น้ำมันเป็น “ทองคำสีดำ” ในการเทรด CFD

น้ำมันเป็นทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตเชื้อเพลิง  อีกทั้งมันยังใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเคมีภัณฑ์ เครื่องสำอาง เสื้อผ้า ของเล่นเด็ก และสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่เพียงแค่นั้น น้ำมันยังเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมที่มีคนซื้อขายกันทั่วโลกทั้งแบบค้าส่งและค้าปลีก และก็ยังไม่หมดแค่นั้นอีกเช่นกัน น้ำมันยังเป็นสินทรัพย์ในการซื้อขายสัญญาส่วนต่างของราคา (CFD) ทางการเงินที่คุณสามารถทำกำไรจากการผันผวนของราคาได้ โดยไม่ต้องครอบครองจริง คุณไม่ต้องมีโกดังหรือบ่อเก็บน้ำมัน ไม่ต้องมีท่อส่งหรือรถบรรทุกน้ำมัน เพียงแค่คุณมีเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต และบัญชีการเทรดกับบริษัทโบรกเกอร์ NordFX เท่านั้นก็พอแล้ว

ประวัติศาสตร์ของ “ทองคำสีดำ”

น้ำมันมักถูกเรียกว่าเป็น “ทองคำสีดำ” น้ำมันนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์เรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมา ผู้คนได้ค้นพบวิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำมันในทุก ๆ ด้านในชีวิต นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า เมื่อ 6,000 ปีที่แล้ว ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศอิรักใช้น้ำมันในการกันน้ำ ทาเคลือบผนังและหลังคาบ้านเพื่อกันความชื้น ในอียิปต์โบราณน้ำมันถูกใช้ในการทำมัมมี่เพื่อรักษาศพ และยังใช้ในการเชื่อมลำเรือ ส่วนในประเทศจีนเมื่อ 2,500 ปีก่อนหน้านี้ น้ำมันถูกสกัดโดยการขุดบ่อลึก ๆ โดยใช้ที่ขุดไม้ไผ่พร้อมกับสว่านเหล็ก และชนเผ่าอินเดียนแดงในอเมริกาก็ได้เก็บสสารสีดำจากผิวน้ำโดยใช้ผ้าห่มธรรมดา ๆ และนำน้ำมันไปใช้ในทางการแพทย์

อุตสาหกรรมน้ำมันสมัยใหม่เริ่มขึ้นในปี 1853 โดยเภสัชกรชาวโปแลนด์ที่มีชื่อว่า Ignacy Lukasiewicz เขามีร้านขายยาตั้งอยู่ในเมืองลวิฟ (ปัจจุบันอยู่ในยูเครน) โดยเขาทำการทดลองในห้องแล็บเพื่อกลั่นน้ำมันดิบและสามารถสกัดน้ำมันก๊าดมาได้ หลังจากนั้น เขาก็ใช้น้ำมันก๊าดนี้ในการจุดโคมไฟ จนเกิดเป็น “น้ำมันก๊าด” แรกที่ให้แสงสว่างกับร้านขายยา

Lukasiewicz ไม่ใช่แค่นักทดลองที่ประสบความสำเร็จแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขายังเป็นนักธุรกิจที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ไม่ถึงหนึ่งปีถัดมา เขาก็ได้ผลิตน้ำมันก๊าดในหนึ่งในภูมิภาคที่มีน้ำมันอยู่มากในโปแลนด์ และสร้างบ่อน้ำมันแรกในประวัติศาสตร์ ต่อมาก็ได้ก่อตั้งโรงสกัดน้ำมันแห่งแรกขึ้นในโลกเมื่อปี 1856 หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง Lukasiewicz ก็เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันหลายแห่ง รวมถึงโรงกลั่น และโรงงานยางมะตอย ในปี 1877 ได้มีสภาปิโตรเลียมก่อตั้งขึ้นในเมืองลวิฟภายใต้การบริหารของเขา

อเมริกาก็ไม่ได้ล้าหลังยุโรปเช่นกัน เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 1859 พันเอก Edwin Drake ได้ทำการขุดบ่อน้ำมันแห่งแรกในรัฐเพนซิลเวเนียลึกลงไป 21.2 เมตร และเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันแห่งแรกในสหรัฐฮเมริกา ซึ่งเทคโนโลยีของเขานั่นเองที่กลายเป็นฐานการพัฒนาแหล่งบ่อน้ำมันอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ วันดังกล่าวจึงถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของยุคน้ำมันของมนุษย์

Oil Trading 800x470_th

น้ำมันมาจากไหน

ผู้คนใช้น้ำมันมาเป็นเวลากว่าหลายพันปี แต่ก็ไม่มีความเห็นที่เห็นตรงกันว่าน้ำมันมีต้นกำเนิดมาจากไหน นักวิทยาศาสตร์บางรายเชื่อว่า น้ำมันปรากฏขึ้นจากหินตะกอนของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นจากการแปรสภาพของซากสัตว์และพืชที่เคยอยู่ในมหาสมุทรยุคดึกดำบรรพ์ และกระบวนการดังกล่าวอาจกินเวลามากกว่า 60 ล้านปี

อีกทฤษฎีหนึ่งชี้ว่า น้ำมันอาจเกิดขึ้นจากชั้นเนื้อโลกในกระบวนการ “พัฒนาความร้อน” ในระหว่างการสังเคราะห์ไฮโดรเจนและคาร์บอนภายใต้แรงกดดันและอุณหภูมิที่สูง สมมติฐานนี้ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยด้านการดูดาววิเคราะห์ชั้นบรรยากาศของดาวพฤหัสบดีและอุกกาบาต

และทฤษฎีที่น่าสนใจมากที่สุดคือ ความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ในสมัยก่อนที่เชื่อกันว่า น้ำมันนั้นเป็นของเสียของปลาวาฬที่ลอยขึ้นมาบนมหาสมุทรมาสู่โลก

บาร์เรลน้ำมันคืออะไร

ในช่วงแรกต้นของอุตสาหกรรมน้ำมัน “น้ำมันสีดำ” ที่สกัดได้ถูกขนส่งโดยใช้ภาชนะทุกรูปแบบ เช่น หนังไวน์ หรือถังต่าง ๆ เช่น ถังเบียร์ ส่งผลให้เกิดปัญหาในการคำนวณปริมาณที่สกัดได้และสร้างความสับสนให้กับการคำนวณธุรกรรมเพื่อการซื้อขาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานร่วมกันขึ้น

ผู้ค้าน้ำมันอิสระชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งได้มารวมตัวกันที่รัฐเพนซิลเวเนียในเดือนสิงหาคม 1866 และได้ตกลงกันให้น้ำมันหนึ่งบาร์เรลมีปริมาณเท่ากับ 42 แกลลอน (158.988 ลิตร)

แล้วทำไมต้องเป็น 42 ทำไมถึงไม่ใช่ 50 หรือ 100% ประวัติศาสตร์ช่วยให้เราทราบว่า เพนซิลเวเนียนั้นใช้หน่วยบาร์เรลมาตั้งแต่ช่วงปี 1700 เพื่อขนส่งไวน์ น้ำมัน ปลา สบู่ น้ำมันวาฬ และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกจากนี้ คนขนส่งคนเดียวนั้นสามารถจัดการกับน้ำมันปริมาณนี้ได้ แต่ไม่สามารถรองรับน้ำหนักที่มากกว่านี้ และหากเบากว่านี้ก็จะยิ่งเพิ่มต้นทุนในการสร้างภาชนะ อีกหนึ่งเหตุผลที่ต้องใช้ถังขนาด 42 แกลลอนคือ ถังบาร์เรลจำนวน 20 ถังนั้นสามารถวางไว้บนชานชาลารถไฟและเรือบันทึกได้อย่างพอดิบพอดี

ในปี 1872 สมาคมผู้ผลิตปิโตรเลียมอเมริกันได้ตกลงร่วมกันอย่างเป็นทางการให้บาร์เรลขนาด 42 แกลลอนนั้นเป็นหน่วยวัดมาตรฐานของน้ำมัน และต่อมาก็ได้กลายเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน (แต่ในบางประเทศ เช่น รัสเซีย มักนิยมใช้หน่วย “ตัน” ในการวัดปริมาณน้ำมัน” ราคาต่อบาร์เรลจะกำหนดเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และราคานี้เป็นตัวสะท้อนถึงราคาที่คนเทรดกันในเทอร์มินอลการเทรด MetaTrader (MT4) ของบริษัทโบรกเกอร์ NordFX

WTI และ Brent คืออะไร

โลกในปัจจุบันเราผลิตน้ำมันดิบขึ้นมาหลายเกรด แต่ราคาน้ำมันจะกำหนดเป็นเกรดหลัก ๆ 3 เกรดด้วยกัน ซึ่งสองในสามนั้น ได้แก่ น้ำมันดิบของเวสต์เท็กซัส (WTI_OIL) และน้ำมันดิบเบรนท์ (Ukoil.c) ซึ่ง NordFX นำเสนอบริการให้ลูกค้าสามารถเทรด CFD ได้ น้ำมันสองเกรดนี้เองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในอุตสาหกรรมน้ำมันโดยรวม

เกรดในที่นี้คือคุณสมบัติของน้ำมันที่ผลิตจากแหล่งที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้มีคุณภาพ องค์ประกอบ ความเป็นหนึ่งเดียว และความบริสุทธิ์ที่แตกต่างกันไป น้ำมันดิบ WTI จะมาจากน้ำมันที่ผลิตขึ้นในเวสต์เท็กซัสและรัฐอื่น ๆ ในสหรัฐฯ และเป็นเกณฑ์มาตรฐานของการผลิตน้ำมันในภูมิภาคอเมริกาเหนือ แต่น้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ผลิตขึ้นในแถบทะเลเหนือและเป็นชื่อเรียกของน้ำมันส่วนใหญ่ที่ผลิตขึ้นในยุโรป แอฟริกา และบางพื้นที่ในตะวันออกกลาง ราคาของน้ำมันที่ส่งออกประมาณ 70% เป็นตัวกำหนดราคาน้ำมัน Brent ทั้งทางตรงและทางอ้อม

น้ำมันในฐานะเครื่องมือในการเทรด

แน่นอนว่าในส่วนนี้ เราจะไม่ถึงการซื้อขายน้ำมันดิบจริง ๆ แต่จะพูดถึงการเทรดสัญญาซื้อขายส่วนต่างของราคา หรือการเทรด CFD ออนไลน์ และในกรณีนี้ น้ำมันก็เป็นเครื่องมือที่ดีเยี่ยม เพราะว่ามันมีราคาที่ผันผวน และอีกทางหนึ่งก็คือมีแนวโน้มที่มั่นคงในระยะยาว ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากกราฟในระยะยาวนานกว่า เช่น D1, W และ MN

ในแง่ของความผันผวน ราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นและลงได้ในช่วงวิกฤติ เช่น ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาส่งผลให้ราคาน้ำมันดิ่งลงมาเมื่อต้นปี 2020 และเราได้เห็นปรากฏการณ์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเมื่อวันที่ 20 เมษายนปีเดียวกัน ซึ่งราคาสัญญาฟิวเจอร์สเดือนพฤษภาคมของ WTI_OIL ลงมาติดลบที่ $37! ตลาดมีน้ำมันดิบล้นตลาด และบริษัทน้ำมันก็มีรายงานว่าไม่มีที่เพียงพอที่จะจัดเก็บน้ำมัน มีรายงานจากสื่อต่าง ๆ ระบุว่า ผู้ขายน้ำมันต้องจ่ายเงินให้กับผู้ซื้อด้วยซ้ำ จนกระทั่งแนวโน้มกลับทิศทางและราคาน้ำมันต่อบาร์เรลของ WTI_OIL ขยับขึ้นไปที่ $97 ในช่วงสองปีถัดมา ตอนนี้คุณลองนึกดูว่าคุณจะทำเงินได้มากแค่ไหนจากแนวโน้มความเคลื่อนไหวดังกล่าว ซึ่งอาจจะมีแค่เงินคริปโตเท่านั้นที่สามารถให้ผลกำไรที่คล้ายกันนี้ ที่สำคัญเราต้องไม่ลืมว่าการเทรดสัญญา CFD ช่วยให้คุณสามารถทำเงินได้ไม่ใช่แค่จากแนวโน้มขาขึ้น แต่ยังรวมถึงขาลงของราคาสินทรัพย์อีกด้วย และหากคุณใช้อัตราทดที่ NordFX ให้บริการกับลูกค้า คุณจะสามารถเพิ่มผลกำไรได้อีกหลายเท่า

และแน่นอนว่า นักเทรดสามารถใช้เครื่องมือการวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่มีมาให้ในเทอร์มินัลการเทรด MT4 ซึ่งมาพร้อมกับอินดิเคเตอร์ทุกประเภทสำหรับการเทรดน้ำมัน รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ และยังมีฟังก์ชันการดำเนินธุรกรรมโดยใช้ Expert Advisers ด้วย ในขณะเดียวกัน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานก็มีประโยชน์อย่างมากในการ “จับจังหวะ” เทรนด์หลัก ซึ่งมีปัจจัยที่มีอิทธิพลสำคัญ เช่น:

- วิกฤติการเมือง สงคราม และความขัดแย้ง โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีการผลิตและบริโภคน้ำมัน

- ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจทำให้กำลังการผลิตลดลงหรือส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานน้ำมัน

- ฤดูกาล เนื่องจากการบริโภคเชื้อเพลิงมักเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นเยือกมากกว่าช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนจัด

- วัฎจักรทางเศรษฐกิจ ชัดเจนว่าการผลิตทางอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นยิ่งเพิ่มอุปสงค์ในน้ำมัน และผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงอื่น ๆ และจะลดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ปัจจัยเหล่านี้และอื่น ๆ เป็นตัวกำหนดอุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนราคาน้ำมันในช่วงเวลาต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ การเทรดสินทรัพย์นี้ เราจึงต้องกำชับให้นักเทรด โดยเฉพาะนักเทรดที่ชื่นชอบการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ต้องไม่จำกัดตนเองอยู่กับกราฟ แต่ควรให้ความสนใจกับข่าวสารในโลกและสถิติเศรษฐกิจมหภาคด้วยเช่นกันนี้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณวางกลยุทธ์การเทรดที่มีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงเหตุการณ์สุดวิสัยต่าง ๆ และทำกำไรได้เพิ่มขึ้น

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา