ตลาด Forex ไม่ต่างไปจากตลาดการเงินอื่น ๆ ซึ่งนักเทรดเผชิญกับความท้าทายมากมาย หนึ่งในความท้าทายหลักคือ การที่เงินฝากของคุณเกิดการขาดทุนสะสม (Drawdown) ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเทรด และนักเทรดแทบทุกคนล้วนมีประสบการณ์ ในขณะที่บางคนอาจเจอกับภาวะติดลบบ่อยมากกว่าคนอื่น มันเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทุกคน การยอมรับมันและเตรียมจิตใจให้พร้อมเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ การมีกลยุทธ์ที่เตรียมพร้อมสำหรับการรับมือจากการขาดทุนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เช่นนั้น คุณอาจเจอกับความเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียเงินฝากทั้งหมดไปได้
Drawdown คืออะไร?
Drawdown หรือการขาดทุนสะสม คือ การที่มูลค่าของสินทรัพย์ลดลงมายังระดับใดระดับหนึ่ง พูดง่าย ๆ ก็คือ หากคุณเปิดคำสั่งซื้อ แต่ราคากลับขยับลดลงสวนทางกับคุณ ทันทีที่ราคาลดลง คุณก็อาจเริ่มใจเสียที่จะต้องคอยดูยอดคงเหลือในบัญชีลดลง
ควรทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว หรืออย่างน้อยก็ลดผลกระทบในทางลบ? โดยมีคำแนะนำดังต่อไปนี้r:
1. ประเมินกลยุทธ์ของคุณ บางทีคุณอาจยังไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ตลาดบางสถานการณ์ ลองทดสอบกลยุทธ์ของคุณในบัญชีทดลอง หากผลลัพธ์ยังขาดทุน ให้หาสาเหตุและปรับกลยุทธ์ตามความจำเป็น
2. จัดการความเสี่ยง อย่านำเงินฝากมาเสี่ยงมากเกินไป โดยทั่วไปแล้วแนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 1-2% (มากสุดคือ 5%) ของจำนวนเงินฝากในคำสั่งเทรดเดียว
3. ใช้คำสั่ง Stop Loss ตั้งค่าคำสั่งทุกครั้งที่เปิดการเทรด คำสั่งเหล่านี้จะปิดลงโดยอัตโนมัติ ทันทีที่ราคาไปถึงระดับการขาดทุนที่กำหนด
4. กระจายความเสี่ยง กระจายเงินลงทุนของคุณในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตของคุณ
5. อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ ตลาดมีวิวัฒนาการเสมอ ดังนั้น นักเทรดควรหมั่นอัปเดตความรู้อย่างเป็นประจำ ติดตามข่าวสารล่าสุด และการวิเคราะห์ตลาด
6. ทำใจให้เย็น หากคุณกำลังอยู่ในช่วง Drawdown สิ่งแรกและสำคัญที่สุดคือ การมีสติ ยิ่งคุณหวาดวิตกจะยิ่งทำให้ตัดสินใจผลีผลาม และอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์ของคุณแย่ลงมากกว่าเดิมได้
นักเทรดควรทำอะไรในช่วงพอร์ตติดลบ?
คำแนะนำ 6 ข้อข้างต้นนั้นได้ผลดีและมีประโยชน์เป็นอย่างมาก แต่อย่างที่เราได้บอกไปแล้วในช่วงต้นของบทความนี้ Drawdown หรือพอร์ตติดลบนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในตลาดฟอเร็กซ์ ซึ่งนักเทรดทุกคนจะต้องเผชิญไม่ช้าก็เร็ว หัวใจสำคัญคือการเตรียมความพร้อมและแผนการปฏิบัติที่ชัดเจนในสถานการณ์ดังกล่าว โดยอาจลองพิจารณาแนวทางที่เป็นไปได้ 3 แนวทางดังนี้
1. วิธีการที่ง่ายที่สุด คือ ปิดคำสั่งเทรดและจำกัดการขาดทุน วิธีนี้ตรงไปตรงมา แต่ในทางจิตวิทยาถือว่ามีความท้าทาย แล้วถ้าเกิดฉันปิดคำสั่งเทรด ราคาเกิดกลับทิศทางล่ะ? ฉันก็จะอดได้กำไรสิ! กำไรเยอะด้วยนะ! ความโลภของมนุษย์เป็นแรงที่สำคัญ การเอาชนะความโลภนั้นทำได้ด้วยการตั้งค่า Stop-Loss ไว้ล่วงหน้า แต่ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่า ความโลภยังคงเป็นผู้ชนะ นักเทรดบางคนเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยังคอยเลื่อน Stop Loss ให้ไกลออกไปจากจุดที่เข้าตลาด หลายคนไม่วาง Stop Loss แต่อย่างใด แต่ชอบที่จะพนันและเสี่ยงโชคมากกว่า แต่คงเป็นเพราะมีคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีความเสี่ยง ก็ไม่มีแชมเปญ”
2. ถ้าคุณเปิดคำสั่งเทรดไว้อยู่ และราคายังคงเคลื่อนที่ตรงกันข้ามกับคุณ ทุกนาทีที่ผ่านไป คุณยิ่งขาดทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ นักเทรดบางคนจะเลือกตัวเลือกที่ 2 พวกเขาจะเปิดคำสั่งเทรดในทิศทางตรงกันข้าม (ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่สกุลเงินเดียวกัน) โดยหลักแล้วก็เพื่อรับประกันความเสี่ยง วิธีนี้เรียกได้ว่าเป็นการ “ล็อค” แต่ก็มีปัญหาเช่นกัน เมื่อเราทำการล็อคคำสั่งเทรดด้วยวิธีนี้ สิ่งที่ทำอยู่คือแค่เพียงล็อคระดับขาดทุนในปัจจุบัน ไม่ว่าราคาของคู่สกุลเงินหลักและคู่ตรงกันข้ามจะผันผวนอย่างไรหลังจากนั้น การขาดทุนยังคงเหมือนเดิม วิธ๊การจำกัดการขาดทุน (หรือทำกำไร) นักเทรดจะต้องเลือกจังหวะที่ดีที่สุดในการปิดคำสั่งเทรดหนึ่ง และอีกจังหวะหนึ่งเพื่อปิดอีกคำสั่งเทรดหนึ่ง แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ในมุมมองของนักเทรดที่มีประสบการณ์สูง
3. นอกเหนือจากตัวเลือกที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ ยังมีแนวทางที่สามคือ กลยุทธ์มาร์ติงเกล และวิธีการขั้นสูงขึ้นมาอีกที่เรียกว่า “การเฉลี่ยคำสั่งเทรด” วิธีนี้มีนักเทรดหลายพันคนใช้ในหลายล้านสถานการณ์ โดยนำไปประยุกต์กับกลยุทธ์การเทรดทั้งแบบเทรดด้วยมือและเทรดอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์ Expert Advisors วิธีนี้อาจได้ผลสำหรับบางคน แต่บางคนก็เจอกับหายนะทางการเงินด้วยวิธีนี้ได้เช่นกัน มีการถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับวิธีนี้ และเพราะเหตุนี้เอง เราจึงจะมาให้ความสนใจกับมาร์ติงเกลกัน
มาร์ติงเกล: ไม่ใช่นามสกุล
หลักการมาร์ติงเกล (Martingale) ในทฤษฎีความน่าจะเป็นปรากฏขึ้นในช่วงปี 1934-1939 อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ของวิธีการนี้เก่าแก่กว่านั้น มาร์ติงเกลคือกลยุทธ์การเดิมพันประเภทหนึ่ง ที่มีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศสในช่วงศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากที่นั่น กลยุทธ์ที่เรียบง่ายที่สุดนี้เคยใช้กับเกมการโยนทายเหรียญว่าจะออกหัวหรือก้อย (คล้ายกันกับการเสี่ยงทายว่าจะออกสีดำหรือสีแดงในเกมรูเล็ตต์) กลยุทธ์นี้มีหลักการคือ ผู้เล่นจะต้องเดิมพันเท่าตัวทุกครั้งที่แพ้ ดังนั้น เมื่อใดที่ชนะขึ้นมา เงินกำไรจะได้ชดเชยเงินขาดทุนทั้งหมด และให้ผลตอบแทนที่เท่ากับเงินเดิมพันเริ่มต้น
ตามกฎเลขจำนวนมากแล้ว ความน่าจะเป็นที่เหรียญจะออกหัวหรือก้อย (หรือดำและแดงในเกมรูเล็ตต์) อยู่ที่ 50% ดังนั้น ในเมื่อมีจำนวนครั้งที่จะโยนเหรียญไม่จำกัด กลยุทธ์มาร์ติงเกลจึงให้ผลตอบแทนกับผู้เล่นได้ในที่สุด แต่นี่อยู่บนสมมติฐานว่าผู้เล่นนั้นมีเงินไม่จำกัด และไม่จำกัดขนาดในการลงเดิมพัน แต่ไม่มีผู้เล่นคนไหนที่เป็นเจ้าของจำนวนเงินมากขนาดนั้น และการเติบโตแบบเท่าตัวก้าวกระโดดนั้นอาจทำให้พวกเขาล้มละลายได้
ทั้งนี้ หนึ่งในการออกหน้าเดิมซ้ำ ๆ ติดต่อกันมากที่สุดในเกมรูเล็ตต์มีสติทำไว้ในปี 1943 ในคาสิโนอเมริกันแห่งหนึ่ง ซึ่งออกเป็นสีแดง 32 ครั้งติดต่อกัน ความน่าจะเป็นนี้ต่ำมาก แต่มันก็เกิดขึ้นได้ หากผู้เล่นเริ่มเดิมพันจาก 1 ดอลลาร์ และต้องเดิมพัน 32 ครั้ง เขาจะต้องเดิมพันเป็นเงินสูงถึง $2,147 ล้านดอลลาร์! และผลตอบแทนที่ได้ก็จะเท่ากับ $1 เท่านั้น
การทยอยเข้าซื้อและการเฉลี่ยคำสั่งเทรด
ในการเทรดฟอเร็กซ์ หลักการมาร์ติงเกลก็คล้ายกัน หลังจากทุกครั้งที่เทรดแพ้ จะต้องเพิ่มขนาดคำสั่งเทรดถัดไป หากคำสั่งเทรดถัดมายังแพ้อีก ก็จะเพิ่มขนาดคำสั่งเท่าตัวอีกครั้ง และเทรดแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะชนะ ซึ่งในทฤษฎี กำไรที่ได้ควรจะชดเชยผลตอบแทนทั้งหมดที่ผ่านมา แต่แน่นอนว่าวิธีการที่เรียบง่ายดังกล่าวมักนำไปสู่หายนะทางการเงิน เราจึงจำเป็นต้องปรับแต่งให้เหมาะสม การปรับแต่งที่ว่านั้นคือการเฉลี่ยคำสั่งเทรด
ตัวอย่าง: สมมติว่านักเทรดคนหนึ่งซื้อสินทรัพย์มาที่ราคา 1.2000 โดยคาดว่าราคาจะขยับขึ้น แต่ราคากลับเริ่มลดลงและแตะที่ 1.1900 หากนักเทรดคนนั้นมั่นใจในการวิเคราะห์เบื้องต้นของตน และเชื่อว่าตลาดจะกลับมาเป็นใจอีกครั้ง เขาก็จะซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวอีกรอบหนึ่งที่ราคาปัจจุบันคือ 1.1900 หมายความว่า ราคาเฉลี่ยที่เข้าซื้อจะเท่ากับ 1.1950 และจะคืนทุนได้ก็ต่อเมื่อราคาจะต้องขยับมาถึงระดับนี้ ไม่ใช่ราคาเริ่มต้นที่ 1.2000
อย่างไรก็ตาม แนวคิดในการเทรดมีวิวัฒนาการ และก็มีการพัฒนารูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้น หลายแนวทางกลายเป็นรากฐานของการเทรดด้วยอัลกอริธึมโดยใช้หุ่นยนต์ที่ปรึกษาหรือ EA ในการเทรด กลยุทธ์เหล่านี้จะเปิดคำสั่งเทรดใหม่ที่ราคาแตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่ได้รับจากสัญญาณจากหลากหลายอินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์, Fibonacci levels การทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้าน การวิเคราะห์คลื่น ฯลฯ ในขณะเดียวกัน ปริมาณคำสั่งเทรด (ขนาดล็อต) ที่จะเปิดไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่มีการคำนวณด้วยสูตรที่ค่อนข้างซับซ้อน อัลกอริธึมนี้ยังพิจารณาผลกำไรที่ต้องการ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และหลักเกณฑ์อื่น ๆ อีกด้วย
ตัวเลือกของวิธีนี้นั้นมีไม่จำกัด แต่หลักการสำคัญยังคงเหมือนเดิม หากนักเทรดเปิดคำสั่งเทรด และขาดทุน พวกเขาก็จะเปิดอีกคำหนึ่ง (และเปิดอีกคำสั่งหนึ่ง และอีกคำสั่งหนึ่ง) ในทิศทางเดียวกันกับคำสั่งเทรดที่แพ้ แต่มีขนาดใหญ่กว่า วิธีการนี้ทำเพื่อ เมื่อราคากลับมาในทิศทางของเราแล้ว เราก็จะเท่าทุน หรือแม้แต่ทำกำไรได้ ซึ่งนี่เป็นข้อดีหลีกและข้อเดียวของกลยุทธ์เหล่านี้ ต่อไปสิ่งสำคัญที่ต้องอธิบายก็คือความเสี่ยงที่ตามมา
หากตลาดยังคงเคลื่อนที่สวนทางกับคำสั่งของเรา การขาดทุนก็จะยิ่งเร่งตัวเนื่องด้วยปริมาณที่เพิ่มขึ้นของคำสั่งเทรดที่เปิดขึ้น
2. แม้จะเทรดขาทุนติดกันไม่กี่ครั้งก็อาจจะทำให้เงินฝากติดลบอย่างหนักได้ ระดับมาร์จินจะลดลง จึงจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ต้องถูกบังคับปิดโดยโบรกเกอร์เมื่อราคาถึงระดับ stop-out
3. อิทธิพลทางอารมณ์และจิตวิทยาต่อนักเทรดจะยิ่งเพิ่มการขาดทุน
4. เราต้องคำนึงถึงสถานการณ์ เช่น “หงส์ดำ” เมื่อการเคลื่อนไหวอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถทำลายกลยุทธ์การเทรดที่วางแผนไว้แล้วอย่างดีได้เสมอ
ด้วยเหตุนี้เอง นักเทรดที่มีประสบการณ์จึงแนะนำให้จำกัดจำนวนคำสั่งเทรดใหม่ไว้ เพราะตลาดอาจไม่กลับทิศทาง อีกทั้งยังมีสิ่งสำคัญคือการคำนวณความเสี่ยงล่วงหน้า และเตรียมความพร้อมเสมอ เอาชนะตนเองเพื่อปิดคำสั่งเทรดที่ขาดทุนได้ทันเวลา ทุกขั้นตอนควรจะเป็นผลลัพธ์จากการตัดสินใจอย่างรอบคอบดีแล้ว อย่าลืมว่าการเทรดในตลาดการเงิน ต้องดำเนินการอย่างมีเหตุมีผลจึงจะประสบความสำเร็จ การตัดสินใจที่ผลีผลามจะเป็นหนทางตรงสู่การขาดทุน
กลับ กลับ