ในส่วนของอินดิเคเตอร์เทรนด์มี 50% ชี้ไปยังทิศเหนือ และจำนวนเดียวกันทำนายทิศใต้ สำหรับระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่บริเวณโซน -130.85 ตามมาด้วยระดับและโซนที่ 130.50, 129.70-130.00, 128.90-129.00, 128.50, 127.75-128.10, 127.00-127.25 และ 125.00 ทางฝั่งระดับและโซนแนวต้าน ได้แก่ 131.25, 131.65, 132.00, 132.80, 133.60, 134.40 และ 137.50

    ในสัปดาห์นี้ไม่มีกำหนดเหตุการณ์ที่สำคัญใด ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นเกิดขึ้น

คริปโตเคอเรนซี: BTC กลายเป็นสินทรัพย์คุ้มครองความเสี่ยง

  • สัปดาห์ที่แล้วพิสูจน์อีกครั้งว่า สกุลเงินคริปโตอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะบิทคอยน์ไม่เป็นอิสระมานานแล้ว ราคาของเหรียญ รวมถึงสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงโดยรวมนั้นล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของธนาคารเฟดสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ดอลลาร์สหรัฐอยู่ขั้วตรงข้ามของ BTC/USD คือหากดอลลาร์อ่อนค่า บิทคอยน์จะแข็งค่าขึ้น แน่นอนว่าการตัดสินใจของธนาคารกลางแห่งอื่น ๆ เช่น ธนาคารกลางยุโรปหรือธนาคารกลางจีนก็ส่งอิทธิพลต่อราคาสินทรัพย์เสมือนจริงเช่นกัน ตลอดจนวิกฤติภายใน เช่น การล้มละลายของ FTX ก็อาจสร้างแรงสะเทือนได้ แต่ธนาคารเฟดยังคงเป็นผู้สร้างเทรนด์หลักของ BTC/USD

    บิทคอยน์เองยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ยอดเยี่ยม มันสามารถครองตำแหน่งได้ถึงสองตำแหน่งในสัปดาห์ที่แล้ว ด้านหนึ่งนั้นมันมีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นและดัชนีหุ้นอย่าง S&P500, Dow Jones และ Nasdaq ซึ่งทำให้บิทคอยน์ถูกจัดว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง แต่อีกด้านหนึ่ง นักวิเคราะห์จาก CryptoSlate ให้ข้อสังเกตถึงความสัมพันธ์ระหว่างคริปโตเคอเรนซีกับทองคำ ซึ่งถือว่าเป็นหลักประกันความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อและความเสี่ยงทางการเงินอื่น ๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ ความบังเอิญในการเคลื่อนที่ระหว่างสินทรัพย์สองชนิดนี้มาถึงระดับสูงสุดตามรายงานของ CryptoSlate ที่ 83% นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งปรากฏว่าบิทคอยน์เป็นทั้งสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงและให้ความปลอดภัยในขณะเดียวกัน หรือกล่าวได้ว่ามันเป็นสหายกันในหมู่คนแปลกหน้า และเป็นคนแปลกหน้าในหมู่สหายนั่นเอง

    นักเศรษฐศาสตร์จาก Goldman Sachs ชี้ว่า แม้ว่าหลังการปรับเรื่องความเสี่ยงแล้ว บิทคอยน์ก็ยังทำผลงานได้ดีกว่าทองคำ ตลาดหุ้น และแม้แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ในแง่ของความสามารถในการทำกำไรเป็นอย่างมาก บิทคอยน์กำลังแสดงใหเห็นถึงการเริ่มต้นปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2013 ราคาขยับขึ้น 51% ในครั้งนั้น และราคาเติบโตถึง 40% ในเดือนที่แล้ว มันเกิดขึ้นท่ามกลางเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า “ในเวลาเดียวกัน 85% ของการทะยานขึ้นนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักลงทุนจากสหรัฐฯ” กล่าวโดย Markus Thielen หัวหน้าด้านการวิจัยของบริษัท Matrixport ผู้ให้บริการคริปโต แนวโน้มกระทิงของบริษัทสหรัฐฯ ยังได้รับการยืนยันจากค่าพรีเมียมในรอบถัดไปของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของบิทคอยน์ในตลาด Chicago Mercantile Exchange โดยความสนใจในฟิวเจอร์สบิทคอยน์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากถึง 77% เดือนต่อเดือนที่ $2.3 พันล้านดอลลาร์ “เราตีความเรื่องนี้ว่าเป็นสัญญาณของนักเทรดรายสถาบันและกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่กำลังทยอยซื้อจากช่วงตลาดขาลงกันมากขึ้น” กล่าวโดย Markus Thielen

    Deutsche Digital Assets ให้ข้อสังเกตที่คล้ายกันเมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยให้ความสนใจกับค่าพรีเมียมของ Coinbase ว่าเป็นหลักฐานของความสนใจที่จะซื้อเหรียญมากขึ้นจากนักลงทุนสหรัฐฯ รายสถาบันที่มีความซับซ้อน

    ผลการสำรวจของบริษัทให้คำปรึกษา deVere Group ชี้ว่า แม้ว่าปี 2022 จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่มีเศรษฐีเงินล้านถึง 82% ที่พิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ลูกค้าที่ตอบแบบสำรวจ 8 จาก 10 คน ผู้มีสินทรัพย์ให้ลงทุนได้ตั้งแต่ $1.2 ถึง $6.1 ล้านเหรียญสหรัฐได้เข้ารับคำปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินเกี่ยวกับคริปโตเคอเรนซี

    Nigel Green ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง deVere Group เชื่อว่า แม้ว่าผู้ตอบแบบสำรวจในกลุ่มจะ “มีความอนุรักษ์นิยมมากกว่าโดยรวม” ความสนใจจริง ๆ แล้วมาจากมูลค่าที่แท้จริงของบิทคอยน์คือความเป็น “ดิจิทัล ไร้พรมแดน กระจายศูนย์ ระดับโลก และปลอดภัยจากการเข้าถึงที่ไม่ได้รับอนุญาต” Green ยังเน้นย้ำถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในบริการคริปโตจากสถาบันทางการเงินที่เก่าแก่กว่า เช่น Fidelity, BlackRock และ JPMorgan และถือว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอุตสาหกรรม เขาทำนายว่าระดับความสนใจจะเพิ่มขึ้น หลังจาก “ฤดูหนาวคริปโต” ปี 2022 เริ่มละลายเนื่องจากเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไปในระบบการเงินดั้งเดิม (ทั้งนี้ รายงาน Pricewaterhouse-Coopers เดือนมิถุนายน 2022 แสดงให้เห็นว่ามีกองทุนเฮดจ์ฟัน 89 แห่งที่ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัยแล้ว)

    ผลลัพธ์ที่คล้ายกันนั้นได้มาจากนักวิเคราะห์จาก Pureprofile งานวิจัยของนักวิเคราะห์ที่นี่ได้สำรวจนักลงทุนและผู้จัดการสินทรัพย์จากสหรัฐฯ อียู สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบราซิล มูลค่าทรัพย์สินที่ผู้ตอบแบบสำรวจดูแลจัดการอยู่ที่ $2.85 ล้านล้านดอลลาร์ โดยนักลงทุน 9 จาก 10 ในแบบสำรวจมองว่าบิทคอยน์จะเติบโตในปี 2023 และ 23% เชื่อว่ามูลค่าของ BTC จะขึ้นเกิน $30,000 ภายในสิ้นปีนี้ ส่วนในระยะกลางมีผู้ตอบแบบสำรวจ 65% เห็นด้วยว่าราคาจะตัดทะลุระดับที่ $100,000

    ไม่ใช่เหล่าวาฬเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่มีทัศนคติเชิงบวก แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่รุนแรงเกิดขึ้นในปีที่แล้ว สถิติชี้ว่า จำนวนผู้ถือกระเป๋าเงินดิจิทัลที่มียอดคงเหลือ $1,000 ขึ้นไปที่เก็บเป็นเงินบิทคอยน์หรืออีธีเรียมเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2022 ผลการสำรวจชี้ว่าลูกค้า Binance จำนวนมากกว่า 88% วางแผนที่จะลงทุนในคริปโตเคอเรนซีต่อไป และมีเพียง 3.3% ที่ไม่วางแผนเช่นนั้น บิทคอยน์จะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีบทบาทสำคัญหลักโดยมีสัดส่วน 21.7 จากแบบสำรวจดังกล่าว

    ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่า 40% ได้เข้าซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลเมื่อปีที่แล้วเพื่อลงทุน เหตุผลอื่น ๆ ได้แก่ มูลค่าที่ลดลงของบิทคอยน์และแนวโน้มตลาดหมีโดยรวม เกือบ 8% อ้างถึงสถานการณ์การเมืองโลกเป็นเหตุผลให้เข้าซื้อ และ 11.5% แสดงออกถึงความไม่มั่นใจในระบบการเงินดั้งเดิม 40.8% ไม่ใช้โอกาสการลงทุนแบบดั้งเดิม (ซื้อหุ้น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม) ในขณะที่ 32.4% ยังคงยึดแนวทางเดิม ในขณะเดียวกัน 79.7% มั่นใจว่าคริปโตเคอเรนซีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจโลกและ 59.4% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่า การฝากเงินคริปโตเคอเรนซีจะแทนที่การฝากเงินธนาคารในอนาคต

    Mike Novogratz ผู้ร่วมก่อตั้ง Galaxy Digital Holdings ผู้เคยเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักในปี 2022 ตอนนี้เขามุ่งมั่นที่จะเพิ่มเงินลงทุนในการขุดเหรียญบิทคอยน์ เขาโฟกัสที่รัฐเท็กซัส ซึ่งบริษัท Galaxy Digital Holdings Ltd ของเขาจะเข้าซื้อกิจการขุดเหรียญ Helios จาก Argo Blockchain ด้วยเงิน $65 ล้านเหรียญดอลลาร์ ส่วนการคาดการณ์ของ Plan B ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากโมเดล "Stock-to-Flow" มองว่าราคาบิทคอยน์อาจขยับขึ้นถึง $1 ล้านเหรียญภายในปี 2025 ในส่วนของปีนี้เขาเก็งว่า BTC จะขยับขึ้นสูงกว่า $100,000 เขากล่าวด้วยว่าการพุ่งขึ้นของราคาบิทคอยน์ในเดือนมกราคมช่วยยืนยันว่า จุดต่ำสุดของวัฎจักร 4 ปีของบิทคอยน์นั้นสิ้นสุดลงแล้ว

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Matrixport ให้ข้อสังเกตจากข้อมูลสถิติในอดีตว่า อัตราแลกเปลี่ยนบิทคอยน์อาจขยับขึ้นถึง $45,000 ภายในคริสต์มาส 2023 นักวิจัยได้เผยแพร่รายงานที่ให้ข้อสังเกตจากข้อมูลในอดีตว่า เมื่อราคาบิทคอยน์ในเดือนมกราคมอยู่ในโซน “สีเขียว” การทะยานขึ้นมักจะดำเนินต่อไปในช่วงหลายเดือนของปีเดียวกัน

    และ Peter Brand นักเทรดคริปโตชื่อดังให้การคาดการณ์ตลาดหมีในอนาคตอันใกล้ เนื้องจาก BTC ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับ $23,5000 ได้ในระยะยาวและอยู่ในช่วงแข็งตัว (consolidation) เขามองว่านักเทรดและนักลงทุนหลายรายกำลังรอให้ราคาย่อตัวลงมาเพื่อที่จะเข้าซื้อในราคาที่ดีกว่า ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้เชื่อว่า บิทคอยน์อาจขยับถึง $25,000 ในอนาคตอันใกล้ หลังจากนั้นมันจะปรับฐานมาที่บริเวณ $19,000 โดย Brand ยังคงมีทัศนคติในแง่บวกต่อราคาในระยะกลาง และทำนายว่าบิทคอยน์จะขึ้นไปถึง $65,000 ในช่วงกลางปีนี้

    Benjamin Cowen นักวิเคราะห์คริปโตเคอเรนซีกล่าวว่า บิทคอยน์มี “ปีที่ยาวนาน” ให้ตั้งตารอ ผู้เชี่ยวชาญรายนี้มองว่า มันอาจดูเหมือนว่า BTC มีกำลังที่แข็งแกร่ง แต่ที่จริงแล้วมันมีโอกาสที่จะเข้าสู่ช่วงกรอบไซด์เวยส์เป็นฐานหลัก Cowen อธิบายว่าการเคลื่อนที่แบบไซด์เวยส์หรือออกข้างนั้นไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นเสมอไปและอาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะลดลงได้เช่นกัน

    นักวิเคราะห์เตือนให้นักเทรดทุกคนทราบว่า วัฎจักรตลาดหมีมักตามมาด้วยปีแห่งการเคลื่อนที่แบบไซด์เวยส์ โดยมีรอบที่ราคาพุ่งขึ้นมาสามครั้งในปี 2015 และมีแค่ครั้งสุดท้ายเท่านั้นที่กลายเป็นการทะยานขึ้นอย่างแท้จริง ในปี 2019 ก็มีช่วงเวลาที่ราคาเติบโตขึ้นเช่นกัน แต่ก็ตามมาด้วยช่วงขาลง และวัฎจักรที่พาราคาบิทคอยน์ขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่ก็เริ่มขึ้นหลังจากนั้น นักวิเคราะห์ชี้ว่าในปี 2023 อาจเป็นปีแห่งการสะสมกำลัง (accumulation) และนักลงทุนอาจฉวยโอกาสจากช่วงเวลานี้ในการทยอยเก็บบิทคอยน์เพิ่มเติม นอกจากนี้ Cowen ยังเชื่อว่า ธนาคารเฟดสหรัฐฯ ควรผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพื่อดันราคาคริปโตให้สูงขึ้น (การประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารเฟดให้ความหวังเช่นนี้)

    ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ (ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์)  BTC/USD เทรดอยู่ในโซน $23,400 โดยมูลค่ารวมของตลาดคริปโตอยู่ที่ $1.082 ล้านล้านดอลลาร์ ($1.060 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า) ด้านดัชนี Crypto Fear & Greed Index หลักเกณฑ์ที่แสดงถึงทัศนคติโดยรวมของชุมชนต่อบิทคอยน์ได้เข้าสู่โซนความโลภ (Greed) เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2022 โดยขึ้นมาถึง 60 จุด (55 เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า) จึงเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นเพราะราคาเหรียญที่เพิ่มสูงขึ้นในเดือนแรกของปี และการฟื้นตัวโดยรวมของตลาด ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุนไม่ควรถูกมองโดยตรงว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแนวโน้มขาขึ้นกระทิงของราคาบิทคอยน์ แต่จริง ๆ แล้ว ดัชนีในเกณฑ์ Fear หรือ Extreme Fear อาจบ่งชี้ว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าซื้อ และถ้าดัชนีสูงเกินไปก็อาจหมายความว่าตลาดพร้อมที่จะเข้าสู่การปรับฐานขาลง

    และในช่วงสุดท้ายของบทวิเคราะห์ฉบับนี้เป็นไลฟ์แฮ็คกึ่งขบขันของเรา ในครั้งนี้เราจะมาเล่าเกี่ยวกับผู้ถือเหรียญ BTC ในไนจีเรีย ที่นี่เองที่คุณสามารถทำกำไรได้ รายงานข่าวระบุว่า ราคาบิทคอยน์ในตลาด NairaEX ชื่อดังในไนจีเรียพุ่งขึ้นไปเกือบ $40,000 ในค่าเงินท้องถิ่น ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดโลกกว่า 70% ผลปรากฏว่าราคาที่พุ่งขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการจำกัดเพดานในการถอนเงินจากเอทีเอ็มโดยธนาคารกลางไนจีเรีย ดังนั้น อย่าลืมเรื่องการเทรดแบบอาร์บิทราจ (arbitrage) เพราะมันทำกำไรได้ดีเช่นกัน สิ่งสำคัญคือจะต้องรู้ว่าควรซื้ออะไร ที่ไหน เมื่อไร และที่ราคาเท่าใด

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา