บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 1 - 5 พฤษภาคม 2023

EUR/USD: รอดูการประชุมธนาคารเฟดและ ECB

  • ปัจจัยหลักที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของดัชนีดอลลาร์ (DXY) และที่ตามมาก็คือคู่ EUR/USD ในสัปดาห์ที่แล้วคือ..ความเงียบ ก่อนหน้านี้คำพูดของผู้แทนจากธนาคารเฟดแทบจะเป็นไกด์นำทางให้กับตลาด แต่ความเงียบกลับเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน ก่อนถึงการแถลงข่าวของ Jerome Powell ประธานธนาคารเฟดหลังการประชุมของคณะกรรมการ FOMC เดือนพฤษภาคม เจ้าหน้าที่ทุกคนถูกสั่งให้ไม่ปริปากใด ๆ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงการประชุมของ FOMC ซึ่งจะมีการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินของธนาคารฯ โดยกำหนดไว้ในวันที่ ⅔ พฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม จะมีการประชุมของธนาคารกลางยุโรป ซึ่งจะกำหนดอัตราดอกเบี้ย โดยรวมแล้วในสัปดาห์นี้จะเป็นช่วงเวลาที่ไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอน

    แน่นอนว่าสถิติเศรษฐกิจมหภาคและเหตุการณ์ต่าง ๆ จากทั้งสองฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกทำให้เกิดความผันผวนต่อคู่ EUR/USD ในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ดี ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแทบจะเป็นศูนย์ ในวันศุกร์ที่ 21 เมษายน ราคาปิดตลาดที่ 1.0988 และจากนั้นวันที่ 28 เมษายน ราคาปิดตลาดไม่ไกลไปจากระดับดังกล่าวที่ 1.1015

    สิ่งที่ต้องไฮไลต์ก็คือ การประกาศรายงานของ First Republic Bank (FRC) ซึ่งจัดอันดับธนาคารอเมริกัน 30 อันดับแรกตามมูลค่าในตลาด รายงานนี้เองที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและราคาคู่นี้ขยับขึ้นมาถึง 100 จุดเมื่อวันพุธที่ 26 เมษายน

    ดูเหมือนว่าวิกฤติธนาคารที่เกิดจากการคุมเข้มนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟด (QT) เริ่มจะจางหายไป… Janet Yellen รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ ยืนหยัดในความแข็งแกร่งของภาคธนาคารสหรัฐฯ แต่หลังจากนั้นก็ปรากฏข่าวเรื่อง First Republic Bank (FRC) โดยเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการล้มละลายและสนับสนุนสภาพคล่องในไตรมาสที่ 1 ปี 2023 ธนาคารหลายแห่งได้โอนเงินจำนวน $30 พันล้านดอลลาร์เป็นเงินฝากที่ไม่ค้ำประกันไปยัง FRC และเงินอีก $70 พันล้านดอลลาร์ในรูปของสินเชื่อมาจาก JPMorgan อย่างไรก็ตาม มันก็ยังไม่เพียงพอ ลูกค้าของธนาคารเริ่มแตกตัว หุ้นของ FRC ร่วงลง 45% ในสองวัน และ 95% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งในเดือนมีนาคมเดือนเดียว ลูกค้าธนาคารถอนเงินกว่า $100 พันล้านดอลลาร์ไปจากธนาคาร ดังนั้น FRB จึงมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นธนาคารแห่งที่ 4 ที่จะล้มละลายในสหรัฐฯ และหากธนาคารเฟดไม่หยุดวัฎจักรมาตรการ QT จะมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นกับธนาคารแห่งที่ 5, 6, 7 ฯลฯ ตามมา

    อย่างไรก็ดี อย่างที่เราได้ให้รายละเอียดไว้แล้วในบทวิเคราะห์ฉบับที่แล้ว ในการประชุมวันที่ ⅔ พฤษภาคม อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นเพียง 25 จุดพื้นฐานเท่านั้น (FedWatch จาก CME ประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์นี้ที่ 72%) หลังจากนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะหยุดพัก และอย่างที่เคยพูดไว้โดย Raphael Bostic ประธานธนาคารเฟดสาขาแอตแลนตาว่า “การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งน่าจะเพียงพอให้เราถอยหลังและหันมาดูว่านโยบายของเรามีผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร” ทั้งนี้ การขึ้นดอกเบี้ย 25 จุดเป็นสิ่งที่ตลาดเก็งไว้ในราคาอยู่แล้ว ดังนั้น ทันทีที่ปรากฏข่าวเกี่ยวกับ FRC และราคาขยับขึ้นไปที่ 1.1095, EUR/USD ก็กลับมายังจุดเดิมของมัน

    ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 28 เมษายน ความเห็นของนักวิเคราะห์แบ่งออกเป็นดังนี้ 35% คาดว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าและราคาคู่นี้ขยับขึ้น 50% คาดว่าจะแข็งค่าขึ้น และ 15% ที่เหลือมีท่าทีเป็นกลาง ในส่วนของการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 มี 85% เป็นสีเขียว 15% เป็นสีเทากลาง ในส่วนของอินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% เป็นสีเขียว และ 10% เปลี่ยนเป็นสีแดง ด้านแนวรับที่ใกล้ที่สุดของคู่นี้อยู่ที่บริเวณ 1.0985-1.1000 ตามมาด้วยระดับ 1.0925-1.0955, 1.0865-1.0885, 1.0740-1.0760, 1.0675-1.0710, 1.0620 และ 1.0490-1.0530 ฝั่งกระทิงจะเผชิญกับแนวต้านที่บริเวณ 1.1050-1.1070 หลังจากนั้นคือ 1.1110, 1.1230, 1.1280 และ 1.1355-1.1390

    นอกเหนือไปจากการประชุมของ FOMC และ ECB ที่กล่าวถึงไปแล้ว เรายังจะรอติดตามสถิติอีกหลายชุดในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ในวันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม จะมีการประกาศดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตในสหรัฐฯ วันถัดมาจะเป็นการประกาศดัชนีที่คล้ายกันจากเยอรมนี ส่วนวันอังคารที่ 2 พฤษภาคม เราจะได้ทราบถึงสถานการณ์เงินเฟ้อในยูโรโซน เพราะจะมีการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) นอกจากนี้ในวันที่ 2 3 4 และ 5 เราจะได้ทราบสถิติตลาดแรงงานจากสหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ ดัชนีที่สำคัญอย่างอัตราว่างงานและจำนวนตำแหน่งงานใหม่นอกภาคการเกษตร (NFP) ซึ่งตามธรรมเนียมจะรายงานในวันศุกร์แรกของเดือนซึ่งก็คือวันที่ 5 พฤษภาคม

GBP/USD: BoE vs. Fed: ใครจะเป็นผู้ชนะในศึกอัตราดอกเบี้ย?

  • การประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะจัดขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังการประชุมของธนาคารเฟดในวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่าวัฎจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเงินปอนด์ยังไม่สิ้นสุดลงแค่นี้ ซึ่งช่วยหนุนค่าเงินปอนด์

    สถิติเงินเฟ้อล่าสุดของเดือนมีนาคมเอื้อต่อการคาดการณ์เหล่านี้ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) รายปีขยับถึงเลขสองหลักอีกครั้งที่ 10.1% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ 9.8% การจะนำตัวเลขดังกล่าวให้ต่ำกว่าระดับที่สำคัญทางจิตวิทยาที่ 10.0% คาดว่าธนาคารกลางอังกฤษจะเดินตามรอยตัวอย่างของธนาคารเฟด ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารอังกฤษจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50 จุดในวันที่ 11 พฤษภาคม จาก 4.25% เป็น 4.75% โดยไม่มีวิธีที่ได้ผลในการรับมือกับเงินเฟ้อได้สำเร็จในขณะนี้ และหากเงินเฟ้อยังคงตัวในระดับสูง มันจะเป็นผลเสียต่อทั้งตลาดผู้บริโภคและเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรโดยรวม

    นับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน เราได้สังเกตเห็นถึงเทรนด์ไซด์เวยส์ อย่างไรก็ดี GBP/USD ปิดตลาดห้าวันทำการที่ผ่านมาที่ระดับ 1.2566 และฝ่ากรอบด้านบนไปอย่างผิดความคาดหมาย บางทีสาเหตุที่ราคาพุ่งนั้นอาจเป็นเพราะการปิดคำสั่งในช่วงปลายเดือน ในขณะนี้มีผู้เชี่ยวชาญ 75% ที่อยู่ฝั่งเงินดอลลาร์ และ 25% เท่านั้นที่โหวตให้ฝั่งเงินปอนด์ ในส่วนของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 ให้ผลลัพธ์ที่ 85% โหวตให้ฝั่งสีเขียว (โดยหนึ่งในสามให้สัญญาณ overbought) และส่วน 15% ที่เหลือให้ผลลัพธ์สีเทากลาง ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% อยู่ฝั่งสีเขียวโดยสมบูรณ์ สำหรับโซนและระดับแนวรับของคู่นี้คือ 1.2450-1.2480, 1.2390-1.2400, 1.2330, 1.2275, 1.2200, 1.2145, 1.2075-1.2085, 1.2000-1.2025, 1.1960, 1.1900-1.1920 และ 1.1800-1.1840 และหากราคาคู่นี้ขยับขึ้นทิศเหนือ จะต้องเจอกับแนวต้านที่ระดับ 1.2510-1.2540, 1.2575-1.2610, 1.2700, 1.2820 และ 1.2940

    ด้านสถิติที่สำคัญของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ในวันอังคารที่ 2 พฤษภาคม จะมีการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคการผลิต (PMI) หลังจากนั้นวันที่ 4 พฤษภาคม เราจะได้ทราบดัชนี PMI ในภาคบริการ รวมถึงดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ นักเทรดต้องไม่ลืมด้วยว่าวันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคมนั้นเป็นวันหยุดธนาคารในสหราชอาณาจักร

USD/JPY: ธนาคารกลางญี่ปุ่น - หันไปทางนโยบายผ่อนคลายทางการเงินที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น

  • การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ค่อนข้างเรียบง่ายและน่าเบื่อมาก อย่าลืมว่าตอนนี้ระดับดอกเบี้ยอยู่ที่ติดลบ -0.1% และการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายคือเมื่อวันที่ 29 มกราคมปี 2016 ที่มีการลดอัตราดอกเบี้ย 20 จุดพื้นฐาน ในครั้งนี้ การประชุมเมื่อวันศุกร์ที่ 28 เมษายน ธนาคารกลางยังคงให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมคือ -0.1%

    แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด ผู้เล่นในตลาดหลายคนคาดหวังว่าผู้ว่าการธนาคารคนใหม่ นาย Kazuo Ueda จะเปลี่ยนทิศทางนโยบายเป็นมาตรการที่เข้มงวดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม ในช่วงการแถลงข่าวครั้งแรกของเขาหลังการประชุมวันที่ 28 เมษายน Ueda กล่าวว่า “เราจะเดินหน้าเพื่อผ่อนคลายนโยบายทางการเงินต่อไปอย่างไม่ลังเลหากจำเป็น” คนอาจเริ่มสงสัยว่ามันจะผ่อนคลายได้อีกมากแค่ไหน แต่ผลปรากฏว่าระดับที่ -0.1% อาจไม่ใช่ระดับสุดท้าย

    ผลลัพธ์จากคำพูดของผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรปเห็นได้ชัดเจนบนกราฟ ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง USD/JPY พุ่งขึ้นจาก 133.30 ไปยัง 136.55 ทำให้เงินเยนอ่อนค่าลง 325 จุด แน่นอนว่ามันยังคงห่างไกลจาระดับสูงสุดในเดือนตุลาคม 2022 แต่การทะยานขึ้นไปยังระดับ 137.50 ดูไม่ได้ห่างไกลจากความเป็นจริงอีกต่อไป

    ราคาคู่นี้ปิดท้ายสัปดาห์ที่ผ่านมาที่ระดับ 136.30 ในส่วนของแนวโน้มอนาคตระยะใกล้ ความเห็นของนักวิเคราะห์แบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ ในขณะนี้มีผู้เชี่ยวชาญเพียง 25% ที่โหวตให้ราคาคู่นี้ขยับขึ้นต่อไป 65% ชี้ไปยังทิศทางตรงกันข้ามโดยคาดว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้น และ 10% มีท่าทีเป็นกลาง ในส่วนของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 85% ชี้ไปยังทิศเหนือ (หนึ่งในสามอยู่ในโซน overbought) ในขณะที่ 15% ที่เหลือยังคงท่าทีเป็นกลาง ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% ชี้ไปยังทิศเหนือ 10% ทิศใต้ และแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่บริเวณ 136.00 ตามมาด้วยโซนและระดับคือ 135.60, 134.75-135.15, 132.80-133.00, 132.00-132.40, 131.25, 130.50-130.60, 129.65, 128.00-128.15 และ 127.20 ด้านระดับและโซนแนวต้านคือ 137.50 และ 137.90-138.00, 139.05, และ 140.60
     ในส่วนของเหตุการณ์สำคัญจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะมีวันหยุดสำคัญคือวันที่ 3 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ และวันที่ 4 เป็นวันสีเขียว และวันที่ 5 เป็นวันเด็ก ดังนั้นพฤติกรรมของคู่ USD/JPY จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของฝั่งเงินดอลลาร์เป็นหลัก

คริปโตเคอเรนซี: รอการฮาล์ฟผลตอบแทนปี 2024

  • BTC/USD ยังคงขยับลดลงเมื่อวันจันทร์ที่ 24 เมษายน หลังจากราคาหลุดแนวรับที่ $27,000 ขยับลงมายัง $26,933 ตลาดเตรียมพร้อมที่จะรอบิทคอยน์ดิ่งลงมายังระดับแนวรับที่สำคัญที่ $26,500 อย่างไรก็ดี ราคาขยับขึ้นอย่างไม่คาดคิดไปที่ $30,020 ในวันที่ 26 เมษายน โดยบิทคอยน์ได้รับแรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนแอเหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง สาเหตุมาจากข่าวช็อคของธนาคาร First Republic ซึ่งเกิดขึ้นตามหลังคลื่นการล้มละลายของธนาคารที่ให้บริการด้านคริปโตหลายแห่งอย่างที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น

    ความสัมพันธ์ระหว่างอุตสาหกรรมคริปโตและธนาคารปรากฏขึ้นมาเนื่องด้วยเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ 1) นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดขึ้นส่งผลกระทบต่อธนาคาร การปรับลดลงของราคาสินทรัพย์ การลดลงของอุปสงค์ต่อบริการ และส่งผลให้ลูกค้าหลีกหนี 2) สถานการณ์สร้างความยากลำบากอย่างรุนแรงต่อธนาคารหลายแห่งและทำให้ธนาคารหลายแห่งล้มละลาย 3) สิ่งนี้อาจบีบให้ธนาคารเฟดต้องหยุดวัฎจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือลดลงในที่สุด นอกจากนี้ ธนาคารเฟดอาจเริ่มพิมพ์ธนบัตรเพื่อสนับสนุนสภาพคล่องของธนาคาร 4) อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและการไหลเข้ามาของเงินราคาถูกทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าและนักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้น และคริปโตเคอเรนซี ซึ่งทำให้ราคาสินทรัพย์เหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น เราได้เห็นแล้วจากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 และอาจได้เห็นมันอีกครั้งในอนาคตอันใกล้

    Raoul Pal อดีตผู้บริหารสูงสุดของ Goldman Sachs และนักลงทุนมหภาคกล่าวว่า ภาคคริปโตจะมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ 300 ล้านคนเป็นมากกว่า 1 พันล้านคนในช่วงวัฎจักรกระทิงรอบถัดไป เขามองว่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่างคริปโตกำลังเผชิญกับ “คลื่นสภาพคล่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” และการไหลเข้ามาของเงินทุนนี้จะ “ให้แสงสว่าง” กับอุตสาหกรรมพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ต่าง ๆ

    นักลงทุนท่านนี้เชื่อว่าธนาคารเฟดน่าจะจบรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว เขายังพูดถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ใกล้เข้ามา ซึ่งจะบีบให้ธนาคารเฟดต้อง “เปลี่ยนท่าที” และสนับสนุนตลาดโดยการพิมพ์เงิน “นี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในปี 2019 หลังจากเฟดเปลี่ยนท่าทีในปี 2018 เฟดจะต้องหยุดพักในเร็ว ๆ นี้หรือไม่ก็ทำไปเรียบร้อยแล้ว” Raul Pal อธิบาย

    ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากธนาคาร Standard Chartered จากอังกฤษ ราคาบิทคอยน์อาจขยับถึง $100,000 ภายในสิ้นปี 2024 ซึ่งแสดงถึงจุดสิ้นสุดของ “ฤดูหนาวคริปโต” อ้างอิงจาก Reuters ธนาคาร Standard Chartered เชื่อว่าในช่วงต้นปี 2023 บิทคอยน์ได้ฉวยโอกาสจากสถานะ “ที่หลบภัยแบรนด์เนม” ในการออมเงินและเครื่องมือในการโอนเงิน ราคาที่เติบโตขึ้นได้ับแรงหนุนจากเหตุการณ์โกลาหลล่าสุดในภาคธนาคาร เสถียรภาพที่เกิดขึ้นกับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเป็นเพราะการสิ้นสุดลงของวัฎจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารเฟด และความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นในการขุดเหรียญคริปโต

    นอกจากนี้ แรงหนุนต่อบิทคอยน์ยังอาจเป็นเพราะสหภาพยุโรปได้อนุมัติเห็นชอบกฎชุดแรกของอียูในการกำกับดูแลตลาดสินทรัพย์คริปโต ซึ่งผู้เชี่ยวชญจาก JPMorgan ชี้ว่า ราคาที่เติบโตของ BTC จะยังได้รับผลกระทบจากการฮาล์ฟเหรียญในเดือนเมษายน 2024

    เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งปีจึงจะถึงการฮาล์ฟผลตอบแทนบิทคอยน์ครั้งถัดไป ซึ่ง ณ วันที่ 24 เมษายน 2024 กระบวนการนี้คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 6 เมษายน 2024 อย่างไรก็ตาม วันที่นี้ยังไม่ชัดเจนและอาจมีการเปลี่ยนแปลง เพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง

    ผู้เล่นในตลาดหลายคนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของมูลค่าบิทคอยน์ พวกเขามองว่าวัฏจักรคริปโตเคอเรนซีไม่มีการเปลี่ยนแปลง และราคา BTC จะขยับถึงระดับสูงสุดใหม่ในหนึ่งปีหรือหนึ่งปีครึ่งหลังการฮาล์ฟเหรียญอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในวัฎจักรก่อนหน้า ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอีกกลุ่มมองว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว และบิทคอยน์กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหญ่และขณะนี้ “กฎและระเบียบอื่น ๆ เริ่มทำงานแล้ว” ต่อคริปโตเคอเรนซี ดังนั้นปัจจัยอื่นน่าจะมีผลมากกว่าการฮาล์ฟบิทคอยน์

    Jamie Coutts นักวิเคราะห์ Bloomberg ทำนายการทะยานขึ้นของราคาบิทคอยน์ไปยัง $50,000 ตั้งแต่ก่อนการฮาล์ฟบิทคอยน์ในเดือนเมษายน 2024 “ราคาบิทคอยน์จมลงมายังจุดต่ำสุดตอนที่ยังเหลือเวลา 12-18 เดือนก่อนที่จะถึงการฮาล์ฟเหรียญ โครงสร้างวัฎจักรปัจจุบันนั้นคล้ายกันกับวัฎจักรก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ปัจจัยหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป ทั้งเครือข่ายมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่บิทคอยน์ยังไม่เคยเจอแนวโน้มเศรษฐกิจขาลงที่ยาวนาน” กล่าวโดย Coutts หากคำทำนายของเขาเป็นจริง บิทคอยน์จะมีราคาสูงขึ้น 220% ภายในเดือนเมษายน 2024 จากจุดต่ำสุดที่เคยขยับถึงในเดือนพฤศจิกายน

    Doctor Profit ผู้เชี่ยวชาญและนักเทรดยังจำคำพูดของเขาได้ตอนที่บิทคอยน์แตะลงที่ระดับต่ำสุดคือ $15,400 และไม่น่าจะมีโอกาสที่เราจะได้เห็นแนวโน้มขาลงกลับมาที่ระดับดังกล่าว เขามองว่าการเทลงของราคาในเดือนพฤศจิกายน 2022 คือการยอมจำนนโดยสมบูรณ์ รวมถึงนักขุดเหรียญบิทคอยน์ที่บางส่วนถูกบีบบังคับให้ต้องขายเหรียญที่ขุดได้และอุปกรณ์ของตนเองไปอย่างขาดทุน

    เขามีความเห็นว่า ตลาดไม่ใช่ตลาดกระทิงหรือตลาดหมีในขณะนี้ แต่เป็นช่วงสะสมกำลัง ในขณะเดียวกัน Dr. Profit แนะนำให้นักเทรดติดตามความสัมพันธ์ระหว่างตลาดหุ้นจีนและ BTC อย่างใกล้ชิด เขาเชื่อว่าจีนจะยกเลิกการแบนคริปโตและทำให้มันถูกกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลบวกอย่างยิ่งต่อราคาคริปโตในระยะยาว

    DonAlt นักวิเคราะห์ได้ให้คำทำนายที่แม่นยำซ้ำหลายครั้งต่อราคาของบิทคอยน์ ซึ่งเขาเชื่อว่าเหรียญนี้พร้อมจะกลับมายังระดับที่ $30,000 ในขณะเดียวกัน ราคาอาจปรับฐานไปที่ $20,000 ซึ่งในความเห็นของเขาควรถือว่าเป็นระดับที่ดีในการเพิ่มสัดส่วนในการลงทุนคริปโต

    PlanB นักวิเคราะห์ชื่อดังที่มีชื่อเสียงในโมเดล Stock-to-Flow ของเขาชี้ว่า บิทคอยน์อาจเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก “คำทำนายของเขาเป็นจริงภายในกรอบโมเดล S2F ก่อนจะถึงการฮาล์ฟเหรียญ คุณอาจได้เห็นราคา $32,000 ต่อบิทคอยน์ จากนั้นคือ $60,000 หลังจากนั้น $100,000 จะเป็นราคาขั้นต่ำ และราคาสูงสุดอาจขยับถึง $1 ล้านดอลลาร์ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว หลังจากการฮาล์ฟครั้งถัดไป ราคา BTC อาจขยับถึง $542,000” PlanB เขียน ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์เน้นย้ำว่า พฤติกรรมตลาดคริปโตนั้นตรงกับ S2F โดยสมบูรณ์

    ทั้งนี้ PlanB ไม่ใช่คนเดียวที่มีคำทำนายแบบสดใสเช่นนี้ต่อราคาบิทคอยน์ ซึ่ง Warren Buffet เคยเรียกมันว่า “ยาเบื่อหนู” Robert Kiyosaki เจ้าของหนังสือชื่อดังเรื่อง Rich Dad Poor Dad เชื่อว่ามูลค่าของบิทคอยน์จะเพิ่มขึ้นเป็น $500,000 ในปี 2025 และ Ark Invest ตั้งเป้าหมายไว้ที่ $1 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ

    ณ ช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 28 เมษายน  BTC/USD มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $29,345 โดยมูลค่ารวมในตลาดคริปโตอยู่ที่ $1.205 ล้านล้านดอลลาร์ ($1.153 ล้านล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ก่อนหน้า) ด้านดัชนี Crypto Fear & Greed Index เพิ่มขึ้นจาก 50 เป็น 64 จุดในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาจากโซน Neutral ไปยังโซน Greed

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา