ตามธรรมเนียม เราจะเผยแพร่บทวิเคราะห์สกุลเงินจากสถาบันการเงินระดับโลกในช่วงส่งท้ายปีเก่าและขึ้นปีใหม่ เราคงธรรมเนียมปฏิบัตินี้มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งวิธีนี้ไม่ใช่แค่ช่วยให้เรามองการณ์ไกลไปข้างหน้าเท่านั้น แต่ยังได้สะท้อนดูการคาดการณ์ในอดีตโดยผู้เชี่ยวชาญและประเมินความแม่นยำของพวกเขาด้วย
2022: ปีแห่งการเริ่มต้น
หลังจากโลกปรับตัวเข้ากับมาตรการกักตัวในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สงครามก็เริ่มปะทุขึ้นบนโลก รัสเซียบุกโจมตียูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 และมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่ตามมายิ่งส่งผลร้ายซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจและกระตุ้นภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศ แม้แต่ในประเทศอยู่ห่างไกลจากพื้นที่เหล่านี้
ความใกล้ชิดของประเทศอียูกับพื้นที่ความขัดแย้ง การพึ่งพาอาศัยเชื้อเพลิงพลังงานของรัสเซียเป็นอย่างมาก ภัยคุกคามเรื่องนิวเคลียร์ และความเสี่ยงว่าความขัดแย้งจะลามไปยังพื้นที่อื่นยิ่งส่งแรงสะเทือนเป็นความเสียหายต่อเศรษฐกิจยูโรโซน ในสถานการณ์ดังกล่าว ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จำเป็นต้องมีท่าทีอย่างระมัดระวังมากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เศรษฐกิจทรุดตัวลงโดยสมบูรณ์ สหรัฐฯ กลับเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบกว่ามาก ธนาคารเฟดใช้วิธีเริ่มวัฎจักรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 16 มีนาคม เพื่อลดความกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ เหตุการณ์นี้เป็นแรงกระตุ้นให้เงินดอลลาร์แข็งค่า และเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม EUR/USD อ่อนค่าลงมาต่ำกว่าระดับคู่ขนาน 1.0000 เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ทำระดับต่ำสุดที่ 0.9535 เมื่อวันที่ 28 กันยายน ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ธนาคารกลางยุโรปยังเริ่มค่อย ๆ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยยูโรขึ้น ส่งผลให้คู่ EUR/USD เริ่มต้นปีใหม่ปี 2023 ที่ระดับ 1.0700
2023: การคาดการณ์ของใครแม่นยำกว่ากัน
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเริ่มคลี่คลายตัวและเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม องค์การอนามัยโลกประกาศว่า โควิด 19 ไม่เป็นภาวะฉุกเฉินของโลกอีกต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นช้า ๆ ก็คือ หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการกักตัว ปฏิบัติการทางทหารในยูเครนกลายเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ การต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อค่อย ๆ เริ่มแสดงสัญญาณความสำเร็จ และเศรษฐกิจอาจปรับตัวเข้ากับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงราคาเชื้อเพลิงพลังงานที่สูง ความหายนะระดับโลกไม่เกิดขึ้น และมีเสียงดังขึ้นที่ทำนายว่าเศรษฐกิจจะลงจอดอย่างนุ่มนวล โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอาจจะรวมถึงเศรษฐกิจยูโรโซน
ในปี 2022 ความผันผวนสูงสุดของคู่ EUR/USD มากกว่า 1,700 จุด แต่ในปี 2023 ความผันผวนลดลงเกือบครึ่งหนึ่งที่ 828 จุด ราคาคู่นี้ทำระดับสูงสุดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม โดยไต่ขึ้นไปที่ 1.1275 และทำระดับต่ำสุดที่ 1.0447 เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม และปิดท้ายเดือนธันวาคมในกรอบ 1.0900-1.1000 (ณ ขณะที่เขียนรีวิวนี้) ซึ่งไม่ไกลจากค่าของเดือนมกราคม
แล้วผู้เชี่ยวชาญเคยทำนายไว้ว่าอย่างไรเมื่อปี 2023? คำทำนายที่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากที่สุดนั้นเป็นของธนาคาร Internationale Nederlanden Groep หรือ ING ซึ่งในตอนนั้น พวกเขามั่นใจว่าปัจจัยแรงกดดันทั้งหมดในปี 2022 จะยังคงยืดเยื้อมาจนถึงปี 2023 ราคาเชื้อเพลิงจะยังคงเป็นภาระที่หนักอึ้งต่อเศรษฐกิจยุโรป แรงกดดันเสริมจะมาจากการหยุดพิมพ์ธนบัตรของธนาคารเฟดที่หยุดก่อน ECB นักวิเคราะห์จากเครือธนาคารจากเนเธอร์แลนด์นี้ให้ตัวเลข 0.9500 ยูโรต่อดอลลาร์ในไตรมาสที่ 1 2023 และคาดว่าราคาจะขึ้นต่อไปที่ระดับคู่ขนานคือ 1.0000 ในไตรมาสที่ 4
ผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานการคาดการณ์เศรษฐกิจ (The Agency for Economic Forecasting) ทำนายราคา EUR/USD ในไตรมาส 1 ได้แม่นยำ: พวกเขาคาดว่าราคาจะขึ้นไปที่ 1.1160 (ในความเป็นจริงราคาขึ้นไปที่ 1.1033 อย่างไรก็ตาม พวกเขาคาดว่าราคาจะค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากนั้นมาที่ 1.0050 ภายในปลายไตรมาส 3 และปิดท้ายปีที่ 0.9790 แต่ตรงนี้เองที่พวกเขาทำนายผิดไปอย่างมาก
แต่ไม่ใช่แค่ฝั่งหมีเท่านั้นที่คาดการณ์ผิด ฝั่งกระทิงของคู่ยูโร/ดอลลาร์ก็มีข้อผิดพลาดเช่นกัน เช่น เครือธนาคาร Societe Generale ของฝรั่งเศสโหวตว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลง และราคาคู่นี้จะขยับขึ้น อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ของพวกเขาว่าราคาจะไต่ขึ้นไปที่ 1.1500 ภายในไตรมาส 1 นั้นสุดโต่งเกินไป นักยุทธศาสตร์จาก Deutsche Bank ให้ความผันผวนไว้ในกรอบ 1.0800-1.1500 แต่ในมุมมองของพวกเขา ราคาสามารถขึ้นไปกรอบด้านบนได้ก็ต่อเมื่อธนาคารเฟดเริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 (เราต่างรู้แล้วในตอนนี้ว่าไม่มีการผ่อนคลายนโยบายเกิดขึ้น แต่อัตราดอกเบี้ยถูกแช่แข็งอยู่ที่ 5.50% ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา)
การคาดการณ์ที่แม่นยำที่สุดมาจาก Bank of America และ Commerzbank ของเยอรมนี ด้านฝั่ง Bank of America ให้การคาดการณ์ว่า ดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงแข็งแกร่งในช่วงต้นปี 2023 และจะค่อย ๆ เริ่มอ่อนค่าลง ทำให้ราคา EUR/USD ขึ้นไปที่ 1.1000 หลังจากธนาคารเฟดยุติการขึ้นดอกเบี้ย ด้าน Commerzbank เห็นด้วยกับการคาดการณ์ดังกล่าวโดยระบุว่า “เมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงที่คาดหวังในอัตราดอกเบี้ยของธนาคารเฟด และสันนิษฐานว่า ECB หลีกเลี่ยงที่จะลดอัตราดอกเบี้ย [...] ราคาเป้าหมายของเราสำหรับ EUR/USD สำหรับปี 2023 อยู่ที่ 1.1000" คือคำตัดสินของนักยุทธศาสตร์จากเครือธนาคารนี้
2024: ควรคาดหวังอะไรในปีใหม่นี้
มีอะไรรอยูโรและดอลลาร์อยู่ในปี 2024 ที่จะถึงนี้? สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงว่า การคาดการณ์นั้นมีความแตกต่างกันไปมากเนื่องด้วย “เรื่องน่าประหลาดใจ” มากมายที่เกิดในชีวิตในช่วงหลังมานี้ และหลายประเด็นปัญหาที่ยังไม่เป็นที่คลี่คลายที่ยังต้องติดตามชมในอนาคต คำถามเรื่องสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ยังไม่มีคำตอบ ทิศทางและอัตราการเปลี่ยนแปลงในนโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) สถานการณ์เศรษฐกิจ และตลาดแรงงาน ระดับเงินเฟ้อและราคาเชื้อเพลิงพลังงาน ใครจะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ผลลัพธ์ของสงครามรัสเซียในยูเครน และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างอิสราเอลและฮามาส และสมดุลแห่งอำนาจในการแข่งขันกันระหว่างสหรัฐฯ กับจีน คำถามเหล่านี้ยังคงไม่มีคำตอบ และมีความไม่แน่นอนมากมายที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถให้ความเห็นเป็นเอกฉันท์ได้
คำกล่าวสายพิราบล่าสุดโดยนาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ และคำกล่าวสายเหยี่ยวปานกลางโดยนาง Christine Lagarde ประธาน ECB โน้มน้าวให้ตลาดเชื่อว่า ธนาคารเฟดน่าจะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2024 ในกรณีที่ตลาดไม่ได้รับสัญญาณในทางตรงกันข้าม ดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน Societe Generale เชื่อว่าดัชนีดอลลาร์ (DXY) อาจลดลงจากระดับปัจจุบันที่ 102.50 ลงมาต่ำกว่า 100 ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าจะลงต่ำกว่า 97 จุด โพลสำรวจของ Reuters ชี้เช่นกันว่า ดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะอ่อนค่าลงในปีหน้านี้ โดยรีวิวจาก Investing.com ระบุว่า EUR/USD อาจไปถึง 1.1500 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจมหภาค
ตามสถานการณ์ที่ให้ข้อสรุปโดย UBS Wealth Management เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว เงินเฟ้อลดลง และความคาดหวังว่าธนาคารเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นและพันธบัตร ในส่วนคู่ EUR/USD UBS มองราคาที่ระดับ 1.1200 ด้านการคาดการณ์ของ Commerzbank เยอรมนีระบุระดับสูงสุดไว้ที่ 1.1200 เช่นกัน นักวิเคราะห์ชี้ว่า ยูโรมีโอกาสแข็งค่าชั่วคราวเทียบกับดอลลาร์ ก่อนที่จะอ่อนค่าลงตามมา พวกเขาคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะขยับขึ้นไปที่ 1.1200 ภายในเดือนมิถุนายน 2024 หลังจากนั้นจะลดตัวลงมาที่ 1.0800 ภายในเดือนมีนาคม 2025
ด้านนักเศรษฐศาสตร์ ING คำนวณว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2024 EUR/USD จะยังคงขยับขึ้นไปที่ 1.1800 อย่างไรก็ตาม พวกเขาเตือนว่าการคาดการณ์นี้ขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายของธนาคารเฟดและ ECB โดยเฉพาะ พวกเขาให้ข้อสังเกตว่า “ความแตกต่างในอัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยเดียวเท่านั้นที่กำหนดทิศทางของ EUR/USD” อัตราการเติบโตที่ต่ำในยูโรโซนและความไม่แน่นอนทางการเมืองเกี่ยวกับการนำมาตรการ Stability and Growth Pact กลับมาใช้อีกครั้งชี้ว่า EUR/USD จะส่งท้ายปีนี้ใกล้บริเวณ 1.0600 โดยมีระดับสูงสุดในปี 2024 ที่บริเวณใกล้กับ 1.1500 มากกว่า 1.1800
นักเศรษฐศาสตร์จาก Fidelity International, JPMorgan, และ HSBC ไม่ตัดโอกาสสถานการณ์ที่ธนาคารกลางอื่น ๆ เช่น ECB และธนาคารกลางอังกฤษอาจขึ้นเป็นผู้นำในการผ่อนคลายนโยบายแซงหน้าธนาคารกลางสหรัฐฯ
นักยุทธศาสตร์ Goldman Sachs เชื่อว่า แม้ว่าแนวโน้มของดอลลาร์ดูจะย่ำแย่ขึ้นในปี 2024 เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพของสหรัฐฯ จะเป็นตัวช่วยพยุงแนวโน้มขาลงของดอลลาร์ พวกเขาเขียนว่าดอลลาร์มีมูลค่าสูงมาก และนักลงทุนหันเข้าหามัน ซึ่งมันจะยังคง “แข็งแกร่งไปอีกนาน” และการย่อตัวใด ๆ จะไม่มีนัยสำคัญ เศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งเกินกว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 150 จุดพื้นฐานในปี 2024
Danske Bank, Westpac และ HSBC เชื่อเช่นกันว่า ภายในสิ้นปี 2024 ดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นเทียบกับยูโร และปอนด์อังกฤษ การคาดการณ์ของ ABN Amro ในสิ้นปีหน้านี้ชี้อัตราดอกเบี้ยที่ 1.0500 และ Agency for Economic Forecasting คาดการณ์ไว้ที่ 1.0230
***
“สามสิบหกกลยุทธ์” สนธิสัญญาโบราณของกองทัพทหารจีน เขียนไว้ว่า “ผู้ที่พยายามจะทำนายอนาคตทุกอย่างจะสูญเสียความระมัดระวัง” จริงอยู่ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ทุกอย่างได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถพูดได้อย่างแน่นอนก็คือ ในช่วง 12 เดือนที่จะมาถึงนี้จะต้องเต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์มากมายเหมือนอย่างในปีที่ผ่านมา ดังนั้น เราต้องมีความระมัดระวัง และโชคลาภก็จะอยู่ข้างเรา
สวัสดีปีใหม่ 2024! ปีใหม่นี้จะเป็นปีที่น่าสนใจแน่นอน
กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX
หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้
กลับ กลับ