EUR/USD: การกลับตัวของนโยบายสายพิราบของธนาคารเฟด
- ชะตากรรมของ EUR/USD ถูกกำหนดโดยสองเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว คือ การประชุมของ FOMC (คณะกรรมการที่กำหนดนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟด) และการประชุมของสภาบริหารธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งจัดขึ้นในหนึ่งวันถัดมา ผลปรากฏว่ายูโรมีชัยชนะ และเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายนที่ราคาคู่นี้ขยับขึ้นมาเหนือ 1.1000
ธนาคารเฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมคือ 5.5% ในระหว่างนี้ ผู้บริหารของธนาคารกลางตระหนักว่ากำลังมีการหารือเรื่องนโยาบการเงินแบบผ่อนคลาย การคาดการณ์ของ FOMC ในอนาคตอันใกล้ปรากฏว่าต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดเป็นอย่างมาก โดยมีการวางแผนว่าภายในสิ้นปี 2024 อัตราดอกเบี้ยจะลดลงอย่างน้อยสามเท่าเหลือ 4.6% (จากที่คาดการณ์คือ 5.1%) และภายในสิ้นปี 2025 จะมีแผนการลดอัตราดอกเบี้ยอีกสี่ระยะ จึงน่าจะพาดอกเบี้ยลงมาที่ 3.6% (การคาดการณ์เดิมคือ 3.9%) ในมุมมองระยะ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยจะลดลงมาที่ 2.9% หลังจากนั้นในปี 2027 จะอยู่ที่ 2.0-2.25% ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะคงที่ที่ระดับเป้าหมายที่ 2.0% หลังการประชุมดังกล่าว ตลาดคาดว่าธนาคารเฟดจะเริ่มก้าวแรกของการผ่อนคลายนโยบายตั้งแต่เดือนมีนาคม FedWatch Tool ชี้ว่ามีความเป็นไปได้ดังกล่าวปัจจุบันอยู่ที่ 70%
นอกเหนือจากการคาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ ยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมต่อดอลลาร์จากผลตอบแทนของพันธบัตรที่ลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางนโยบายทางการเงินในสหรัฐฯ อย่างฉับพลันเช่นกัน อีกสิ่งที่หนึ่งที่ช่วยยืนยันก็คือปฏิกิริยาตอบสนองของตลาดหุ้น อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเป็นข่าวดีสำหรับหุ้น ทำให้สินเชื่อถูกลงและเงื่อนไขเศรษฐกิจง่ายขึ้นเพื่อกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ ด้วยเหตุนี้ ดัชนีตลาดหุ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ทั้ง S&P 500, Dow Jones และ Nasdaq จึงขยับขึ้นอีกครั้ง
เป็นที่ทราบกันว่า นาง Christine Lagarde ประธานธนาคารกลางยุโรปเคยเล่นกีฬาว่ายน้ำแบบระบำใต้น้ำ ในครั้งนี้ เธอว่ายน้ำเข้าจังหวะกับธนาคารเฟด ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมเช่นกันที่ระดับ 4.50% อย่างไรก็ตาม ECB คาดว่า GDP ยูโรโซนจะเติบโตเพียง 0.6% เท่านั้นในปี 2023 เทียบกับการคาดการณ์ครั้งก่อนหน้าที่ 0.7% และ 0.8% ในปี 2024 แทนที่ 1.0% อัตราเงินเฟ้อในปี 2024 คาดการณ์อยู่ที่ 5.4% โดยคาดว่าในปี 2024 จะอยู่ที่ 2.7% และปี 2025 น่าจะเกือบแตะระดับเป้าหมายที่ 2.1% (เร็วกว่าสหรัฐฯ สองปี)
การขยับออกจากจังหวะของธนาคารเฟดเกิดขึ้นหลังการประชุมของสภาบริหารธนาคารกลางยุโรป ในความเห็นของพวกเขา ผู้บริหาร ECB ไม่ได้บอกถึงกำหนดเวลาที่จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ยังมีการกล่าวว่า เป้าหมายของ ECB คือลดอัตราเงินเฟ้อ ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยควรจะคงไว้ในระดับสูงสุดนานที่สุดเท่าที่จำเป็น ท่าทีนี้ส่งผลดีต่อค่าเงินยูโรและช่วยให้เงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์
เมื่อพิจารณาถึงท่าทีสายพิราบของธนาคารเฟดและท่าทีสายเหยี่ยวปานกลางของธนาคารกลางยุโรป EUR/USD อาจคงศักยภาพในการเติบโตต่อไป สิ่งที่ควรสังเกตก็คือ การกลับทิศทางของธนาคารเฟดไม่ได้สร้างความประหลาดใจแก่ตลาดเท่านั้น รายงานภายในจาก Financial Times ชี้ว่า ความเห็นของนาย Jerome Powell หลังการประชุม FOMC ก็ทำให้สภาบริหารของ ECB ต้องประหลาดใจเช่นกัน ในช่วงการแถลงข่าวของนาง Lagarde เธอได้กล่าวพาดพิงฝั่งธนาคารเฟดของอเมริกาไปหลายครั้ง
ในขณะนี้ดูเหมือนว่าธนาคารเฟดจะเป็นผู้นำในการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน หากตลาดยังไม่ได้รับสัญญาณในทางตรงกันข้าม ดอลลาร์ก็จะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงด้วยว่า ความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นในปี 2024 อาจไม่เป็นไปตามคำกล่าวแถลงที่เคยให้ไว้ในเดือนธันวาคม 2023 ถ้ามองเป็นกลางจะเห็นว่า ECB มีหลายเหตุผลมากกว่าที่จะต้องผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน เศรษฐกิจยุโรปปรับตัวต่ออัตราเงินเฟ้อสูงอย่างย่ำแย่ และดูอ่อนแอกว่าเศรษฐกิจอเมริกา ปริมาณ GDP ก็ถูกปรับลดลง และอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วยิ่งกว่าในสหรัฐฯ นักเศรษฐศาสตรจาก Fidelity International, JPMorgan, และ HSBC จึงไม่ตัดโอกาสที่ทุกอย่างยังอาจเปลี่ยนแปลงได้ และธนาคารอื่น ๆ เช่น ECB และธนาคารกลางอังกฤษอาจเป็นคนแรกที่จะเริ่มเส้นทางการผ่อนคลายนโยบายฯ อย่างไรก็ตาม เราจะยังไม่ทราบสัญญาณในเรื่องนี้ในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ แต่คงจะเริ่มทราบในปีหน้าเท่านั้น
ในส่วนสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมีการประกาศสถิติกิจกรรมทางธุรกิจที่น่าผิดหวัง (PMI) ในยุโรปเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม และผลลัพธ์ในหลายทิศทางส่งผลให้ EUR/USD ปิดตลาดที่ 1.0894
นักเศรษฐศาสตร์จาก MUFG Bank ชี้ว่า ไม่มีความแน่นอนว่า EUR/USD จะขยับขึ้นต่อไปได้ “สถานการณ์ในยูโรโซนและรอบโลกดูเหมือนจะไม่เอื้อต่อการทะยานขึ้นอย่างยั่งยืนของ EUR/USD" พวกเขากล่าว “ปัจจัยพื้นฐานที่เป็นแรงขับเคลื่อนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าในช่วงคริสต์มาสหรือปีใหม่นั้นเชื่อถือไม่ได้ แต่หากการทะยานขึ้นยังคงไปต่อในช่วงระยะเวลานี้ เราคาดว่าราคาจะกลับตัว เพราะเรากำลังเข้าสู่ช่วงไตรมาสแรกของปีถัดไป”
ณ ขณะนี้ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอนาคตอันใกล้ของคู่นี้ ได้แก่ 40% โหวตว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น 30% เห็นด้วยกับเงินยูโร และ 30% ยังคงมีความเห็นเป็นกลาง ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ D1 มี 100% โหวตให้กับยูโรและแนวโน้มขาขึ้นของราคา ด้านออสซิลเลเตอร์ 60% โหวตให้เทรนด์ขาขึ้น 30% เทรนด์ขาลง และ 10% ชี้ทิศทางด้านข้าง ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดของคู่นี้อยู่ที่บริเวณ 1.0800-1.0830 ตามมาด้วย 1.0770, 1.0725-1.0740, 1.0620-1.0640, 1.0500-1.0520, 1.0450, 1.0375, 1.0200-1.0255, 1.0130, และ 1.0000 ด้านฝั่งกระทิงจะเจอกับแนวต้านที่บริเวณ 1.0925, 1.0965-1.0985, 1.1020, 1.1070-1.1110, 1.1150, 1.1230-1.1275, 1.1350 และ 1.1475
ในสัปดาห์หน้านี้ ทั้งยุโรปและสหรัฐฯ จะสรุปผลท้ายปีและเตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลคริสต์มาส เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ การประกาศสถิติเงินเฟ้อ (CPI) ในยูโรโซนในวันอังคารที่ 19 ธันวาคม ในวันพุธที่ 20 ธันวาคมจะมีการเผยแพร่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในวันถัดมา เราจะได้ทราบดัชนี GDP สหรัฐฯ ในไตรมาสที่สาม และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน สัปดาห์นี้จะปิดท้ายด้วยชุดสถิติตลาดผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม
GBP/USD: BoE หลีกเลี่ยงจากการให้อาหารนกพิราบ
- เช่นเดียวกันกับธนาคารเฟดและ ECB สถานการณ์ระหว่างธนาคารเฟดและธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก็สอดคล้องกันโดยสมบูรณ์ เราสามารถคัดลอกข้อความก่อนหน้านี้แล้วนำมาวางที่นี่ได้เลย ในการประชุมที่ผ่านมา BoE ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมที่ 5.25% เช่นกัน และเหมือนกันกับ ECB ไม่มีการให้เหตุผลที่จะช่วยกระตุ้นความคาดหวังว่าริเริ่มนโยบายสายพิราบในปี 2024 นาย Andrew Bailey ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษให้ข้อสังเกตว่า BoE ยังมีหนทางที่ต้องฝ่าฟัน และมีสมาชิก 3 จาก 9 คนในคณะกรรมการนโยบายทางการเงินที่โหวตให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแทนด้วยซ้ำ
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจของอังกฤษนั้นมีความหลากหลาย สถิติชี้ว่า อัตราการเติบโตของรายได้จริงเมื่อปรับตามเงินเฟ้อแล้วยังคงเพิ่มขึ้นต่อปี อย่างไรก็ดี มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น 0.1% แต่จริง ๆ แล้วเศรษฐกิจกลับหดตัวลง 0.3% หลังจากเติบโตขึ้นมา 0.2% ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ปริมาณการผลิตเชิงอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคมลดลง 0.8% และตัวเลขรายปีลดลงจาก 1.5% เหลือ 0.4% ซึ่งแย่กว่าการคาดการณ์ของตลาดที่ 1.1% อยู่มาก สถิติที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในภาคบริการมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากในเดือนธันวาคม ดัชนี PMI แตะ 52.7 ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ 51.0 และเป็นตัวเลจที่ดีที่สุดในรอบห้าเดือนที่ผ่านมา แต่อีกด้านหนึ่งนั้น กิจกรรมทางธุรกิจในเดือนพฤศจิกายนลดลงจาก 47.2 เหลือ 46.4 ถึงแม้ว่าตลาดจะคาดการณ์ว่าดัชนีดังกล่าวจะขยับขึ้นไปที่ 47.5
ในระหว่างนี้ “ยักษ์จีนี่แห่งเงินเฟ้อยังคงอยู่นอกตะเกียง” ธนาคารกลางอังกฤษจึงไม่น่าจะล้มเลิกนโยบายทางการเงินที่เข้มงวด ซึ่งเป็นอุปสรรคเดียวที่ช่วยขัดขวางไม่ให้เงินเฟ้อสูงขึ้นต่อ ผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยกับเรื่องนี้ และคำถามปลายเปิดเดียวที่เหลืออยู่คือ ธนาคารกลางจะสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ตอนไหน
ราคาสุดท้ายในสัปดาห์ที่แล้วสำหรับ GBP/USD อยู่ที่ระดับ 1.2681 ตามความเห็นของนักเศรษศาสตร์ที่ ING บริเวณที่ 1.2820-1.2850 นั้นเป็นแนวต้านที่สำคัญสำหรับ GBP/USD หากราคาฝ่าทะลุบริเวณดังกล่าว ราคาน่าจะแตะระดับที่ 1.3000 ซึ่งจะเป็นของขวัญคริสต์มาสชิ้นใหญ่ให้กับฝั่งกระทิง อย่างไรก็ตาม ทีมงานจากธนาคาร Nomura ของญี่ปุ่นค่อนข้างมีข้อกังขาเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของคู่นี้ และเชื่อว่าทั้งในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2024 ราคาคู่นี้จะเทรดอยู่ที่บริเวณ 1.2700 และ 1.2800
ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์นี้ การคาดการณ์กลางของนักวิเคราะห์ไม่ให้แนวทางที่ชัดเจน โดย 25% โหวตว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้น อีก 25% คาดว่าจะลง และ 50% ไม่ให้ความเห็นใด ๆ ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ D1 ชี้ทิศเหนือ 100% เช่นเดียวกันกับคู่ก่อนหน้านี้ ในกรณีที่ราคาขยับลงทิศใต้ คาดว่าจะเจอกับแนวรับที่ระดับและโซน 1.2600-1.2625, 1.2545-1.2575, 1.2500-1.2515, 1.2450, 1.2370, 1.2330, 1.2210, 1.2070-1.2085, 1.2035 ในกรณีที่ราคาขยับขึ้น คาดว่าจะเจอกับระดับแนวต้านที่ 1.2710-1.2535 จากนั้นคือ 1.2790-1.2820, 1.2940, 1.3000 และ 1.3140
ในส่วนปฏิทินของสัปดาห์ที่จะถึงนี้เน้นวันพุธที่ 20 ธันวาคมเป็นวันสำคัญ เนื่องจากจะมีการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคของสหราชอาณาจักร (CPI) ในวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม วันทำการจะปิดลงก่อนเวลาปกติเนื่องด้วยการเตรียมตัวสำหรับเทศกาลคริสต์มาส อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าวันดังกล่าวจะมีการประกาศสถิติเศรษฐกิจที่สำคัญหลายชุด ได้แก่ ยอดค้าปลีก และ GDP
USD/JPY: ชัยชนะของเงินที่กำหนดไว้สำหรับปี 2024
- เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน USD/JPY แตะระดับสูงสุดที่ 151.90 อย่างไรก็ตาม ภายใน 5 สัปดาห์เท่านั้น เงินเยนญี่ปุ่นประสบความสำเร็จในการแข็งค่าขึ้นกว่า 1000 จุดเทียบกับดอลลาร์ วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมาเป็นวันแห่งชัยชนะสำหรับเงินเยน เพราะเงินเยนแข็งค่าขึ้นทั่วทั้งตลาด และกดดอลลาร์ลงประมาณ 225 จุด ในเวลานั้น ราคาต่ำสุดของคู่นี้อยู่ที่ 141.62 ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาได้ขยับตามทิศทางของธนาคารเฟดและดัชนีดอลลาร์ DXY และปิดตลาดห้าวันทำการที่ระดับ 142.14
เหตุผลหลักที่ทำให้เงินเยนทะยานขึ้นคือ ความคาดหวังที่สูงขึ้นว่าธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น (BoJ) จะล้มเลิกนโยบายทางการเงินแบบติดลบในที่สุด และคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ มีข่าวลือชี้ว่า ธนาคารระดับภูมิภาคในญี่ปุ่นกำลังล็อบบี้ให้เลิกใช้นโยบายการควบคุมเส้นโค้งผลตอบแทนพันธบัตรและกดดันธนาคารกลางอยู่ และการที่ BoJ ทำแบบสำรวจพิเศษในช่วงต้นเดือนธันวาคมเพื่อหารือเรื่องผลที่ตามมาของการออกจากนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายสุดขั้วและผลข้างเคียงที่จะตามมานั้นยิ่งเป็นการยืนยันข่าวลือดังกล่าว
เงินเยนยังได้รับผลดีจากการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารเฟดและ ECB ซึ่งยิ่งกระตุ้นความเชื่อมั่นในตลาดว่าอัตราดอกเบี้ยของดอลลาร์และยูโรนั้นถึงจุดสูงสุดแล้ว และจะมีแต่ลดลงเท่านั้นต่อจากนี้ สิ่งนี้เอื้อให้มีการคาดการณ์ว่านักลงทุนจะค่อย ๆ ผ่อนคลายกลยุทธ์แคร์รีเทรดและจะทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นและของสหรัฐฯ และยูโรโซนลดลง พัฒนาการดังกล่าวน่าจะทำให้เงินทุนไหลกลับเข้ามายังเงินเยน
การประชุมครั้งสุดท้ายของปีของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) มีกำหนดขึ้นในวันอังคารที่ 19 ธันวาคมนี้ อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางฯ จะคงนโยบายทางการเงินไม่เปลี่ยนแปลงในการประชุมครั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์จาก MUFG Bank ของญี่ปุ่นคาดว่า BoJ จะยุตินโยบายการควบคุมเส้นโค้งผลตอบแทนพันธบัตร (YCC) และนโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ (NIRP) ในการประชุมเดือนมกราคม ซึ่งพัฒนาการเหล่านี้ถูกเก็งอยู่ในอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว แต่น้ำเสียงของธนาคารกลางญี่ปุ่นในการประชุมเดือนธันวาคมอาจยิ่งกระตุ้นความคาดหวังในการใช้นโยบายทางการเงินแบบตึงตัวมากขึ้นในปี 2024 MUFG เชื่อว่า เงินเยนมีศักยภาพที่ดีเยี่ยมในการเติบโตในบรรดาค่าเงิน G10 ในปีหน้า “ภาวะช็อคจากเงินเฟ้อรอบโลกกำลังกลับทิศทาง และสิ่งนี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญมากที่สุดต่อ JPY” กล่าวโดยนักยุทธศาสตร์ของธนาคาร
ในระยะอันใกล้ ผู้เชี่ยวชาญ 30% คาดว่าเงินเยนจะแข็งค่าขึ้นต่อ 10% เห็นด้วยกับดอลลาร์ และส่วนใหญ่แล้ว (60%) มีท่าทีเป็นกลาง ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ D1 ในที่นี้ผู้ที่มีความได้เปรียบโดยสมบูรณ์คือฝั่งสีแดงคือ 100% ในส่วนออสซิลเลเตอร์ สีแดงก็ 100% เช่นกัน แต่มี 25% ที่ให้สัญญาณ oversold แล้ว สำหรับระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ในโซน 141.35-141.60 ตามมาด้วย 140.60-140.90, 138.75-139.05, 137.25-137.50, 135.90, 134.35 และ 131.25 ระดับและโซนแนวต้านอยู่ที่บริเวณ 143.75-144.05 ตามมาด้วย 145.30, 146.55-146.90, 147.65-147.85, 148.40, 149.20, 149.80-150.00, 150.80, 151.60 และ 151.90-152.15.
หลังจากการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นในวันที่ 19 ธันวาคม และการแถลงข่าวที่จะตามมาโดยผู้บริหารธนาคารฯ ไม่คาดว่าในสัปดาห์นี้จะมีเหตุการณ์ที่สำคัญใด ๆ จากฝั่งเศรษฐกิจญี่ปุ่น
คริปโตเคอเรนซี: กองทุน Bitcoin ETFs จะมาแทนที่ Binance หรือไม่?
- ภายในวันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม บิทคอยน์แตะระดับ $44,694 ครั้งสุดท้ายที่ราคาเคยเทรดเหนือระดับ $40,000 คือเดือนเมษายน 2022 สองวันถัดมา เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 ธันวาคม ตลาดเซอร์ไพรส์นักลงทุนโดยตกลงมาที่ระดับ $40,145 และทำให้เกิดความผิดหวังเป็นอย่างมาก
ราคาที่ร่วงลงอย่างรวดเร็วกินเวลาไม่ถึงห้านาที มีหลายทฤษฎีที่ช่วยอธิบายเหตุการณ์นี้ ทฤษฎีหนึ่งชี้ว่าเป็นผลมาจากสถิติตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การตอบสนองอย่างกระวนกระวายใจหรืออาจเป็นข้อผิดพลาดทางเทคนิคในปริมาณการเทรด ซึ่งอาจมาจากบอทเทรดหรือนักเทรด ทำให้คำสั่ง stop มีผลจำนวนมากในตลาดฟิวเจอร์ส รายงานจาก Coinglass ชี้ว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงมีคำสั่ง long กว่า $400 ล้านดอลลาร์ที่ถูกกำจัดไป ซึ่งรวมึถงบิทคอยน์จำนวน $85.5 ล้านดอลลาร์ฯ
การวิเคราะห์ของเราชี้ว่า คำอธิบายที่น่าจะเป็นจริงมากที่สุดมีดังนี้: ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม การเติบโตนี้ของบิทคอยน์ขึ้นมาประมาณ 85% และขึ้นกว่า 160% นับตั้งแต่ต้นปี ดังนั้น นักวิเคราะห์บางกลุ่มเชื่อว่า ผู้เล่นรายใหญ่อาจได้ตัดสินใจเก็บกำไรเรียบร้อยแล้วล่วงหน้าก่อนสิ้นปี สองวันก่อนหน้านั้น FibFilb ประธานของ DecenTrader ได้เตือนว่า “เราได้เติบโตขึ้นมาเป็นอย่างมากแล้วในปีนี้ และการปรับฐานก็เกิดขึ้น มันควรจะเกิดมาตั้งนานแล้ว” เขาประกาศเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม
กระแสเชิงลบยังอาจทวีคูณจากข่าวที่การจ่ายโทษปรับกว่า $4.3 พันล้านเหรียญก็ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาที่แพลตฟอร์มคริปโต Binance กำลังเผชิญอยู่ คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ยังคงเดินหน้าฟ้องร้องแพลตฟอร์มในข้อหาเทรดหลักทรัพย์อย่างผิดกฎหมายและการละเมิดเรื่องอื่น ๆ
เจ้าหน้าที่จากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เตรียมสอบสวนกิจกรรมของแพลตฟอร์มการเทรดนี้โดยละเอียดว่ามีการปฏิบัติตามกฎและบรรทัดฐานทางกฎหมายหรือไม่ Binance จำเป็นต้องให้การเข้าถึงเอกสารและบันทึกต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับพนักงาน ตัวแทน สื่อกลาง ที่ปรึกษา หุ้นส่วน ผู้รับสัญญา และนักเทรด ให้กับกระทรวงยุติธรรม เครือข่ายการบังคับใช้อาชญากรรมทางการเงิน และหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินและกฎหมายอื่น ๆ
ในสัปดาห์ที่แล้ว John Reed Stark อดีตประธาน SEC สหรัฐฯ ได้เผยแพร่ความเห็นเกี่ยวกับโอกาสที่ Binance จะต้องดับลง โดยอ้างถึงเงื่อนไขของรัฐบาลสหรัฐฯ ต่อแพลตฟอร์ม โดยมีการเขียนข้อเรียกร้องต่อแพลตฟอร์มจำนวน 13 หน้ากระดาษเกี่ยวกับขั้นตอนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยใช้กับบริษัทใด ๆ ทำให้ Stark ล้อเลียนการดำนเินการนี้ว่า “การส่องกล้องตรวจลำไส้ทางการเงิน”
ที่น่าสังเกตก็คือ การโจมตีต่อ Binance ในปี 2023 ทำให้หุ้นในตลาดสปอตมีมูลค่าลดลงจาก 55% เหลือ 32% ในตลาดตราสารอนุพันธ์ร่วงลง 47.7% จึงเป็นหุ้นที่มีผลงานย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020
เมื่อพูดถึงแรงกดดันจากทางการเงินที่เข้มงวดขึ้น Jamie Dimon ซีอีโอขง JPMorgan กล่าวว่า หากเขาเป็นรัฐบาลสหรัฐฯ เขาจะ “แบนสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมดที่สนับสนุนพวกมิจฉาชีพและผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย” แต่ทางการสหรัฐฯ กลับไม่ดำเนินมาตรการดังกล่าว เพราะอะไรกัน?
Niccolò Machiavelli นักคิด นักการเมือง และนักปรัชญาชาวอิตาลีเคยกล่าวคำพูดที่โด่งดังไว้ว่า “ถ้าคุณเอาชนะคนหมู่มากไม่ได้ คุณก็ต้องนำพวกเขา” เขาเคยพูดคำนี้ไว้ตั้งแต่ 500 ปีที่แล้ว แต่ยังคงนำมาใช้ได้ในทุกวันนี้ เช่น ถึงแม้ว่าจะมีข้อห้ามอย่างเบ็ดเสร็จ ประเทศจีนยังคงมีบทบาทที่สำคัญในอุตสาหกรรมคริปโต สหรัฐฯ ดูเหมือนจะพิจารณาว่า แทนที่จะสั่งแบนสินทรัพย์ดิจิทัล ตัดอินเทอร์เน็ต ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนทั้งหมด วิธีที่ง่ายกว่าคือการเป็นผู้นำและควบคุมกระบวนการนี้ ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ไอเดียการจัดตั้งกองทุน Bitcoin ETFs กำเนิดเพราะแนวคิดเช่นนี้ กองทุนดังกล่าวจะช่วยให้ติดตามนักลงทุนคริปโต ศึกษาการทำธุรกรรมเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ตรรกะตรงนี้จึงค่อนข้างชัดเจน และในกรณีที่พบไม่บ่อยนัก นักลงทุนรายย่อยจำนวนหลายล้านคนก็ดีใจกับกระบวนการนี้ และหวังว่าเงินลงทุนของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเนื่องด้วย BTC-ETF และแรงกดดันในการกำกับดูแล
กลับมายังเหตุการณ์วันที่ 11 ธันวาคม Michael Van De Poppe นักเทรดและนักวิเคราะห์และผู้ก่อตั้ง Eight ได้กำชับให้ชุมชน “ไม่ต้องกังวล” โดยชี้ให้เห็นว่าการปรับฐานของราคา โดยเฉพาะที่ราคาที่ย่อตัวลึกนั้นเป็นเรื่องปกติในตลาดเหรียญทางเลือกที่ไม่มีสภาพคล่อง หลังจากเหตุการณ์ล่าสุด เขาได้อัปเดตการคาดการณ์บิทคอยน์ โดยระบุโซนแนวรับที่สำคัญที่ $36,500-$38,000 เขาเชื่อว่า “โมเมนตัมของบิทคอยน์กำลังอ่อนกำลังลง และคาดว่า Ethereum จะทำผลงานแซงหน้าในไตรมาสที่จะถึงนี้”
ด้าน William Clemente ผู้เชี่ยวชาญด้านคริปโตไม่ได้กังวลเรื่องแนวโน้มขาลงของราคาบิทคอยน์ แต่มองว่ามันต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว เขาให้เหตุผลว่า การปรับฐาดังกล่าวเป็นการเตรียมความพร้อมสู่เทรนด์กระทิงรอบถัดไป โดยการขจัดคำสั่งซื้อที่ใช้เลเวอเรจมากเกินออกไปให้หมด.
Eli Taranto ผู้อำนวยการ EQI Bank เห็นด้วยกับคำทำนายของ Van De Poppe และยังคาดการณ์แนวโน้มขาลงของมูลค่าเหรียญบิทคอยน์ด้วย เขาให้ข้อสังเกตว่า เพราะนักเทรดเริ่มเก็บกำไรและรอการตัดสินใจเรื่องการอนุญาตให้เปิดกองทุน ETF ราคาบิทคอยน์จะยังคงมีความผันผวนโดยขึ้นอยู่กับทฤษฎีผลกระทบผีเสื้อ (Butterfly Effect) ซึ่งสิ่งเล็ก ๆ สามารถส่งอิทธิพลให้เกิดผลที่ตามมาที่สำคัญและยากที่จะคาดการณ์ได้ Taranto แนะว่ามีโอกาสที่ราคา BTC จะลดลงมาที่ $39,000
จริงอยู่ที่ผู้อำนวยการของ EQI Bank พูดถูก บิทคอยน์ไม่ได้ “ผันผวนตามกระแสลม” อย่างที่เห็นได้ชัดเจนบนกราฟ BTC/USD ก่อนและหลังการประชุมของธนาคารเฟดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดังนั้น ดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงส่งผลให้บิทคอยน์ขยับขึ้นอีกครั้งทำระดับที่ $43,440 เมื่อวันพุธที่ 13 ธันวาคม
และ ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในช่วงเย็นวันที่ 15 ธันวาคม ราคาซื้อขายอยู่ที่บริเวณ $42,200 โดยมูลค่ารวมของตลาดคริปโตอยู่ที่ $1.61 ล้านล้านเหรียญ ลดลงจาก $1.64 ล้านล้านเหรียญฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ด้านดัชนี Crypto Fear & Greed Index ลดลงจาก 72 เหลือ 70 จุดและยังคงอยู่ในโซนความโลภ (Greed)
ในส่วนอนาคตอันใกล้ของบิทคอยน์ ผู้เชี่ยวชาญจาก Goldman Sachs ธนาคารเพื่อการลงทุนยักษ์ใหญ่เผยแพร่รายงานฉบับใหท่ที่ชี้ว่าราคาบิทคอยน์อาจขยับขึ้นต่อในอนาคตอันใกล้ ด้านผู้เชี่ยวชาญจาก CryptoQuant ชี้ความเป็นไปได้ที่บิทคอยน์จะทะลุระดับ $50,000 ในช่วงต้นปี 2024 การคาดการณ์นี้มาจากการวิเคราะห์กิจกรรมของผู้ถือบิทคอยน์ และพิจารณาปริมาณธุรกรรม มูลค่าตามราคาตลาด และกฎของ Metcalfe ในบริบทของสกุลเงินคริปโต “บิทคอยน์อาจมุ่งไปที่ช่วงราคา $50,000-$53,000" ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
อย่างไรก็ตาม CryptoQuant เชื่อว่า ตลาดกำลังเข้าใกล้ “ระยะกระทิงที่คุกรุ่น” โดยในอดีตได้มีการหยุดพักและย่อตัว พวกเขาไฮไลต์ว่ามีปริมาณเหรียญกว่า 88% ที่ “มีกำไรอยู่” ซึ่งแสดงถึงศักยภาพที่จะเจอแรงกดดันจากฝั่งผู้ขาย และการปรับฐานในระยะสั้น ซึ่ง “มักจะสอดคล้องกับราคาสูงสุดในกรอบตามข้อมูลในอดีต”
เพื่อเป็นการสรุปส่งท้าย เราจะมามองย้อนอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในอดีต เมื่อครั้งที่บิทคอยน์มีราคาซื้อขายคือ $0.20 เมื่อ 13 ปีที่แล้ว วันที่ 12 ธันวาคม 2010 ผู้ให้กำเนิดสกุลเงินคริปโตแรกภายใต้นามแฝง Satoshi Nakamoto ได้เผยแพร่โพสต์สุดท้ายของเขาบนกระทู้ก่อนที่จะหายตัวไปจากสาธารณะ ข้อความนี้ไม่ได้ให้สัญญาณว่าบุคคลปริศนาท่านนี้ (หรือกลุ่มนี้) จะหายตัวไป แต่ให้คำอธิบายของการอัปเดตและรหัสสำหรับองค์ประกอบ Denial-of-Service (DoS) ในโปรโตคอลเวอร์ชัน 0.3.19 นี่คือเมื่อราคาบิทคอยน์ซื้อขายอยู่ที่ $0.20 และ Satoshi และผู้ใช้งานอื่น ๆ ก็ให้ข้อสังเกตเองว่าเครือข่ายนี้ “ไม่ได้ต้านทานการโจมตี DoS ได้ทั้งหมด” ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า ผู้ก่อตั้งบล็อกเชนได้วางแผนที่จะออกจากทีมเนื่องด้วยมีข้อถกเถียงและความเห็นที่ไม่ลงรอยกันในหมู่นักพัฒนา รวมถึงข้อวิจารณ์ว่าเขาทำการควบคุมโครงการมากเกินไปและทำการตัดสินใจแต่เพียงฝ่ายเดียว
อย่างไรก็ตาม หนึ่งในผู้ใช้งานกระทู้ BitoinTalk ได้ให้ข้อสังเกตโดยย้อนระลึกถึงโพสต์สุดท้ายของผู้ให้กำเนิดคริปโตเคอเรนซีว่า “บทบาทของ “Satoshi” ในระบบแบบไร้ศูนย์กลางและการต่อสู้ของเขาต่อเผด็จการทางการเงินนั้นสำคัญมากยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยี มันคือความเคลื่อนไหวเพื่ออิสระทางเศรษกิจและการมีอธิปไตย การหายตัวไปของเขาไม่ใช่แค่เป็นการสงวนตนเองเท่านั้น แต่ยังเป็นคำเตือนด้วยว่าไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตนั้นเป็นเรื่องของชื่อเสียงส่วนบุคคล”
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ